tag:blogger.com,1999:blog-70902145098823434572024-03-28T06:08:54.909+07:00PRACHANIYOMnitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.comBlogger2191125tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-60203955029279124432024-03-28T06:08:00.002+07:002024-03-28T06:08:10.380+07:00โรงเรียนสอนโจร ผูกเป็นคำบาลีว่าอย่างไร<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglJhrYPncsUWseut6jkomM6IGMJlhzx8DoQhWpP0g-_MBG87nUh3TJDG2WKFpeZYdpJJdt6jjcLRiWwVZmdPzM91j4zLJgfsgvy9kfy8hsnyrtkP4VypjYusa7xE-OVlrLkr86_BB_9RbxtfKO58M5veSy3EUxswjSk8AO4fqULdYUnly6eO3v-TKBmH0/s2569/z-1057.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="2569" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglJhrYPncsUWseut6jkomM6IGMJlhzx8DoQhWpP0g-_MBG87nUh3TJDG2WKFpeZYdpJJdt6jjcLRiWwVZmdPzM91j4zLJgfsgvy9kfy8hsnyrtkP4VypjYusa7xE-OVlrLkr86_BB_9RbxtfKO58M5veSy3EUxswjSk8AO4fqULdYUnly6eO3v-TKBmH0/s16000/z-1057.jpg" /></a></div><br /><p></p><p>ทองย้อย แสงสินชัย อยู่กับ เตช์ รอดทองดี</p><p>#บาลีวันละคำ (4,305)</p><p><br /></p><p><span style="font-size: large;"><b>โรงเรียนสอนโจร</b></span></p><p><span style="font-size: large;"><b>ผูกเป็นคำบาลีว่าอย่างไร</b></span></p><p>ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบุคคลระดับรัฐมนตรีกล่าวขึ้นลอย ๆ ว่า “เรือนจำคือโรงเรียนสอนโจร” </p><p>ท่านผู้หนึ่งที่รับราชการอยู่ที่หน่วยเรือนจำได้ฟังแล้วก็ถามผู้เขียนบาลีวันละคำว่า คำว่า “โรงเรียนสอนโจร” ถ้าเรียกเป็นภาษาบาลี จะว่าอย่างไรดี</p><p>ผู้เขียนบาลีวันละคำแสดงความเห็นไปว่า คำว่า “เรือนจำเป็นโรงเรียนสอนโจร” เป็นการแสดงความคิดเห็นชนิดหนึ่ง คือมองว่าเรือนจำก็คือแหล่งที่สอนคนให้รู้จักวิธีทำโจรกรรมหรือวิธีทำความชั่ว พูดง่าย ๆ ว่า ใครติดคุกก็เท่ากับเข้าไปรับการศึกษาวิธีทำชั่วให้ช่ำชองยิ่งขึ้น - ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นของคนบางคน เมื่อคิดเห็นเช่นนี้จึงได้กล่าวออกไปเช่นนั้น</p><p>ดังนั้น คำว่า “โรงเรียนสอนโจร” จึงไม่ใช่ชื่อโรงเรียน แต่เป็นสำนวนที่เกิดจากการตีความตามความคิดเห็น จึงเป็นการยากที่จะคิดเป็นคำบาลีให้คล้อยตามความคิดเห็นเช่นนั้นได้</p><p>แต่ถ้าจะเรียกกันเป็นคำสนุก ๆ และอาจจะไม่ได้สาระอะไร ก็เรียกเล่น ๆ ได้ว่า “โจรกรรมศาลา” </p><p>คำนี้ คนไทยรุ่นใหม่ที่นิยมอ่านหนังสือแบบไม่มีลูกเก็บ* คงอ่านว่า โจน-กำ-สา-ลา</p><p>..............</p><p>*คำว่า “ลูกเก็บ” เป็นภาษาดนตรีไทย หมายถึงการบรรเลงที่เพิ่มเติมเสียงสอดแทรกให้มีพยางค์ถี่ขึ้นกว่าทำนองเนื้อเพลงธรรมดา</p><p>..............</p><p>อ่านหนังสือแบบไม่มีลูกเก็บคืออ่านตรงเทิ่งไปเป็นคำ ๆ ไม่มีเสียงสระระหว่างคำ</p><p>“โจรกรรมศาลา” อ่านว่า โจ-ระ-กำ-มะ-สา-ลา </p><p>ไม่ใช่ โจน-กำ-สา-ลา</p><p>“โจรกรรมศาลา” เขียนแบบบาลีเป็น “โจรกมฺมสาลา” อ่านว่า โจ-ระ-กำ-มะ-สา-ลา ประกอบด้วยคำว่า โจร + กมฺม + สาลา</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๑) “โจร” </b></span></p><p>บาลีอ่านว่า โจ-ระ รากศัพท์มาจาก จุรฺ (ธาตุ = ลัก, ขโมย) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แผลง อุ ที่ จุ-(รฺ) เป็น โอ (จุรฺ > โจร)</p><p>: จุรฺ + ณ = จุรณ > จุร > โจร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ลักขโมย” หมายถึง ขโมย, โจร (a thief, a robber) </p><p>ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -</p><p>“โจร ๑, โจร- : (คำนาม) ผู้ร้ายที่ลักขโมยหรือปล้นสะดมทรัพย์สินผู้อื่นเป็นต้น. (ป., ส.).”</p><p>(๒) “กมฺม” </p><p>เป็นรูปคำบาลี อ่านว่า กำ-มะ สันสกฤตเป็น “กรฺม” ไทยเขียนอิงสันสกฤตและนิยมพูดทับศัพท์ว่า “กรรม”</p><p><b>“กรรม” ในแง่ภาษา -</b></p><p>1- รากศัพท์คือ กรฺ (ธาตุ = กระทำ) + รมฺม (รำ-มะ, ปัจจัย) </p><p>2- ลบ รฺ ที่ธาตุ : กรฺ = ก- และ ร ที่ปัจจัย : รมฺม = -มฺม</p><p>3- กร > ก + รมฺม > มฺม : ก + มฺม = กมฺม</p><p>4- แปลตามศัพท์ว่า “การกระทำ” “สิ่งที่ทำ” (the doing, deed, work)</p><p><b>“กรรม” ในแง่ความหมาย -</b></p><p>1- การกระทำทั้งปวง เรียกว่า กรรม </p><p>2- การถูกทำ, สิ่งที่ถูกทำ, ผลของการกระทำ ก็เรียกว่า กรรม</p><p>3- การทำกิจการงาน, การประกอบอาชีพ ก็เรียกว่า กรรม</p><p>4- พิธีกรรม, พิธีการต่างๆ ก็เรียกว่า กรรม</p><p><b>“กรรม” ในแง่ความเข้าใจ -</b></p><p>1- กฎแห่งกรรม คือ “ทำดี-ดี ทำชั่ว-ชั่ว ดุจปลูกพืชชนิดใด ต้องเกิดผลดอกใบของพืชชนิดนั้น”</p><p>2- กรรมมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นผล คือสภาพทั้งปวงที่เรากำลังเผชิญหรือประสบอยู่ และส่วนที่เป็นเหตุ คือสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ในบัดนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดส่วนที่เป็นผลในลำดับต่อไป (ผู้ที่ไม่เข้าใจ เมื่อมอง “กรรม” มักเห็นแต่ส่วนที่เป็นผล แต่ไม่เห็นส่วนที่เป็นเหตุ)</p><p>3- กรรม เป็นสัจธรรม ไม่ขึ้นกับความเชื่อหรือความเข้าใจของใคร ไม่ว่าใครจะเชื่ออย่างไรหรือไม่เชื่ออย่างไร กรรมก็เป็นจริงอย่างที่กรรมเป็น</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๓) “สาลา”</b></span></p><p>รากศัพท์มาจาก สลฺ (ธาตุ = ไป) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, “ทีฆะต้นธาตุ” คือยืดเสียง อะ ที่ ส-(ลฺ) เป็น อา (สลฺ > สาล) + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์</p><p>: สลฺ + ณ = สลณ > สล > สาล + อา = สาลา แปลตามศัพท์ว่า “โรงเรือนเป็นที่ผู้คนไปหา”</p><p>“สาลา” หมายถึง ห้องโถง (มีหลังคาและมีฝาล้อมรอบ), ห้องใหญ่, บ้าน; เพิง, โรงสัตว์ (a large [covered & enclosed] hall, large room, house; shed, stable)</p><p>บาลี “สาลา” สันสกฤตเป็น “ศาลา” (สันสกฤต ศ ศาลา บาลี ส เสือ)</p><p><b>ภาษาไทยใช้ตามรูปสันสกฤตเป็น “ศาลา”</b></p><p><b>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -</b></p><p>“ศาลา : (คำนาม) อาคารทรงไทย ปล่อยโถง ไม่กั้นฝา ใช้เป็นที่พักหรือเพื่อประโยชน์การงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ศาลาวัด ศาลาที่พัก ศาลาท่านํ้า, โดยปริยายหมายถึงอาคารหรือสถานที่บางแห่ง ใช้เพื่อประโยชน์การงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ศาลาพักร้อน ศาลาสวดศพ. (ส.; ป. สาลา).”</p><p><span style="font-size: large;"><b>การประสมคำ :</b></span></p><p>๑ โจร + กมฺม = โจรกมฺม > โจรกรรม แปลว่า “กรรมของผู้ขโมย” “การกระทำของขโมย” </p><p>ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -</p><p>“โจรกรรม : (คำนาม) การลัก, การขโมย, การปล้น. (ส.; ป. โจรกมฺม).”</p><p>ข้อสังเกต: “โจรกรรม” เป็นคำนาม แต่ในภาษาไทยบางทีก็มีผู้ใช้เป็นคำกริยา เช่น คนร้ายโจรกรรมทรัพย์สินไปได้หลายรายการ</p><p>๒ โจรกมฺม + สาลา = โจรกมฺมสาลา > โจรกรรมศาลา แปลตามศัพท์ว่า “โรงเป็นที่สอนการงานของผู้ขโมย” หรือแปลสั้น ๆ ว่า “โรงสอนงานโจร” ตรงตามคำว่า “โรงเรียนสอนโจร” </p><p>คือ โจรทำงานอะไรบ้าง เช่น ปลิ้นปล้อน หลอกลวง ลักขโมย งัดแงะ ตัดช่อง ย่องเบา ตีชิง วิ่งราว จี้ปล้น ก็เปิดสอนวิชาเหล่านี้ให้แก่คนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ออกจากเรือนจำไปแล้วก็สามารถใช้วิชาเหล่านี้ประกอบอาชีพได้อย่างช่ำชอง</p><p>โปรดทราบว่า นี่เป็นการพูดแบบประชด ตามมุมมองหรือความคิดเห็นของผู้ที่พูดว่า “เรือนจำคือโรงเรียนสอนโจร” </p><p>แต่โดยหลักการแล้ว เรือนจำย่อมไม่ใช่โรงเรียนสอนโจร และไม่มีเรือนจำที่ไหนมีนโยบายที่จะทำแบบนั้น หากแต่ทำตรงกันข้าม คือ ฝึกหัด อบรม สั่งสอน ให้ผู้ต้องขังละเลิกการประพฤติผิดประพฤติชั่ว และให้ดำรงตนอยู่ในคุณธรรมความดี</p><p>คนส่วนมากเมื่อเห็นปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน มักจะตำหนิอย่างเดียว แต่ไม่ช่วยคิดแก้ไข นับว่าน่าเสียดาย เพราะปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเป็นโอกาสที่จะแสดงปัญญาได้อย่างเต็มที่ </p><p><span style="font-size: large;"><b>ข้อเสนอแนะ :</b></span></p><p>ต่อไปนี้ เมื่อใครเห็นว่าที่ไหนมีปัญหาอะไร เมื่อได้วิจารณ์หรือตำหนิติเตียนต่าง ๆ แล้ว ให้ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องเสนอแนะวิธีแก้ไขปัญหานั้น ๆ ด้วยทุกครั้งไป เป็นการช่วยกันแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมร่วมกัน</p><p>หากจะมีข้อขัดข้องตรงที่-ข้อเสนอแนะของเราไปไม่ถึงหูตาของผู้มีอำหน้าที่ ก็ต้องช่วยกันคิดหาวิธีแก้ข้อขัดข้องนี้อีกด้วย</p><p>การร่วมมือร่วมใจกันเช่นนี้ ผู้รู้ท่านเรียกว่า การบริหารบ้านเมืองด้วยระบบสามัคคีธรรม ไม่ใช่ปล่อยให้ใครคิดคนเดียวทำคนเดียวไปตามความพอใจ</p><p>..............</p><p><b>ดูก่อนภราดา!</b></p><p><b>มนุษย์เรา -</b></p><p><b>: ถ้าสอนให้ทำชั่วได้</b></p><p><b>: ก็ต้องสอนให้ทำดีได้</b></p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-36402658034171142682024-03-28T06:02:00.003+07:002024-03-28T06:02:10.728+07:00อารักข์สา ภาษาที่ต้องทำใจ<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0AqiSqWutF2cQjjJfnANR8BN7xqevyS6zP798EBtaxa1jiZ5kAG-DwATZS3ZcA82D83swzEHojIuHnl8YcIjgxSZ6ep0NIJjvhcVFr7D73aL_KcmAy-0xZWFQ4TNeTQA-rQqd885Hy-cDsJVlhn0EGBovXNzhyphenhyphenPm14N3-IrnqDjC682lWtmeMs-4UeA8/s1920/z-324.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0AqiSqWutF2cQjjJfnANR8BN7xqevyS6zP798EBtaxa1jiZ5kAG-DwATZS3ZcA82D83swzEHojIuHnl8YcIjgxSZ6ep0NIJjvhcVFr7D73aL_KcmAy-0xZWFQ4TNeTQA-rQqd885Hy-cDsJVlhn0EGBovXNzhyphenhyphenPm14N3-IrnqDjC682lWtmeMs-4UeA8/s16000/z-324.jpg" /></a></div><br /><p></p><p>ทองย้อย แสงสินชัย </p><p>#บาลีวันละคำ (4,298)</p><p><br /></p><p><span style="font-size: large;"><b>อารักข์สา</b></span></p><p><span style="font-size: large;"><b>ภาษาที่ต้องทำใจ</b></span></p><p>คำที่ยกขึ้นมาวันนี้ ผู้เขียนบาลีวันละคำได้มาจากโพสต์ในเฟซบุ๊กซึ่งเป็นโพสต์ที่โฆษณาหรือประชาสัมพันธ์โครงการที่ชื่อว่า “โครงการอารักข์สา”</p><p>คำว่า “อารักข์สา” ถ้าฟังแต่เสียง ไม่เห็นตัวหนังสือ ก็เดาได้ยากว่าจะสะกดอย่างไร แม้เห็นตัวหนังสือแล้วก็ยังต้องสงสัยว่า สะกดอย่างนี้จะให้แปลว่าอย่างไร </p><p>ต้องใช้ความสังเกต อ่านที่ตอนล่างของโพสต์ พบข้อความว่า (ดูภาพประกอบ) -</p><p>..............</p><p>โครงการ อาสา ARSA Project/โครงการ</p><p>อารักข์ ARRAG Project</p><p>..............</p><p>จึงพอเดาได้ว่า คำว่า “อารักข์” มาจากคำว่า “โครงการ อารักข์” คำว่า “สา” มาจากคำว่า “โครงการ อาสา” เอา “อารักข์” กับ อาสา” มาประสมกันเป็น “อารักข์สา” อ่านว่า อา-รัก-สา</p><p>เมื่ออ่านอย่างนี้ ก็เดาใจผู้คิดประสมคำนี้ได้ว่า เสียงว่า อา-รัก- ต้องการให้จิตประหวัดไปถึงคำว่า “อารักข์” หรือ “อารักษ์” และเสียงว่า -รัก-สา ต้องการให้จิตประหวัดไปถึงคำว่า “รักษา” ทั้งนี้โดยไม่คำนึงว่า รูปคำที่เขียนว่า “อารักข์-” จะถูกต้องตรงกับคำว่า “อารักข์” และ “อารักษ์” หรือไม่ และรูปคำที่เขียนว่า “-รักข์สา” จะถูกต้องตรงกับคำว่า “รักษา” หรือไม่ </p><p>สรุปว่า อาศัยเสียงอ่านจากคำหนึ่งเป็นสื่อให้นึกไปถึงอีกคำหนึ่งเป็นสำคัญ สะกดการันต์ไม่เอามาคิดคำนึง</p><p>วิธีคิดแบบนี้เป็นทำนองเดียวกับวิธีคิดตั้งชื่อของคนไทยสมัยใหม่ ที่มีตำราตีความพยัญชนะแต่ละตัวว่ามีความหมายอย่างไร เช่น ญ หญิง มีความหมายอย่างนี้ ณ เณร มีความหมายอย่างนี้ แล้วเอาพยัญชนะที่ต้องการแต่ละตัวมาประสมกันโดยไม่คำนึงว่า เมื่อประสมกันแล้วจะเป็นคำที่มีความหมายอย่างไร </p><p>เช่น ณ เณร มีความหมายตรงกับที่ต้องการ ญ หญิง มีความหมายตรงกับที่ต้องการ เอามาประสมกันเป็น “ณญ” อ่านว่า นน เอาไปตั้งชื่อ โดยไม่คำนึงว่า “ณญ” เป็นภาษาอะไร แปลว่าอะไร </p><p>เราจึงเห็นชื่อเด็กรุ่นใหม่ที่สะกดแปลก ๆ เขียนตามคำบอกก็สะกดตามไม่ถูก เขียนแล้วก็อ่านยาก ไม่รู้ว่าออกเสียงอย่างไร แม้เขียนได้ อ่านได้ ก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร - นี่คือวิธีคิดตั้งชื่อของคนไทยสมัยนี้</p><p>ขยายความ :</p><p>อย่างไรก็ตาม ชื่อ “โครงการอาสา” และ “โครงการอารักข์” ก็ยังสามารถใช้เป็นสื่อเพื่อศึกษาถ้อยคำเป็นความรู้ได้อยู่</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๑) “อาสา” </b></span></p><p>อ่านว่า อา-สา เป็นรูปคำบาลี รากศัพท์มาจาก อิสฺ (ธาตุ = อยาก) + อ ปัจจัย, แปลง อิ ที่ อิ-(สฺ) เป็น อา (อิสฺ > อาส) + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์</p><p>: อิสฺ + อ = อิส + อา = อิสา > อาสา แปลตามศัพท์ว่า “ธรรมชาติเป็นเหตุให้อยาก” หมายถึง ความจำนง, ความหวัง, ความปรารถนา, ความประสงค์, ความอยากได้ (expectation, hope, wish, longing, desire)</p><p><b>บาลี “อาสา” สันสกฤตเป็น “อาศา” </b></p><p><b>สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า -</b></p><p>“อาศา : (คำนาม) มโนรถ; ความใคร่, ความปรารถนา; ความอยาก; ความยาว; ทิศ; ประเทศ; hope; desire; wish; length; quarter; region.”</p><p><b>โปรดสังเกตว่า “อาศา” ในสันสกฤตมีความหมายกว้างกว่า “อาสา” ในบาลี</b></p><p><b>ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -</b></p><p>“อาสา : (คำกริยา) เสนอตัวเข้ารับทำ. (คำนาม) ความหวัง เช่น นิราสา = ความหวังหมดแล้ว คือ ความหมดหวัง, ความต้องการ, ความอยาก. (ป.; ส. อาศา).” </p><p>“อาสา” ในบาลีหมายถึง “ความหวัง” แต่ในภาษาไทยไม่มีใครเข้าใจว่า “อาสา” คือ “ความหวัง”</p><p>“อาสา” ตามความหมายที่คนไทยเข้าใจกันทั่วไป ก็คือ “เสนอตัวเข้ารับทำ” เช่นในคำว่า “อาสาสมัคร” หรือคำที่เกิดใหม่ว่า “จิตอาสา” </p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๒) “อารักข์” </b></span></p><p>เขียนแบบบาลีเป็น “อารกฺข” อ่านว่า อา-รัก-ขะ รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค =ทั่วไป, ยิ่งขึ้นไป) + รกฺขฺ (ธาตุ = ดูแล, รักษา) + อ (อะ) ปัจจัย </p><p>: อา + รกฺข + อ = อารกฺข แปลตามศัพท์ว่า “การดูแลทั่วไป” หมายถึง การอารักขา, การดูแล, การป้องกัน, การเอาใจใส่, การระมัดระวัง (watch, guard, protection, care)</p><p>เพื่อให้เห็นความหมายที่กว้างออกไปอีก ขอนำคำแปลคำกริยา “รกฺขติ” (รก-ขะ-ติ) ซึ่งเป็นรากเดิมของ “อารกฺข” จากพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ มาเสนอเพิ่มเติมดังนี้ </p><p><span style="font-size: medium;"><b>ความหมายของ รกฺขติ :</b></span></p><p>(1) ป้องกัน, ให้ที่พึ่ง, ช่วยให้รอด, ปกป้องรักษา (to protect, shelter, save, preserve)</p><p>(2) รักษา, ดูแล, เอาใจใส่, ควบคุม (เกี่ยวกับจิต และศีล) (to observe, guard, take care of, control [with ref. to the heart, and good character or morals]) </p><p>(3) เก็บความลับ, เอาไปเก็บไว้, ระวังมิให้..(คือเลี่ยงจาก) (to keep (a) secret, to put away, to guard against [to keep away from])</p><p><b>“อารกฺข” สันสกฤตเป็น “อารกฺษ”</b></p><p><b>สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า -</b></p><p>“อารกฺษ : (คำนาม) การคุ้มครองหรือรักษา; protection or preservation;- (คุณศัพท์) อันป้องกันหรือคุ้มครองรักษาแล้ว, มีผู้อภิบาล, อันน่าอภิบาล; defended or preserved, having a protector, worthy to be preserved.”</p><p><b>“อารกฺข” ภาษาไทยใช้ตามสันสกฤตเป็น “อารักษ์” </b></p><p><b>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -</b></p><p>“อารักษ์ : (คำนาม) การป้องกัน, ความคุ้มครอง, ความดูแล; เทวดาผู้พิทักษ์รักษา, มักใช้ว่า เทพารักษ์ หรือ อารักษเทวดา. (ส.; ป. อารกฺข).”</p><p>โปรดสังเกตว่า คำตามพจนานุกรมฯ สะกดเป็น “อารักษ์” ษ ฤษี การันต์ แต่ชื่อโครงการสะกดเป็น “อารักข์” ข ไข่ การันต์</p><p><b>พจนานุกรมฯ ไม่ได้เก็บคำว่า “อารักข์” ไว้ แต่เก็บคำว่า “อารักขา” บอกไว้ดังนี้ -</b></p><p>“อารักขา : (คำกริยา) ป้องกัน, คุ้มครอง, ดูแล. (คำนาม) การป้องกัน, ความคุ้มครอง, ความดูแล. (ป.).”</p><p>ทำไมชื่อโครงการจึงไม่สะกดเป็น “โครงการอารักษ์” ษ ฤษี การันต์ คงเป็นเหตุผลเฉพาะตัวของผู้คิดชื่อนี้</p><p>อีกคำหนึ่งคือ เสียงที่อ่านว่า -รัก-สา ทำให้จิตประหวัดไปถึงคำว่า “รักษา” แต่รูปคำที่ตาเห็นสะกดเป็น “-รักข์สา” (อารักข์สา) พึงทราบว่า ไม่มีรูปคำในบาลีที่สะกดแบบนี้ </p><p>มีที่สะกดเป็น “รักข์” เขียนแบบบาลีเป็น “รกฺข” </p><p>แต่ที่เป็น “รักข์สา” เขียนแบบบาลีเป็น “รกฺขสา” ไม่มี </p><p>แต่เนื่องจากคำว่า “อารักข์สา” ที่แยกเป็น “อารักข์-” (ประหวัดถึงคำว่า “อารักษ์”) และ “-รักข์สา” (ประหวัดถึงคำว่า “รักษา”) เป็นชื่อเฉพาะ หรือ proper name จึงอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ คือสะกดอย่างไรก็ไม่ถือว่าผิดว่าถูก เป็นข้อยกเว้น เป็นอันว่าผ่านไป</p><p>แต่ก็ยังหาความรู้จากคำว่า “รักษา” ได้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า - </p><p>“รักษ์, รักษา : (คำกริยา) ระวัง เช่น รักษาสุขภาพ, ดูแล เช่น รักษาทรัพย์สมบัติ, ป้องกัน เช่น รักษาบ้านเมือง, สงวนไว้ เช่น รักษาความสะอาด รักษาไมตรี; เยียวยา เช่น รักษาคนไข้. (ส.; ป. รกฺข).”</p><p><span style="font-size: large;"><b>แถม :</b></span></p><p>ดูการแบ่งบรรทัดในข้อความตอนล่างของโพสต์ (ดูภาพประกอบ) -</p><p>โครงการ อาสา ARSA Project/โครงการ</p><p>อารักข์ ARRAG Project </p><p>ผู้เขียนบาลีวันละคำไม่เข้าใจว่าทำไมจึงแบ่งบรรทัดแบบนี้</p><p>ชื่อที่เป็นคำเดียวกัน คือ “โครงการ อารักข์” ทำไมเอาคำว่า “โครงการ” ไปไว้บรรทัดบน เอาคำว่า “อารักข์” มาไว้บรรทัดล่าง ทั้ง ๆ บรรทัดล่างก็มีที่ว่างมากพอ</p><p>ทำไมจึงไม่แบ่งบรรทัดเป็น -</p><p>โครงการ อาสา ARSA Project</p><p>โครงการ อารักข์ ARRAG Project</p><p>คือแต่ละชื่ออยู่คนละบรรทัดชัดเจน พื้นที่ว่างก็มีพอทั้ง 2 บรรทัด</p><p>ดูการแบ่งบรรทัดตามภาพแล้ว ทำให้นึกไปถึงวิธีแบ่งวรรคตอนในการเขียนหนังสือของเด็กไทยรุ่นใหม่ -</p><p>คำที่ควรเว้นวรรค ก็เขียนติดกัน </p><p>คำที่ควรติดกัน ก็เขียนเว้นวรรค</p><p>พบได้ทั่วไปในการเขียนหนังสือของเด็กไทยรุ่นใหม่</p><p>ดูการสะกดการันต์ ดูการเขียนหนังสือ ทำให้คิดไปถึงวิธีคิด วิธีให้เหตุผลต่อปัญหาต่าง ๆ ของคนรุ่นใหม่ </p><p>อย่างไรดี อย่างไรชั่ว </p><p>อย่างไรถูก อย่างไรผิด </p><p>อย่างไรงาม อย่างไรทราม</p><p>คนรุ่นใหม่มีวิธีคิด วิธีมอง วิธีตัดสินอย่างไร?</p><p>ใครรู้บ้าง?</p><p>..............</p><p><b>ดูก่อนภราดา!</b></p><p><b>: ถ้าหาโอกาสปล่อยสิ่งที่ไม่มีสาระ</b></p><p><b>: ก็จะมีโอกาสไปถึงสิ่งที่มีสาระ</b></p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-22368039434704097342024-03-28T05:57:00.004+07:002024-03-28T05:57:27.323+07:00สารีริกธาตุ เรียกกันจนลืมรูปคำเดิม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnLU1UjiewXbyt5qtqko1ymcbNchs7pUDmClxkkNQTclzjHYi4uBGaKkgTUQj3pp1c68hZY3KtBzcfzlj6_4QNkt44Eg5vEcRjyLWBktfLDaymWGZNKS5h-ocRfWdc5Xs8piCx6wTuNELFq0kx-24pYWDIezT_pNxFaYsoy8YBqKWy3iBktAfYBguBJJE/s1920/z-339.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnLU1UjiewXbyt5qtqko1ymcbNchs7pUDmClxkkNQTclzjHYi4uBGaKkgTUQj3pp1c68hZY3KtBzcfzlj6_4QNkt44Eg5vEcRjyLWBktfLDaymWGZNKS5h-ocRfWdc5Xs8piCx6wTuNELFq0kx-24pYWDIezT_pNxFaYsoy8YBqKWy3iBktAfYBguBJJE/s16000/z-339.jpg" /></a></div><br /><p><br /></p><p> ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>#บาลีวันละคำ (4,299)</p><p><br /></p><p><span style="font-size: large;"><b>สารีริกธาตุ</b></span></p><p><span style="font-size: large;"><b>เรียกกันจนลืมรูปคำเดิม</b></span></p><p>อ่านว่า สา-รี-ริ-กะ-ทาด</p><p>ประกอบด้วยคำว่า สารีริก + ธาตุ </p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๑) “สารีริก” </b></span></p><p>อ่านว่า สา-รี-ริ-กะ รากศัพท์มาจาก สรีร + ณิก ปัจจัย </p><p>(ก) “สรีร” อ่านว่า สะ-รี-ระ รากศัพท์มาจาก สรฺ (ธาตุ = เป็นไป, เบียดเบียน) + อีร ปัจจัย</p><p>: สรฺ + อีร = สรีร แปลตามศัพท์ว่า -</p><p>(1) “ร่างที่เป็นไปตามปกติ” คือเกิดขึ้น ดำรงอยู่ แตกสลายไปตามธรรมดา</p><p>(2) “ร่างที่เบียดเบียนลม” คือทำให้ลมผ่านไม่สะดวกเนื่องจากมาปะทะกับร่าง</p><p>“สรีร” ใช้ในความหมายดังนี้ -</p><p>(1) ร่างกาย, โครงร่างของสิ่งใดๆ ที่เป็นวัตถุ (the body, the physical body)</p><p>(2) ร่างกายคนตาย, ซากศพ (a dead body, a corpse)</p><p>(3) กระดูก (the bones)</p><p>(4) ส่วนของร่างกายของผู้ที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว (relics)</p><p>บาลี “สรีร” สันสกฤตเป็น “ศรีร” </p><p>สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า -</p><p>“ศรีร : (คำนาม) กาย, ร่าง, ตัว; the body.”</p><p><b>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -</b></p><p>“สรีร-, สรีระ : (คำนาม) ร่างกาย. (ป.; ส. ศรีร).”</p><p>(ข) สรีร + ณิก ปัจจัย, ลบ ณ (ณิก > อิก), ทีฆะต้นศัพท์ ตามสูตร “ด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ” คือ อะ ที่ ส-(รีร) เป็น อา (สรีร > สารีร)</p><p>: สรีร + ณิก > อิก = สรีริก > สารีริก แปลตามศัพท์ว่า “มีอยู่ในสรีระ” “เกี่ยวกับร่างกาย” </p><p><b>“สารีริก” ใช้ในความหมาย 2 อย่าง:</b></p><p>(1) เป็นคำคุณศัพท์ หมายถึง เกี่ยวเนื่องกับสรีระ, เกี่ยวกับร่างกาย (connected with the body, bodily) </p><p>(2) เป็นคำนาม หมายถึง กระดูกที่เหลือหลังจากเผาแล้ว (bodily relics)</p><p>ในที่นี้ใช้ในความหมายตามข้อ (2)</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๒) “ธาตุ”</b></span></p><p>บาลีอ่านว่า ทา-ตุ รากศัพท์มาจาก ธา (ธาตุ = ทรงไว้) + ตุ ปัจจัย อีกนัยหนึ่งว่ามาจาก ธรฺ (ธาตุ = ทรงไว้) + ตุ ปัจจัย, ลบ รฺ ที่สุดธาตุ, ทีฆะ อะ ที่ ธ-(รฺ) เป็น อา (ธรฺ > ธาร) </p><p>: ธา + ตุ = ธาตุ</p><p>: ธรฺ > ธ + ตุ = ธตุ > ธาตุ</p><p><b>“ธาตุ” (อิตถีลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า -</b></p><p>(๑) “อวัยวะที่ทรงร่างไว้” หมายถึง กระดูก, อัฐิ</p><p>(๒) (1) “สิ่งที่คงสภาพของตนไว้” (2) “สิ่งที่ทรงไว้ซึ่งมูลค่า” (3) “สิ่งที่ทรงประโยชน์ของตนไว้บ้าง ของผู้อื่นไว้บ้าง” หมายถึง ธาตุ, แร่ธาตุ</p><p>(๓) (1) “อักษรที่ทรงไว้ซึ่งเนื้อความพิเศษ” (2) “อักษรอันเหล่าบัณฑิตทรงจำกันไว้” หมายถึง รากศัพท์</p><p><b>พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แสดงความหมายของ “ธาตุ” ไว้ดังนี้</b></p><p>(1) a primary element, of which the usual set comprises the four : earth, water, fire, wind (ปฐมธาตุ, คือธาตุซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 อย่าง คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม)</p><p>(2) natural condition, property, disposition; factor, item, principle, form (ภาวะตามธรรมชาติ, คุณสมบัติ, อุปนิสัย, ปัจจัย, หัวข้อ, หลัก, รูป)</p><p>(3) elements in sense-consciousness: referring to the 6 ajjhattikāni & 6 bāhirāni āyatanāni (ธาตุเกี่ยวกับความรู้สึก เกี่ยวถึงอายตนะภายใน 6 และภายนอกอีก 6)</p><p>(4) a humour or affection of the body (อารมณ์ หรืออาการของกาย)</p><p>(5) the remains of the body after cremation (ส่วนที่เหลือของร่างเมื่อเผาศพแล้ว)</p><p><b>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของคำว่า “ธาตุ” ในภาษาไทยไว้ว่า -</b></p><p>(1) สิ่งที่ถือว่าเป็นส่วนสําคัญที่คุมกันเป็นร่างของสิ่งทั้งหลาย โดยทั่ว ๆ ไปเชื่อว่ามี ๔ ธาตุ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ก็อาจมีธาตุอื่น ๆ อีก เช่น อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ธาตุไม้ ธาตุทอง ธาตุเหล็ก. </p><p>(2) กระดูกของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ โดยทั่ว ๆ ไปเรียกรวม ๆ ว่า พระธาตุ, ถ้าเป็นกระดูกของพระพุทธเจ้า เรียก พระบรมธาตุ หรือ พระบรมสารีริกธาตุ, ถ้าเป็นกระดูกของพระอรหันต์ เรียกว่า พระธาตุ, ถ้าเป็นกระดูกส่วนใดส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า ก็เรียกตามความหมายของคํานั้น ๆ เช่น พระอุรังคธาตุ พระทันตธาตุ, ถ้าเป็นผมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระเกศธาตุ.</p><p>(3) ชื่อคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาซึ่งว่าด้วยธาตุ เช่น ธาตุกถา ธาตุปาฐ.</p><p>(4) (ภาษาถิ่น-อีสาน) เจดีย์ที่บรรจุกระดูกคนที่เผาแล้ว. </p><p>(5) สารเนื้อเดียวล้วนซึ่งประกอบด้วยบรรดาอะตอมที่มีโปรตอนจํานวนเดียวกันในนิวเคลียส. </p><p>(6) รากศัพท์ของคําบาลีสันสกฤตเป็นต้น เช่น ธาตุ มาจาก ธา ธาตุ สาวก มาจาก สุ ธาตุ กริยา มาจาก กฺฤ ธาตุ.</p><p>ในที่นี้ “ธาตุ” หมายถึง กระดูกของพระพุทธเจ้า </p><p>สารีริก + ธาตุ = สารีริกธาตุ บาลีอ่านว่า สา-รี-ริ-กะ-ทา-ตุ ภาษาไทยอ่านว่า สา-รี-ริ-กะ-ทาด แปลว่า “ธาตุคือกระดูก”</p><p>“สารีริกธาตุ” หมายถึง กระดูกของพระพุทธเจ้า ที่เรียก พระบรมธาตุ หรือ พระบรมสารีริกธาตุ หรือที่พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกความหมายว่า the remains of the body after cremation (ส่วนที่เหลือของร่างเมื่อเผาศพแล้ว)</p><p>เวลาพูดคำว่า “พระบรมสารีริกธาตุ” มีใครนึกถึงคำว่า “สรีระ” บ้างหรือเปล่า?</p><p><span style="font-size: medium;"><b>แถม :</b></span></p><p>พระบรมสารีริกธาตุเป็นสิ่งสุดท้ายที่ประกาศให้รู้ว่า โลกในยุคสมัยนี้เคยมีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่ในจิตใจของมวลมนุษย์ และพระบรมสารีริกธาตุก็จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่อันตรธานไปจากโลกเมื่อถึงเวลาศาสนาอันตรธาน</p><p>เมื่อพระบรมสารีริกธาตุอันตรธานแล้ว ก็เป็นอันว่าพระพุทธศาสนาดับสูญสิ้นไปจากโลกโดยสิ้นเชิง โลกจะมืดมนอนธการด้วยอวิชชาโมหะหนาทึบไปจนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปอุบัติขึ้น ดั่งอาทิตย์อุทัยส่องโลกนี้พร้อมทั้งสรรพโลกให้สว่างไสวขึ้นอีกวาระหนึ่งฉะนั้น</p><p>..............</p><p><b>ดูก่อนภราดา!</b></p><p><b>: วันนี้ท่านจะปฏิบัติธรรมให้สุดความสามารถ</b></p><p><b>: ฤๅจะรอไปจนถึงวันพระบรมสารีริกธาตุอันตรธาน?</b></p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-35199289488010955522024-03-28T05:53:00.005+07:002024-03-28T05:53:34.130+07:00ส่วนกุศลธรรมบูชา แบ่งคำอย่างไรดี<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyydiyJd7p14z3IhPV2V1-JWY_dLqG-N5BzTSgT7bTRzqQbg2RCPb3FifhwZdnKZnL4LfXPny2cmW_Ygka9ouxIiWwjKynLdewXqVVr1EETg0vtNrTZF74wExuF8eKllwFa0xXaCnpR2T5R8FrytI21oIiWYesTjFa8cRWmL7mkDcWoCnJARfjE0WU274/s1920/z-1099.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyydiyJd7p14z3IhPV2V1-JWY_dLqG-N5BzTSgT7bTRzqQbg2RCPb3FifhwZdnKZnL4LfXPny2cmW_Ygka9ouxIiWwjKynLdewXqVVr1EETg0vtNrTZF74wExuF8eKllwFa0xXaCnpR2T5R8FrytI21oIiWYesTjFa8cRWmL7mkDcWoCnJARfjE0WU274/s16000/z-1099.jpg" /></a></div><br /><p></p><p>ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>#บาลีวันละคำ (4,300)</p><p><br /></p><p><span style="font-size: large;"><b>ส่วนกุศลธรรมบูชา</b></span></p><p><span style="font-size: large;"><b>แบ่งคำอย่างไรดี</b></span></p><p>สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ มีรายการแสดงพระธรรมเทศนาทุกวันพระ ภาคเช้าเวลา 08:00 นาฬิกา และภาคค่ำเวลา 18:00 นาฬิกา มีผู้มีจิตศรัทธาส่งเงินไปบูชาธรรมที่เรียกเป็นคำสามัญว่า “ติดกัณฑ์เทศน์” เมื่อพระแสดงธรรมจบ ผู้ประกาศของทางสถานีจะนำรายชื่อของผู้บริจาคติดกัณฑ์เทศน์มาประกาศอนุโมทนา </p><p>คำประกาศอนุโมทนาจะจบลงด้วยข้อความว่า -</p><p>“ทั้งนี้ ทางราชการขออนุโมทนาในส่วนกุศลธรรมบูชาครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง”</p><p>..............</p><p><b>คำว่า “ส่วนกุศลธรรมบูชา” แบ่งคำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามเจตนาของผู้คิดข้อความนี้ หรือแบ่งคำอย่างไรจึงจะดี</b></p><p>(๑) ส่วนกุศล + ธรรมบูชา</p><p>(๒) ส่วนกุศลธรรม + (ธรรม) บูชา</p><p>หรืออีกนัยหนึ่ง “กุศลธรรม” กับ “ธรรมบูชา” น้ำหนักควรจะอยู่ที่คำไหน</p><p>ผู้คิดข้อความนี้ต้องการจะให้เป็น “ส่วนกุศลธรรม” หรือ “ส่วนธรรมบูชา” </p><p>หรือว่า -</p><p>“ส่วนกุศลธรรม” ก็ได้ </p><p>“ส่วนธรรมบูชา” ก็ดี</p><p>ใช้ได้ทั้ง 2 อย่าง ดีทั้ง 2 คำ</p><p><span style="font-size: large;"><b>ขยายความ :</b></span></p><p><b>(๑) “กุศล” ( -ศล ศ ศาลา)</b></p><p><b>บาลีเป็น “กุสล” ( -สล ส เสือ) อ่านว่า กุ-สะ-ละ รากศัพท์มาจาก -</b></p><p>(1) กุส (กิเลส; หญ้าคา; โรค) + ลุ (ธาตุ = ตัด) + อ (อะ) ปัจจัย, “ลบสระหน้า” คือลบ อุ ที่ ลุ (ลุ > ล)</p><p>: กุส + ลุ = กุสลุ > กุสล + อ = กุสล แปลตามศัพท์ว่า (1) “กรรมดีที่ตัดกิเลสอันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน” (2) “กรรมที่ตัดบาปธรรมได้เหมือนหญ้าคา” (“ธรรมที่ตัดความชั่วอันเป็นดุจหญ้าคา”) (3) “ภาวะที่ตัดโรคอันนอนเนื่องอยู่ในร่างกายออกไปได้” (ตามข้อ (3) นี้หมายถึงความไม่มีโรค)</p><p>(2) กุ (แทนศัพท์ “กุจฺฉิต” = น่าเกลียด, น่ารังเกียจ) + สลฺ (ธาตุ = หวั่นไหว; ปิด, ป้องกัน) + อ (อะ) ปัจจัย</p><p>: กุ + สลฺ = กุสล + อ = กุสล แปลตามศัพท์ว่า (1) “กรรมที่ยังบาปธรรมอันน่ารังเกียจให้หวั่นไหว” (2) “กรรมเป็นเครื่องปิดประตูอบายที่น่ารังเกียจ”</p><p>(3) กุส (ญาณ, ความรู้) + ลา (ธาตุ = ถือเอา) + อ (อะ) ปัจจัย, “ลบสระหน้า” คือลบ อา ที่ ลา (ลา > ล)</p><p>: กุส + ลา = กุสลา > กุสล + อ = กุสล แปลตามศัพท์ว่า (1) “กรรมที่พึงถือเอาได้ด้วยญาณที่ทำให้บาปเบาบาง” (“ความรู้ที่ทำความชั่วร้ายให้เบาบาง”) (2) “ผู้ถือเอากิจทั้งปวงด้วยปัญญา”</p><p>“กุสล” ถ้าเป็นคำนาม (นปุงสกลิงค์) หมายถึง ความดีงาม, กรรมดี, สิ่งที่ดี, กุศลกรรม, บุญ (good thing, good deeds, virtue, merit, good consciousness) </p><p>“กุสล” ถ้าเป็นคุณศัพท์ มีความหมายว่า ฉลาด, เฉียบแหลม, สันทัด, ชำนาญ; ดีงาม, ถูกต้อง, เป็นกุศล (clever, skilful, expert; good, right, meritorious)</p><p><b>บาลี “กุสล” เราใช้อิงสันสกฤตเป็น “กุศล”</b></p><p><b>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -</b></p><p><b>“กุศล : (คำนาม) สิ่งที่ดีที่ชอบ, บุญ. (คำวิเศษณ์) ฉลาด. (ส.; ป. กุสล).”</b></p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๒) “ธรรม”</b></span></p><p>บาลีเป็น “ธมฺม” อ่านว่า ทำ-มะ รากศัพท์มาจาก ธรฺ (ธาตุ = ทรงไว้) + รมฺม (ปัจจัย) ลบ รฺ ที่สุดธาตุ (ธรฺ > ธ) และ ร ต้นปัจจัย (รมฺม > มฺม)</p><p>: ธรฺ > ธ + รมฺม > มฺม : ธ + มฺม = ธมฺม (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า -</p><p>(1) “กรรมที่ทรงไว้ซึ่งความดีทุกอย่าง” (หมายถึงบุญ)</p><p>(2) “สภาวะที่ทรงผู้ดำรงตนไว้มิให้ตกไปในอบายและวัฏทุกข์” (หมายถึงคุณธรรมทั่วไปตลอดจนถึงโลกุตรธรรม)</p><p>(3) “สภาวะที่ทรงไว้ซึ่งสัตว์ผู้บรรลุมรรคเป็นต้นมิให้ตกไปในอบาย” (หมายถึงโลกุตรธรรม คือมรรคผล)</p><p>(4) “สภาวะที่ทรงลักษณะของตนไว้ หรืออันปัจจัยทั้งหลายทรงไว้” (หมายถึงสภาพหรือสัจธรรมทั่วไป)</p><p>(5) “สภาวะอันพระอริยะมีโสดาบันเป็นต้นทรงไว้ ปุถุชนทรงไว้ไม่ได้” (หมายถึงโลกุตรธรรม คือมรรคผล)</p><p>คำแปลตามศัพท์ที่เป็นกลางๆ “ธมฺม” คือ “สภาพที่ทรงไว้”</p><p><b>บาลี “ธมฺม” สันสกฤตเป็น “ธรฺม” เราเขียนอิงสันสกฤตเป็น “ธรรม”</b></p><p><b>ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของ “ธรรม” ไว้ดังนี้ -</b></p><p>(1) คุณความดี เช่น เป็นคนมีธรรมะ เป็นคนมีศีลมีธรรม</p><p>(2) คำสั่งสอนในศาสนา เช่น แสดงธรรม ฟังธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้า</p><p>(3) หลักประพฤติปฏิบัติในศาสนา เช่น ปฏิบัติธรรม ประพฤติธรรม</p><p>(4) ความจริง เช่น ได้ดวงตาเห็นธรรม</p><p>(5) ความยุติธรรม, ความถูกต้อง, เช่น ความเป็นธรรมในสังคม</p><p>(6) กฎ, กฎเกณฑ์, เช่น ธรรมะแห่งหมู่คณะ</p><p>(7) กฎหมาย เช่น ธรรมะระหว่างประเทศ</p><p>(8 ) สิ่งของ เช่น เครื่องไทยธรรม</p><p>(๓) “บูชา”</p><p>บาลีเป็น “ปูชา” (ไทย บู- บ ใบไม้ บาลี ปู- ป ปลา) อ่านว่า ปู-ชา รากศัพท์มาจาก ปูชฺ (ธาตุ = บูชา) + อ (อะ) ปัจจัย + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์ </p><p>: ปูชฺ + อ = ปูช + อา = ปูชา แปลตามศัพท์ว่า “การบูชา” หมายถึง การบูชา, การนับถือ, การแสดงความภักดี (honour, worship, devotional attention) </p><p><b>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า - </b></p><p>“บูชา : (คำกริยา) แสดงความเคารพบุคคลหรือสิ่งที่นับถือด้วยเครื่องสักการะ มีดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น เช่น บูชาพระ บูชาเทวดา บูชาไฟ, ยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือหรือเลื่อมใสในความรู้ความสามารถ เช่น บูชาวีรบุรุษ บูชาความรู้ บูชาฝีมือ; ซื้อพระพุทธรูป วัตถุมงคล หรือสิ่งที่ถือว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูปองค์นี้บูชามาเท่าไร, เช่า ก็ใช้. (ป., ส. ปูชา).”</p><p>..............</p><p><b>(1) ถ้าเป็น “กุศลธรรม” </b></p><p>คำว่า “ธรรม” จะหมายถึงสภาพทั่วไป มีความหมายเป็นกลาง ๆ ไม่ดีไม่ชั่ว ขึ้นอยู่กับบริบทหรือคำขยาย เช่น -</p><p>ถ้ามีคำว่า “กุศล” มาขยาย เป็น “กุศลธรรม” ก็หมายถึงเรื่องที่ดี สิ่งที่ดี</p><p>ถ้ามีคำว่า “อกุศล” มาขยาย เป็น “อกุศลธรรม” ก็หมายถึงเรื่องที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่ดี</p><p><b>(2) ถ้าเป็น “ธรรมบูชา”</b></p><p>คำว่า “ธรรม” จะมีความหมายเฉพาะ คือหมายถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า “พระธรรม” เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์</p><p>“ธรรมบูชา” หมายถึง บูชาพระธรรมในพระรัตนตรัยที่พระท่านนำมาแสดง</p><p>..............</p><p><b>ดูก่อนภราดา!</b></p><p><b>คนเก่าแนะนำว่า -</b></p><p><b>: ฟังสวด ส่งจิตไปตามถ้อยคำ</b></p><p><b>: ฟังธรรม ส่งใจไปตามข้อความ</b></p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-2141119612204829672024-03-28T05:49:00.005+07:002024-03-28T05:49:48.336+07:00สัปปายะสภาสถาน “ที่ประชุมสภาอันน่าสบาย”<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXBUW-kUVLaLq1xrn9NiibXLE9vcpq-vY5Rkp7axLYiKO907SYupiry7V8KVMSy6E1EPr0tF5PPJiBS-0Ndft3_C7HYKsE7bDdOABb2WhtKueSzSx7IHmYAZPR-7pgk2IdK75WwGqips3Jb-WIBUF4ShrBuDiLsfgAt21-aHsf3zHho7fjUlmp7vMHhho/s1920/z-1117.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXBUW-kUVLaLq1xrn9NiibXLE9vcpq-vY5Rkp7axLYiKO907SYupiry7V8KVMSy6E1EPr0tF5PPJiBS-0Ndft3_C7HYKsE7bDdOABb2WhtKueSzSx7IHmYAZPR-7pgk2IdK75WwGqips3Jb-WIBUF4ShrBuDiLsfgAt21-aHsf3zHho7fjUlmp7vMHhho/s16000/z-1117.jpg" /></a></div><br /><p><br /></p><p> ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>#บาลีวันละคำ (4,301)</p><p><br /></p><p><span style="font-size: large;"><b>สัปปายะสภาสถาน</b></span></p><p><span style="font-size: large;"><b>“ที่ประชุมสภาอันน่าสบาย”</b></span></p><p>อ่านว่า สับ-ปา-ยะ-สะ-พา-สะ-ถาน</p><p>ประกอบด้วยคำว่า สัปปายะ + สภา + สถาน</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๑) “สัปปายะ” </b></span></p><p>เขียนแบบบาลีเป็น “สปฺปาย” อ่านว่า สับ-ปา-ยะ รากศัพท์มาจาก สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน, ร่วมกัน) + ป (คำอุปสรรค = ทั่ว, ข้างหน้า) + อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, ยิ่ง) + อิ (ธาตุ = ไป, ถึง) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น ป (หรือลบนิคหิตแล้วซ้อน ป), แปลง อิ ที่ธาตุเป็น เอ, แปลง เอ เป็น อย แล้วทีฆะ อะ ที่ อ-(ย) เป็น อา ด้วยอำนาจ ณ ปัจจัย (อย > อาย) </p><p>: สํ > สปฺ + ป = สปฺป + อา = สปฺปา + อิ > เอ > อย = สปฺปย + ณ = สปฺปยณ > สปฺปย > สปฺปาย แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ไปได้พร้อมทั่วถึง” = อยากจะไป อยากจะทำอะไร ก็ไปได้ทำได้ไม่ติดขัด </p><p><b>“สปฺปาย” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ - </b></p><p>(1) เป็นคำนาม: สิ่งที่เป็นประโยชน์, คุณประโยชน์, การช่วยเหลือ (something beneficial, benefit, help)</p><p>(2) เป็นคุณศัพท์: น่าเป็นจริง, มีประโยชน์, เหมาะสม, สมควร (likely, beneficial, fit, suitable)</p><p><b>“สปฺปาย” ในภาษาไทยใช้ว่า “สบาย” (โปรดสังเกตว่าไม่ต้องประวิสรรชนีย์ที่ ส-) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า -</b></p><p>(1) อยู่ดีกินดี เช่น เดี๋ยวนี้เขาสบายขึ้น ลูก ๆ ทำงานหมดแล้ว, เป็นสุขกายสุขใจ เช่น เวลานี้เขาสบายแล้ว เพราะมีฐานะดีขึ้น ไม่มีวิตกกังวลใด ๆ.</p><p>(2) สะดวก เช่น ทำตามสบายไม่ต้องเกรงใจ มีรถส่วนตัวสบายกว่าไปรถประจำทาง, มักใช้เข้าคู่กับคำ สุข หรือ สะดวก เป็น สุขสบาย หรือ สะดวกสบาย.</p><p>(3) พอเหมาะพอดี เช่น เก้าอี้ตัวนี้นั่งสบาย.</p><p>(4) ไม่ลำบากกาย เช่น เขาทำงานสบายขึ้น ไม่ต้องแบกหามเหมือนเมื่อก่อน.</p><p>(5) ไม่เจ็บไม่ไข้ เช่น เวลานี้เขาสบายดี ไม่ป่วยไข้.</p><p>(6) มีความพอใจเมื่อได้สัมผัส เช่น สบายหู สบายตา สบายกาย.</p><p>ความหมายในทางธรรม “สัปปายะ” หมายถึง สิ่งที่สบาย, สภาพเอื้อ, สิ่งที่เกื้อกูล, สิ่งที่เอื้อต่อการอยู่ดีและการที่จะพัฒนาชีวิต, สิ่งที่เหมาะกัน อันเกื้อหนุนในการปฏิบัติงานให้ได้ผลดี ช่วยให้มีความตั้งใจมุ่งมั่น ไม่เสื่อมถอย </p><p>ในทางธรรม ท่านจำแนก “สัปปายะ” ไว้ 7 อย่าง ขอยกคำอธิบายจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [286] สัปปายะ 7 มาแสดงไว้ในที่นี้เพื่อประกอบการศึกษา ดังนี้</p><p>..............</p><p>สัปปายะ 7 (สิ่งที่สบาย, สภาพเอื้อ, สิ่งที่เกื้อกูล, สิ่งที่เอื้อต่อการอยู่ดีและการที่จะพัฒนาชีวิต, สิ่งที่เหมาะกัน อันเกื้อหนุนในการเจริญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิตั้งมั่น ไม่เสื่อมถอย — Sappāya: beneficial or advantageous conditions; suitable or agreeable things; things favourable to mental development)</p><p>1. อาวาสสัปปายะ (ที่อยู่อันเหมาะ เช่น ปลอดภัย ไม่พลุกพล่านจอแจ — Āvāsa-sappāya: suitable abode) บางแห่งเรียก เสนาสนสัปปายะ</p><p>2. โคจรสัปปายะ (แหล่งอาหารอำนวย ที่เที่ยวบิณฑบาตที่เหมาะดี เช่น มีหมู่บ้านหรือชุมชนที่มีอาหารบริบูรณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป — Gocara~: suitable resort)</p><p>3. ภัสสสัปปายะ (การพูดคุยที่เหมาะกัน เช่น พูดคุยเล่าขานกันแต่ในกถาวัตถุ 10 และพูดแต่พอประมาณ ข่าวสารและสื่อสารที่เอื้อปัญญา — Bhassa~: suitable speech) บางแห่งเรียก ธัมมัสสวนสัปปายะ</p><p>4. ปุคคลสัปปายะ (บุคคลที่ถูกกันเหมาะกัน เช่น ไม่มีคนร้าย แต่มีท่านผู้ทรงคุณธรรม ทรงภูมิปัญญาเป็นที่ปรึกษาเหมาะใจ — Puggala~: suitable person)</p><p>5. โภชนสัปปายะ (อาหารที่เหมาะกัน เช่น ถูกกับร่างกาย เกื้อกูลต่อสุขภาพ ฉันไม่ยาก — Bhojana~: suitable food) บางแห่งเรียก อาหารสัปปายะ</p><p>6. อุตุสัปปายะ (ดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่เหมาะ เช่น ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไปเป็นต้น — Utu~: suitable climate)</p><p>7. อิริยาปถสัปปายะ (อิริยาบถที่เหมาะกัน เช่น บางคนถูกกับจงกรม บางคนถูกกับนั่ง ตลอดจนมีการเคลื่อนไหวที่พอดี มีอิริยาบถสมดุล — Iriyāpatha~: suitable posture)</p><p>..............</p><p>ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง สัปปายะ:</p><p>วิสุทธิมรรคฉบับบาลี ภาค 1 หน้า 161-163</p><p>วิสุทธิมรรคแปล ภาค 1 ตอน 2 หน้า 101-104</p><p>..............</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๒) “สภา” </b></span></p><p><b>อ่านว่า สะ-พา รากศัพท์มาจาก -</b></p><p>(1) สนฺต (คนดี) + ภา (ธาตุ = รุ่งเรือง) + กฺวิ ปัจจัย แปลง สนฺต เป็น ส, ลบ กฺวิ</p><p>: สนฺต > ส + ภา = สภา + กฺวิ = สภากฺวิ > สภา แปลตามศัพท์ว่า “ที่อันรุ่งเรืองด้วยคนดี”</p><p>(2) สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน, ร่วมกัน) + ภาสฺ (ธาตุ = พูด, กล่าว) + กฺวิ ปัจจัย, ลบนิคหิตที่ สํ (สํ > ส), ลบ ส ที่สุดธาตุ (ภาสฺ > ภา) และลบ กฺวิ</p><p>: สํ > ส + ภาสฺ = สภาสฺ + กฺวิ = สภาสกฺวิ > สภาส > สภา แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่มาประชุมกันพูด”</p><p>(3) สห (คำอุปสรรค = ร่วมกัน) + ภา (ธาตุ = พูด, กล่าว) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ ห ที่ สห (สห > ส) และลบ กฺวิ</p><p>: สห > ส + ภา = สภา + กฺวิ = สภากฺวิ > สภา แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่พูดร่วมกัน”</p><p>ตามความหมายเหล่านี้ “สภา” จึงเป็นเครื่องหมายของสังคมประชาธิปไตย คือ คนดี ๆ มาปรึกษาหารือกันก่อนแล้วจึงลงมือทำกิจการต่าง ๆ ของบ้านเมือง</p><p>“สภา” (อิตถีลิงค์) ทั้งบาลี สันสกฤต และภาษาไทยใช้รูปเดียวกัน</p><p><b>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า</b></p><p>“สภา : (คำนาม) องค์การหรือสถานที่ประชุม เช่น สภาผู้แทนราษฎร สภาสตรีแห่งชาติ สภามหาวิทยาลัย วุฒิสภา. (ป., ส.).”</p><p>ในภาษาบาลี “สภา” หมายถึง “สถานที่” แต่ในภาษาไทยนอกจากหมายถึงสถานที่แล้ว ยังหมายถึง “องค์การ” (หรือองค์กร) คือศูนย์รวมกลุ่มบุคคลหรือกิจการที่ประกอบกันขึ้นเป็นหน่วยงาน เช่น</p><p>- สภาผู้แทนราษฎร</p><p>- สภาสตรีแห่งชาติ</p><p>- สภามหาวิทยาลัย</p><p>- วุฒิสภา</p><p>“สภา” ในความหมายนี้เล็งถึงความเป็น “หน่วยงาน” ไม่ได้เล็งถึง “สถานที่” หมายความว่า “สภา” ดังกล่าวนี้จะมีสถานที่ตั้งอยู่ที่ไหน หรือแม้แต่จะไม่มีสถานที่ตั้ง ก็มีฐานะเป็น “สภา” อยู่ในตัวแล้ว</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๓) “สถาน” </b></span></p><p>บาลีเป็น “ฐาน” (ถา-นะ) รากศัพท์มาจาก ฐา (ธาตุ = ตั้งอยู่) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)</p><p>: ฐา + ยุ > อน = ฐาน แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่ตั้งแห่งผล” </p><p>“ฐาน” ใช้ในความหมายหลายอย่างตามแต่บริบท เช่น สถานที่, เขตแคว้น, ตำบล, แหล่ง, ที่อาศัย, ฐานะ, การตั้งอยู่, การดำรงอยู่, การหยุดอยู่, การยืน, ที่ตั้ง, ตำแหน่ง, เหตุ, โอกาส (ภาษาอังกฤษอาจใช้ได้หลายคำ เช่น place, region, locality, abode, part, state, condition, standing position, location, ground)</p><p>บาลี “ฐาน” สันสกฤตเป็น “สฺถาน”</p><p><b>สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า -</b></p><p>(สะกดตามต้นฉบับ)</p><p>“สฺถาน : (คำนาม) สถล, ที่, ตำแหน่ง; การอยู่; สมพาท, ความแม้น; อวกาศหรือมัธยสถาน; ที่แจ้งในเมือง, ทุ่ง, ฯลฯ; เรือน, บ้านหรือที่อาศรัย; บริเฉท; บุรี, นคร; สำนักงาร; บท, สถิติ; การหยุด; place, site, situation; staying; resemblance, likeness; leisure or interval; an open place in a town, a plain, &c.; a house, a dwelling; a chapter; a town, a city; an office; degree, station; halt.”</p><p>ภาษาไทยใช้ตามรูปสันสกฤตเป็น “สถาน” </p><p><b>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -</b></p><p>“สถาน ๑ : (คำนาม) ที่ตั้ง เช่น สถานเสาวภา สถานพยาบาล สถานพักฟื้น สถานบริบาลทารก, ถ้าใช้ประกอบคำอื่นหมายถึง ที่, แหล่ง, เช่น โบราณสถาน ศาสนสถาน ฌาปนสถาน ปูชนียสถาน สังเวชนียสถาน; ประการ เช่น มีความผิดหลายสถาน. (ส.; ป. ฐาน).”</p><p><span style="font-size: medium;"><b>การประสมคำ :</b></span></p><p>๑ สภา + สถาน = สภาสถาน แปลว่า “สถานที่ประชุม” หมายถึง สถานที่ประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ที่เรียกรู้กันสั้น ๆ ว่า “ที่ประชุมสภา”</p><p>๒ สัปปายะ + สภาสถาน = สัปปายะสภาสถาน แปลว่า “สถานที่ประชุมอันเป็นสัปปายะ” คือ สถานที่ประชุมอันสบาย </p><p><span style="font-size: large;"><b>หลักภาษา :</b></span></p><p>ตามหลักการเขียนคำสมาสสนธิ ชื่อนี้ควรสะกดเป็น “สัปปายสภาสถาน” ไม่ต้องประวิสรรชนีย์ที่ -ยะ ภาษาไวยากรณ์พูดว่า ไม่ต้องประวิสรรชนีย์กลางคำ คือ สัปปาย- ไม่ต้องมีสระ อะ แต่คงอ่านว่า สับ-ปา-ยะ-</p><p>แต่คำนี้เป็นวิสามานยนาม หรือที่คำบาลีเรียกว่า “อสาธารณนาม” (proper name) เพราะฉะนั้น จะสะกดอย่างไรต้องเป็นไปตามเจตนาของผู้ของผู้คิดคำนี้ขึ้นมา</p><p>“สัปปายะสภาสถาน” เป็นชื่ออาคารรัฐสภาของไทย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณมุมตะวันตกเฉียงใต้ของสี่แยกเกียกกาย ระหว่างถนนทหารกับถนนสามเสน ในพื้นที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร</p><p><span style="font-size: medium;"><b>ขยายความ :</b></span></p><p><b>คำว่า “สัปปายะสภาสถาน” มีความหมายว่าอย่างไร?</b></p><p><b>ถอดความคำว่า “สัปปายะ” ให้สอดคล้องกับฐานะของที่ประชุมสภาแห่งแผ่นดิน ตามอัตโนมัตยาธิบายของผู้เขียนบาลีวันละคำเป็นดังนี้ -</b></p><p>1. อาวาสสัปปายะ = “ที่อยู่สบาย” คือ สถานที่เหมาะสม ทั้งสถานที่ทั้งหมดโดยรวม และสถานที่ย่อย เช่นห้องหับต่าง ๆ</p><p>2. โคจรสัปปายะ = “หาอาหารสบาย” คือ แหล่งอาหารการกินหาง่าย ไม่ต้องออกไปนอกพื้นที่</p><p>3. ภัสสสัปปายะ = “พูดคุยสบาย” คือเรื่องที่นำเข้าสู่การประชุมปรึกษาหารือกันเป็นเรื่องที่อำนวยประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน</p><p>4. ปุคคลสัปปายะ = “บุคคลสบาย” คือสมาชิกสภาและเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนเป็นคนดีมีศีลธรรม มีความรู้ความสารถเหมาะสมแก่หน้าที่ของตน ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน</p><p>5. โภชนสัปปายะ = “อาหารสบาย” คือมีชนิดของอาหารให้เลือกได้ตามต้องการ (คนละอย่างกับข้อ 2 โคจรสัปปายะ หมายถึงแหล่งอาหารหาง่าย ข้อนี้หมายถึงมีอาหารที่ถูกกับจริตหรือถูกกับสุขภาพของแต่ละคนให้เลือกได้)</p><p>6. อุตุสัปปายะ = “ลมฟ้าอากาศสบาย” คือสถานที่ทำงานมีอากาศดี หรือปฏิบัติหน้าที่ในห้วงเวลาที่ดินฟ้าอากาศดีหรือธรรมชาติแวดล้อมเหมาะสม </p><p>7. อิริยาปถสัปปายะ = “อิริยาบถสบาย” คือมีสถานที่และมีเวลาให้ผ่อนคลายได้ตามสมควร </p><p>เมื่อตั้งชื่อว่า “สัปปายะสภาสถาน” ที่ประชุมสภาแห่งแผ่นดินก็ควรประกอบด้วยคุณสมบัติดังอธิบายมานี้ </p><p>แต่โปรดเข้าใจว่า คำอธิบายนี้ไม่ได้เป็นคำรับรองยืนยันว่า ที่ประชุมสภาแห่งแผ่นดินของเราแห่งนี้ ในขณะนี้มีคุณสมบัติตามที่ว่านี้ครบถ้วนแล้ว</p><p>อนึ่ง โปรดทราบว่า บาลีวันละคำอธิบายความหมายตามแนวหลักภาษาเท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงความหมายตามเจตนาของผู้ตั้งชื่อ</p><p>..............</p><p><b>ดูก่อนภราดา!</b></p><p><b>: ไม่มีที่ประชุมสภา ก็ยังพูดจากันได้</b></p><p><b>: แต่ถ้าไม่มีธรรมประจำใจ สภาไหน ๆ ก็ไม่มีราคา</b></p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-69283022175600366682024-03-28T05:45:00.004+07:002024-03-28T05:45:33.102+07:00ฉันเพล ไม่ใช่ ฉันท์เพล<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiCcxhK0xe7cj99CkZ9YDc00EgNfPHaUt1fo5adDiNweMdOEXkSbrgmjPCuhln7mFlG0XoLMo7-XLS6ngsIJA_GPQjTNJaSGum8RwgG_4QYtXAQWkNLsxHVbq5DeFOGL2KiZs29GNzE6v4HFc0CtUQAkWvCjuCvGRaQo80_aeBPAah3W8ZKgvcVRY0DhFk/s1920/z-285.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiCcxhK0xe7cj99CkZ9YDc00EgNfPHaUt1fo5adDiNweMdOEXkSbrgmjPCuhln7mFlG0XoLMo7-XLS6ngsIJA_GPQjTNJaSGum8RwgG_4QYtXAQWkNLsxHVbq5DeFOGL2KiZs29GNzE6v4HFc0CtUQAkWvCjuCvGRaQo80_aeBPAah3W8ZKgvcVRY0DhFk/s16000/z-285.jpg" /></a></div><br /><p></p><p>ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>#บาลีวันละคำ (4,302)</p><p><br /></p><p><span style="font-size: large;"><b>ฉันเพล ไม่ใช่ ฉันท์เพล</b></span></p><p>ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นป้ายประกาศข้างทางเขียนคำว่า “ฉันท์เพล” (ดูภาพประกอบ) จึงขอเก็บมาเขียนเป็นบาลีวันละคำวันนี้</p><p>โปรดทราบทั่วกันว่า พระฉันอาหารมื้อกลางวัน ภาษาไทยเรียกว่า “ฉันเพล” </p><p>คำว่า “ฉัน” สะกดเป็น ฉ + ไม้หันอากาศ + น = ฉัน </p><p>“ฉันเช้า” “ฉันเพล”</p><p>“ฉัน” เท่านี้ ไม่ต้องมี ท การันต์</p><p>“ฉันท์เพล” เป็นคำที่เขียนผิด </p><p>อย่าเขียนตาม อย่าใช้ตาม</p><p>ช่วยกันกำชับลูกหลานด้วย</p><p>ต่อไปก็ช่วยกันหาความรู้</p><p>“ฉัน” เป็นคำไทย</p><p>“ฉันท์” เป็นคำบาลี</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๑) “ฉัน” เป็นคำไทย </b></span></p><p>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บคำว่า “ฉัน” ไว้ 4 คำ บอกไว้ดังนี้ - </p><p>(1) ฉัน ๑ : (คำสรรพนาม) คำใช้แทนตัวผู้พูด พูดกับผู้ที่เสมอกันหรือผู้ใหญ่พูดกับผู้น้อย, เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๑.</p><p>(2) ฉัน ๒ : (คำกริยา) กิน (ใช้แก่ภิกษุสามเณร).</p><p>(3) ฉัน ๓ : (คำวิเศษณ์) เสมอเหมือน, เช่น, อย่าง, เช่น ฉันญาติ.</p><p>(4) ฉัน ๔ : (คำวิเศษณ์) มีแสงกล้า, มีแสงพุ่งออกไป, เช่น พระสุริฉัน.</p><p><b>ขอเสนอวิธีจำเพื่อเข้าใจง่ายดังนี้ -</b></p><p>ฉัน ๑ ฉัน-กู</p><p>ฉัน ๒ ฉัน-กิน</p><p>ฉัน ๓ ฉัน-เหมือน</p><p>ฉัน ๔ ฉัน-ส่องแสง</p><p>จะเห็นได้ว่า คำธรรมดาที่เราพูดกันว่า “กิน” เมื่อใช้แก่ภิกษุสามเณร ใช้ว่า “ฉัน” </p><p>ฉ + ไม้หันอากาศ + น = ฉัน </p><p>“ฉันเช้า” “ฉันเพล”</p><p>“ฉัน” เท่านี้ ไม่ต้องมี ท การันต์</p><p><b><span style="font-size: medium;">(๒) “ฉันท์” เป็นคำบาลี</span></b></p><p><b>“ฉันท์” เขียนแบบบาลีเป็น “ฉนฺท” อ่านว่า ฉัน-ทะ รากศัพท์มาจาก - </b></p><p>(1) ฉนฺทฺ (ธาตุ = ปรารถนา) + อ (อะ) ปัจจัย </p><p>: ฉนฺทฺ + อ = ฉนฺท (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ความปรารถนา” </p><p>(2) ฉทฺ (ธาตุ = ปิด, บัง, ระวัง) + อ (อะ) ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมที่ต้นธาตุแล้วแปลงเป็น นฺ (ฉท > ฉํท > ฉนฺท)</p><p>: ฉทฺ + อ = ฉท > ฉํท > ฉนฺท (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “บทประพันธ์ที่ปกปิดโทษคือความไม่ไพเราะ” </p><p><b>“ฉนฺท” ในบาลีใช้ในความหมาย 3 อย่าง คือ -</b></p><p>(1) สิ่งกระตุ้นใจ, แรงดลใจ, ความตื่นเต้น; ความตั้งใจ, การตกลงใจ, ความปรารถนา; ความอยาก, ความประสงค์, ความพอใจ (impulse, excitement; intention, resolution, will; desire for, wish for, delight in)</p><p>(2) ความยินยอม, ความยอมให้ที่ประชุมทำกิจนั้น ๆ ในเมื่อตนมิได้ร่วมอยู่ด้วย (consent, declaration of consent to an official act by an absentee) ความหมายนี้คือที่เราพูดว่า “มอบฉันทะ”</p><p>(3) ฉันทลักษณ์, กฎเกณฑ์ว่าด้วยการแต่งฉันท์, ตำราฉันท์; บทร้อยกรอง (metre, metrics, prosody; poetry) </p><p>ความหมายในข้อ (3) นี้ คือที่ภาษาไทยพูดว่า “กาพย์กลอนโคลงฉันท์” บาลีไม่ได้เรียกแยกชนิดเหมือนไทย คงเรียกรวมทุกอย่างว่า “ฉนฺท-ฉันท์” แต่มีชื่อเฉพาะสำหรับฉันท์แต่ละชนิด เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “คาถา” </p><p><b>ในภาษาไทย ใช้เป็น “ฉันท-” (มีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย) “ฉันท์” และ “ฉันทะ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ -</b></p><p>(1) ฉันท- ๑, ฉันท์ ๑ : (คำนาม) ชื่อคำประพันธ์ประเภทหนึ่งที่วางคำ ครุ ลหุ เป็นแบบต่าง ๆ. (ป.).</p><p>(2) ฉันท- ๒, ฉันท์ ๒, ฉันทะ : (คำนาม) ความพอใจ, ความรักใคร่, ความชอบใจ, ความยินดี; ความร่วมความคิดความเห็นกัน เช่น ลงมติเป็นเอกฉันท์, ความไว้เนื้อเชื่อใจ เช่น มอบฉันทะ. (ป.).</p><p>“ฉนฺท” ถ้าต้องการให้ออกเสียง “-ทะ” ก็เขียนว่า “ฉันทะ” ถ้าต้องการให้ออกเสียงว่า “ฉัน” ก็เขียนว่า “ฉันท์” (การันต์ที่ ท) ซึ่งเสียงพ้องกับ “ฉัน” คำไทย</p><p>ดังนั้น พระภิกษุสามเณรฉันอาหารมื้อกลางวัน เขียนว่า “ฉันท์เพล” จึงผิด</p><p>คำที่ถูกคือ “ฉันเพล” ฉัน คำไทย ไม่ต้องมี ท การันต์</p><p><span style="font-size: large;"><b>ขยายความ :</b></span></p><p>พระภิกษุสามเณรในเมืองไทย โดยทั่วไปฉันวันละ 2 เวลา คือเวลาเช้า ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนใกล้สาย หรือเวลาระหว่าง 07:00 นาฬิกา ถึง 08:00 นาฬิกา เรียกว่า “ฉันเช้า” และเวลาระหว่าง 11:00 นาฬิกา ถึง 12:00 นาฬิกา เรียกว่า “ฉันเพล”</p><p>เปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 แถมให้อีกคำหนึ่ง คือคำว่า “เพล” พจนานุกรมฯ บอกไว้ดังนี้ -</p><p>“เพล : (คำนาม) เวลาพระฉันกลางวัน คือ เวลาระหว่าง ๑๑ นาฬิกาถึงเที่ยง เรียกว่า เวลาเพล. (ป., ส. เวลา ว่า กาล).”</p><p>คำอธิบายในพจนานุกรมฯ บอกว่า “เวลาพระฉันกลางวัน” ก็สะกดว่า “ฉัน” เกลี้ยง ๆ แบบนี้ ไม่มี ท การันต์</p><p>“ฉันกลางวัน” ก็คือ “ฉันเพล”</p><p><span style="font-size: large;"><b>แถม :</b></span></p><p>ถ้าคนไทยขยันเปิดพจนานุกรมกันให้มากขึ้น</p><p>คำที่เขียนผิด ๆ ก็จะน้อยลง</p><p>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 มีโปรแกรมที่สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งไว้ในโทรศัพท์มือถือได้ และเปิดอ่านได้ทุกที่ ไม่ต้องใช้สัญญาณอินเทอเน็ต</p><p>ถ้าเด็กไทยวันนี้ -</p><p>ใช้เวลาเขี่ยโทรศัพท์เล่นเกมให้น้อยลง</p><p>และหัดใช้เวลาเขี่ยโทรศัพท์อ่านพจนานุกรมกันบ้าง</p><p>คนไทยวันหน้า -</p><p>ก็จะเขียนภาษาไทยถูกต้องมากขึ้น</p><p>และคำที่เขียนผิด ๆ ก็จะน้อยลง</p><p>ภาษาไทยก็จะงามมากขึ้น</p><p>และทรามน้อยลง</p><p>แต่น่าเสียดายที่ -</p><p>พ่อแม่ไทยวันนี้ไม่ได้สอนลูกหลานให้รู้จักพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (เพราะตัวพ่อแม่เองก็ไม่รู้จัก)</p><p>ครูบาอาจารย์ในสถานศึกษาก็ไม่ได้ปลูกฝังให้นักเรียนนักศึกษารักการเปิดพจนานุกรม</p><p>คำที่เขียนผิดสะกดผิดจึงระบาดกลาดเกลื่อนทั่วไปหมด </p><p>ทั้งไม่มีใครเห็นว่าเสียหาย</p><p>ถึงกับตั้งทฤษฎีว่า ภาษาเป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีผิดไม่มีถูก</p><p>เขียนออกไปแล้ว คนอ่านเข้าใจว่าสื่อถึงอะไร-เท่านั้นพอ</p><p>ไม่จำเป็นต้องใช้กฎเกณฑ์ว่า สะกดอย่างนั้นผิด สะกดอย่างนี้ถูก</p><p>..............</p><p><b>ดูก่อนภราดา!</b></p><p><b>: ฉันอะไรใช้ดีดี </b></p><p><b>ฉันท์บาลีฤๅฉันไทย</b></p><p><b>ใช้ชอบควรชอบใจ</b></p><p><b>ใช่ชอบใช้ตามใจฉัน</b></p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-58779714979732033032024-03-28T05:40:00.005+07:002024-03-28T05:40:49.014+07:00แม่พิมพ์ ไม่ใช่ พ่อพิมพ์ “แม่” ไม่ใช่คำบอกเพศไปเสียทั้งหมด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3GcT3O0VduTAzJgoQbiy6-RolI5gYo-cZHp1BcjKBB6fAsOl9PC9VTtBTCDiH2f8Ldv8ZN1v6ncuR5RZkgXMjgf_IoUEQQvjv5NktLH8UakpyAQLKiaz8dwIhYUXNvn9ayLVuII_AvtP3usWvxK2qKuEUZst_sQJ-oAaMAw7SIaSfoBG8Zwv4oaTP0vI/s1920/z-375.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3GcT3O0VduTAzJgoQbiy6-RolI5gYo-cZHp1BcjKBB6fAsOl9PC9VTtBTCDiH2f8Ldv8ZN1v6ncuR5RZkgXMjgf_IoUEQQvjv5NktLH8UakpyAQLKiaz8dwIhYUXNvn9ayLVuII_AvtP3usWvxK2qKuEUZst_sQJ-oAaMAw7SIaSfoBG8Zwv4oaTP0vI/s16000/z-375.jpg" /></a></div><br /><p><br /></p><p>ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>#บาลีวันละคำ (4,303)</p><p><br /></p><p><span style="font-size: large;"><b>แม่พิมพ์ ไม่ใช่ พ่อพิมพ์</b></span></p><p><span style="font-size: large;"><b>“แม่” ไม่ใช่คำบอกเพศไปเสียทั้งหมด</b></span></p><p>คำว่า “แม่พิมพ์” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ดังนี้ -</p><p>“แม่พิมพ์ : (คำนาม) สิ่งที่เป็นต้นแบบ เช่น แม่พิมพ์ตัวหนังสือ, โดยปริยายหมายถึงครูอาจารย์ซึ่งถือว่าเป็นแบบอย่างความประพฤติของศิษย์.”</p><p>คำว่า “โดยปริยายหมายถึงครูอาจารย์” ทำให้เรานิยมเรียกครูอาจารย์ว่า “แม่พิมพ์”</p><p>อยู่มาวันหนึ่ง มีคนคิดขึ้นมาว่า ครูอาจารย์ผู้หญิง เรียกว่า “แม่พิมพ์” เป็นการถูกต้องแล้ว แต่ครูอาจารย์ผู้ชายเรียกว่า “แม่พิมพ์” น่าจะไม่ถูก ควรเรียกว่า “พ่อพิมพ์” จึงจะถูก เพราะเป็นผู้ชาย </p><p>คิดดังนั้นแล้ว จึงเรียกครูอาจารย์ผู้หญิงว่า “แม่พิมพ์” และเรียกครูอาจารย์ผู้ชายว่า “พ่อพิมพ์” ตั้งแต่นั้นมา </p><p>เข้าใจว่าทุกวันนี้ก็น่าจะยังมีคนเรียกแยกเพศเช่นนี้กันอยู่ทั่วไป</p><p>โปรดทราบทั่วกันว่า คำว่า “พ่อพิมพ์” เป็นคำวิปลาส เกิดจากการไม่เข้าใจภาษาไทย</p><p>คำว่า “แม่” ในคำว่า “แม่พิมพ์” นี้ ไม่ใช่คำแสดงเพศ เปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ก็จะได้ความรู้ </p><p><b>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายคำว่า “แม่” ไว้ดังนี้ -</b></p><p>(1) หญิงผู้ให้กำเนิดหรือเลี้ยงดูลูก, คำที่ลูกเรียกหญิงผู้ให้กำเนิดหรือเลี้ยงดูตน.</p><p>(2) คำที่ผู้ใหญ่เรียกผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่าด้วยความสนิทสนมหรือรักใคร่เป็นต้น ว่า แม่นั่น แม่นี่.</p><p>(3) คำใช้นำหน้านามเพศหญิง แปลว่า ผู้เป็นหัวหน้า เช่น แม่บ้าน.</p><p>(4) ผู้หญิงที่กระทำกิจการหรืองานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ค้าขาย เรียกว่า แม่ค้า ทำครัว เรียกว่า แม่ครัว.</p><p>(5) เรียกสัตว์ตัวเมียที่มีลูก เช่น แม่ม้า แม่วัว.</p><p>(6) เรียกคนผู้เป็นหัวหน้าหรือเป็นนายโดยไม่จำกัดว่าเป็นชายหรือหญิง เช่น แม่ทัพ แม่กอง.</p><p>(7) คำยกย่องเทวดาผู้หญิงบางพวก เช่น แม่คงคา แม่ธรณี แม่โพสพ, บางทีก็ใช้ว่า เจ้าแม่ เช่น เจ้าแม่กาลี.</p><p>(8 ) เรียกสิ่งที่เป็นประธานของสิ่งต่าง ๆ ในพวกเดียวกัน เช่น แม่กระได แม่แคร่ แม่แบบ.</p><p>(9) เรียกชิ้นใหญ่กว่าในจำพวกสิ่งที่สำหรับกัน เช่น แม่กุญแจ คู่กับ ลูกกุญแจ.</p><p>(10) แม่นํ้า เช่น แม่ปิง แม่วัง.</p><p>(11) คำหรือพยางค์ที่มีแต่สระ ไม่มีตัวสะกด เรียกว่า แม่ ก กา หรือมาตรา ก กา, คำหรือพยางค์ที่มีตัว ก ข ค ฆ สะกด เรียกว่า แม่กกหรือมาตรากก, คำหรือพยางค์ที่มีตัว ง สะกด เรียกว่า แม่กงหรือมาตรากง, คำหรือพยางค์ที่มีตัว จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส สะกด เรียกว่า แม่กดหรือมาตรากด, คำหรือพยางค์ที่มีตัว ญ ณ น ร ล ฬ สะกด เรียกว่า แม่กนหรือมาตรากน, คำหรือพยางค์ที่มีตัว บ ป พ ฟ ภ สะกด เรียกว่า แม่กบหรือมาตรากบ, คำหรือพยางค์ที่มีตัว ม สะกด เรียกว่า แม่กมหรือมาตรากม, คำหรือพยางค์ที่มีตัว ย สะกด เรียกว่า แม่เกยหรือมาตราเกย แต่ในมูลบทบรรพกิจมี ย ว อ สะกด, คำหรือพยางค์ที่มีตัว ว สะกด เรียกว่า แม่เกอวหรือมาตราเกอว.</p><p>..............</p><p>จะเห็นได้ว่า “แม่” มีความหมายหลายอย่าง แต่ในคำว่า “แม่พิมพ์” นี้ “แม่” ใช้ในความหมายตามนัยแห่งข้อ (6) เรียกคนผู้เป็นหัวหน้าหรือเป็นนายโดยไม่จำกัดว่าเป็นชายหรือหญิง เช่น แม่ทัพ แม่กอง และข้อ (8 ) เรียกสิ่งที่เป็นประธานของสิ่งต่าง ๆ ในพวกเดียวกัน เช่น แม่กระได แม่แคร่ แม่แบบ </p><p>“แม่” ในคำว่า “แม่พิมพ์” ไม่ใช่คำแสดงความเป็นเพศหญิงดังที่บางคน (หลายคน) เข้าใจ</p><p>การเรียกครูผู้ชายว่า “พ่อพิมพ์” เป็นสิ่งบอกเหตุว่า คนสมัยนี้เข้าใจคำว่า “แม่” ในแง่เดียวเท่านั้น คือ แม่-คือเพศหญิง</p><p>คงไม่น่าแปลกใจถ้าในอนาคตจะมีคนบ้าจี้เปลี่ยนคำว่า “แม่ทัพ” เป็น “พ่อทัพ” และ “แม่กองบาลีสนามหลวง” เปลี่ยนเป็น “พ่อกองบาลีสนามหลวง” หรือไม่ก็ “พระกองบาลีสนามหลวง”</p><p>..............</p><p><b>หาความรู้คำว่า “พิมพ์” </b></p><p><b>“พิมพ์” บาลีเป็น “พิมฺพ” อ่านว่า พิม-พะ รากศัพท์มาจาก -</b></p><p>(1) มนฺ (ธาตุ = รู้) + ว ปัจจัย, แปลง ม ที่ ม-(นฺ) เป็น พ, อะ ที่ ม-(นฺ) เป็น อิ, น ที่ (ม)-นฺ เป็น ม, ว ปัจจัยเป็น พ </p><p>: มนฺ + ว = มนฺว > พนฺว > พินฺว > พิมฺว > พิมฺพ แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งเป็นเหตุให้รู้จัก” คือเมื่อเห็นสิ่งนี้ก็ทำให้รู้ได้ว่าเป็นสิ่งนั้น</p><p>(2) วมุ (ธาตุ = สำรอก, อาเจียน, ลอกออก) + พ ปัจจัย, แปลง ว ที่ ว-(มุ) เป็น พ, อะ ที่ ว-(มุ) เป็น อิ, ลบสระที่สุดธาตุ (วมุ > วมฺ)</p><p>: วมุ > วมฺ + พ = วมฺพ > พมฺพ > พิมฺพ แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งอันเขาลอกแบบมา” </p><p>“พิมฺพ” หมายถึง รูปร่าง, แบบ, ทรวดทรง, รูปเปรียบ </p><p><b>พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “พิมฺพ” ว่า -</b></p><p>(1) shape, image (ทรวดทรง, รูปเปรียบ)</p><p>(2) the red fruit of Momordica monadelpha, a species of Amaranth (ผลไม้ชนิดหนึ่ง มีสีแดง, ลูกตำลึง)</p><p>“พิมฺพ” เดิมเป็นคำเรียก “รูปหุ่นที่ตกแต่งไว้” ธรรมดา “หุ่น” จะทำให้สวยงามขนาดไหนก็ย่อมได้ “พิมฺพ” จึงมีความหมายโดยนัยว่า “ร่างที่สวยงาม” และเป็นคำใช้เรียกสตรีที่มีรูปร่างงาม (ชื่อ “พิมพิลาไลย” น่าจะมีนัยเช่นนี้)</p><p>ไทยเอาคำว่า “พิมฺพ” มาใช้ว่า “พิมพ์” อ่านว่า พิม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -</p><p>“พิมพ์ : (คำนาม) รูป, รูปร่าง, แบบ, เช่น หยอดวุ้นลงในพิมพ์ หน้าตาเป็นพิมพ์เดียวกัน. (คำกริยา) ถ่ายแบบ, ใช้เครื่องจักรกดตัวหนังสือหรือภาพเป็นต้นให้ติดบนวัตถุ เช่นแผ่นกระดาษ ผ้า, เช่น พิมพ์ผ้า พิมพ์ขนมเป็นรูปต่าง ๆ. (ป., ส.).”</p><p>คำฝรั่งที่เราพูดกันว่า print บาลีใช้ว่า “มุทฺทาเปติ = ถอดแบบ” และ publish บาลีว่า “ปกาเสติ = ประกาศให้ทราบ” ไม่ได้ใช้คำว่า “พิมฺพ” เหมือนในภาษาไทย</p><p>..............</p><p><b>ดูก่อนภราดา!</b></p><p><b>: ขยันเปิดพจนานุกรมกันสักนิด</b></p><p><b>: ภาษาวิปริตก็จะลดน้อยลง</b></p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-59370896745012483122024-03-28T05:38:00.002+07:002024-03-28T05:38:15.601+07:00หลักวิชา ไม่ใช่ค่านิยม<p><span style="font-size: large;"></span></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="font-size: large;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQx7ZNdUQH4xClgCuL0ih08sntsJBK2UT0UB1cptILiOU-AY-rVkkLF1RluJ_x3YA3Qi0dkDi9vmdGtfC0u6DY3kJLXmmfbzUNJ6oi6oIDvWB38fzubafxm8jqJxC3DCok4SV7W8Hgw9xvmBWDID889gKvKW8o_D25VfiWaoQCzxUq6uf_sIn6eDyzGLc/s1920/z-311.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQx7ZNdUQH4xClgCuL0ih08sntsJBK2UT0UB1cptILiOU-AY-rVkkLF1RluJ_x3YA3Qi0dkDi9vmdGtfC0u6DY3kJLXmmfbzUNJ6oi6oIDvWB38fzubafxm8jqJxC3DCok4SV7W8Hgw9xvmBWDID889gKvKW8o_D25VfiWaoQCzxUq6uf_sIn6eDyzGLc/s16000/z-311.jpg" /></a></span></div><span style="font-size: large;"><br /><b><br /></b></span><p></p><p><span style="font-size: large;"><b>หลักวิชา ไม่ใช่ค่านิยม</b></span></p><p>----------------------</p><p>เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ว่าด้วยพระสวดพระอภิธรรมและสวดถวายพรพระ</p><p>สวดพระอภิธรรม คือสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ในงานศพ ที่เราคุ้นกันดี เวลาไปในงานก็มักพูดกันว่า “ไปฟังสวด”</p><p>“ไปฟังสวด” นั่นแหละหมายถึงไปฟังพระสวดพระอภิธรรม</p><p>ประเด็นที่ต้องการพูดไม่ใช่ตัวบทพระอภิธรรมที่พระท่านสวด แต่เป็นเรื่องก่อนลงมือสวด</p><p>เริ่มจากจุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล รับศีล พอพระให้ศีลจบ ตัส๎มา สีลัง วิโสธะเย </p><p>บางวัด พิธีกรจะอาราธนาธรรม - พ๎รัห๎มา จะ โลกา ... จบแล้วพระจึงเริ่มสวด</p><p>บางวัด ไม่มีการอาราธนาธรรม พอพระให้ศีลจบ ตัส๎มา สีลัง วิโสธะเย ก็สวดไปเลย</p><p>อาราธนาธรรมก่อน หรือไม่อาราธนา นี่คือ “ค่านิยม”</p><p>ไม่ต้องถามว่า อาราธนาหรือไม่ต้องอาราธนา แบบไหนถูกแบบไหนผิด</p><p>วัดไหนเคยอาราธนา ก็อาราธนาไป</p><p>วัดไหนไม่เคยอาราธนา ก็ไม่ต้องอาราธนา</p><p>เพราะนี่เป็นค่านิยมพื้นถิ่น ไม่มีผิดไม่มีถูก</p><p>จบ</p><p>.....................</p><p>คราวนี้มาถึงเรื่องสวดถวายพรพระ</p><p>“ถวายพรพระ” คือสวดบทต่อไปนี้ -</p><p>๑. นมการปาฐะ (นะโม ๓ จบ)</p><p>๒. พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ (อิติปิ โส ภะคะวา ฯเปฯ อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ)</p><p>๓. บทถวายพรพระ คือชยมังคลัฏฐกคาถา (พาหุง ฯเปฯ นะโร สะปัญโญ)</p><p>๔. ชยปริตฺตคาถา (มะหาการุณิโก นาโถ ฯเปฯ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ)</p><p>จบแล้ว สวด ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ฯเปฯ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ต่อไปเลย โดยไม่ต้องหยุดขึ้นใหม่</p><p>พูดให้จำกันง่าย ๆ ว่า ถวายพรพระ คือสวด นะโม… อิติปิ โส… พาหุง…มะหากาฯ… ภะวะตุ สัพฯ…</p><p>เมื่อสวดจบแล้ว ถ้าเป็นทำบุญวันพระ ก็กล่าวคำบูชาข้าวพระและถวายภัตตาหารให้เป็นของสงฆ์ (ที่นิยมเรียกกันว่าถวายสังฆทาน) แล้วประเคนภัตตาหาร พระฉัน ถ้าเป็นสวดมนต์ในงานพิธีตามบ้าน เจ้าภาพก็ประเคนภัตตาหาร พระฉันต่อไป</p><p>.....................</p><p>ประเด็นที่ต้องการพูดในเรื่องสวดถวายพรพระก็คือ คำว่า “คัพภินียา” และคำว่า “วิพุธัง” ในบทพาหุง</p><p>(๑) “คัพภินียา” ปรากฏอยู่ในวรรคแรกของบทที่ ๕ ข้อความเต็ม ๆ ในบทนี้เป็นดังนี้ (เขียนแบบคำอ่านเพื่อให้อ่านง่าย) -</p><p>.........................................................</p><p>กัต๎วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา </p><p>จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ </p><p>สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท </p><p>ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ.</p><p>คำแปล :</p><p>พระจอมมุนีได้ชนะคำกล่าวร้ายของนางจิญจมาณวิกา</p><p>ผู้เอาไม้กลมผูกที่ท้อง ทำอาการประหนึ่งว่ามีครรภ์</p><p>ด้วยวิธีสงบระงับอันงามในท่ามกลางหมู่ชน</p><p>ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน.</p><p>.........................................................</p><p>คำว่า “คัพภินียา” ตรงคำว่า “-นี-” (นี สระ อี) พระวัดต่าง ๆ ที่ผมเคยฟัง มักออกเสียงผิดเป็น “-นิ-” (นิ สระ อิ) </p><p>คือสวด “คัพภินียา” เป็น “คัพภินิยา”</p><p>ข้อพิสูจน์ว่า “คัพภินิยา” (นิ สระ อิ) ออกเสียงผิด มีดังนี้ -</p><p>๑ พุทธชัยมงคลคาถา แต่งเป็นคำฉันท์ที่เรียกว่า “วสันตดิลกฉันท์”</p><p>๒ วสันตดิลกฉันท์กำหนดจำนวนคำบาทละ ๑๔ พยางค์</p><p>๓ พยางค์ที่ ๑๓ กำหนดให้ใช้คำครุ คือคำเสียงหนัก หมายถึงคำที่มีตัวสะกดหรือสระเสียงยาว</p><p>๔ คำว่า “คัพภินียา” “-นี-” เป็นพยางค์ในลำดับที่ ๑๓ จึงต้องเป็นคำครุ-เสียงยาว</p><p>๕ “นิ” เป็นคำสระเสียงสั้น ออกเสียงว่า “คัพภินิยา” (นิ สระ อิ) จึงผิดข้อบังคับฉันทลักษณ์</p><p>(๒) “วิพุธัง” ปรากฏอยู่ในวรรคแรกของบทที่ ๙ ข้อความเต็ม ๆ ในบทนี้เป็นดังนี้ -</p><p>.........................................................</p><p>นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง </p><p>ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต </p><p>อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท </p><p>ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ. </p><p>คำแปล :</p><p>พระจอมมุนีโปรดให้พระโมคคัลลานเถระพุทธชิโนรส </p><p>นิรมิตกายเป็นนาคราชไปทรมานพญานาคราชชื่อนันโทปนันทะ</p><p>ผู้มีความรู้ผิด มีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีแสดงฤทธิ์ที่เหนือกว่า </p><p>ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน.</p><p>.........................................................</p><p>คำว่า “วิพุธํ” นี้ บางวัดบางสำนัก (หลายวัดหลายสำนัก) สวดเป็น วิ-พุด-ทัง คือออกเสียง -พุ- เป็น -พุด-</p><p>โปรดทราบว่า คำนี้เป็น “วิพุธัง” ไม่ใช่ “วิพุทธัง” </p><p>-พุ- ไม่ใช้ -พุท-</p><p>เป็นคนละคำกัน โปรดออกเสียงให้ถูก</p><p>ออกเสียงว่า วิ-พุ-ทัง ไม่ใช่ วิ-พุด-ทัง</p><p>ถ้าดูในแผนผังวสันตดิลกฉันท์จะเห็นชัดเจนว่า -พุ- ในคำว่า “วิพุธัง” อยู่ในลำดับคำที่เป็นลหุ คือคำที่เป็นเสียงเบาหรือเสียงสั้น (พุ- เสียงเบาหรือเสียงสั้น, พุท- เสียงหนักหรือเสียงยาว)</p><p>ทั้ง ๒ คำที่ว่ามานี้ โปรดดูภาพประกอบ จะเข้าใจชัดเจน</p><p>.....................</p><p>ข้ออ้างที่ได้ยินมาก็คือ สวดว่า “คัพภินิยา” (-นิ- เสียงสั้น) และ “วิพุทธัง” (-พุท- เสียงยาว) เป็นค่านิยมของวัดนี้ ที่นี่สวดอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว </p><p>โปรดเข้าใจว่า เรื่องนี้อ้างว่าเป็นค่านิยมไม่ได้ขอรับ เรื่องนี้เป็นหลักวิชา ไม่ใช่ค่านิยม</p><p>หลักวิชา ถ้าผิด ต้องแก้ไขให้ถูก ไม่ใช่ปล่อยให้ผิดอยู่อย่างนั้น แล้วอ้างว่าเป็นค่านิยม</p><p>ขอกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณเจ้าอาวาสทุกวัด โปรดสละเวลาเรียกประชุมพระเณรในวัดซักซ้อมเรื่องสวดถวายพรพระตรง ๒ คำนี้ให้ถูกต้อง ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง</p><p>อย่าปล่อยให้สวดผิดไปตลอดกาลนานเทอญเลยขอรับ</p><p>เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณรที่เป็นนักเรียนบาลีจะต้องบอกกัน และว่ากันตามจริงแล้วเป็นหน้าที่ของคณะสงฆ์ที่จะต้องคอยทบทวนตรวจสอบ ไม่ใช่หน้าที่ของชาวบ้าน</p><p>แต่เมื่อท่านเพิกเฉยเลยผ่านนิ่งเงียบกันไปหมด จะให้ทำอย่างไรละขอรับ?</p><p>พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา</p><p>๒๕ มีนาคม ๒๕๖๗</p><p>๑๑:๑๙ </p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-13017267097735411722024-03-28T05:35:00.004+07:002024-03-28T05:35:33.524+07:00อญฺญํ พฺยากโรติ อ่านไม่ออก แปลไม่ได้ แต่เรียนรู้ได้<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTuF73cor41WD3xSbOg0bUDq0GhAGqeTLXGoJw74bVBelw8zbC_BeoOujNjRJlZsfyG1lzJigoa8ojIEPcNge76eC3GiM1H_NMDc2gFQFZJ6DVoowHbWZJWMVeCFley9IaYm3JIyNtKoHqyJDHNBltIT7hbpRGWF_c1CuJdc4pl9t9wqCc_6tmOLX6gDU/s1920/z-1161.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTuF73cor41WD3xSbOg0bUDq0GhAGqeTLXGoJw74bVBelw8zbC_BeoOujNjRJlZsfyG1lzJigoa8ojIEPcNge76eC3GiM1H_NMDc2gFQFZJ6DVoowHbWZJWMVeCFley9IaYm3JIyNtKoHqyJDHNBltIT7hbpRGWF_c1CuJdc4pl9t9wqCc_6tmOLX6gDU/s16000/z-1161.jpg" /></a></div><br /><p></p><p>ทองย้อย แสงสินชัย </p><p>#บาลีวันละคำ (4,304)</p><p><br /></p><p><span style="font-size: large;"><b>อญฺญํ พฺยากโรติ</b></span></p><p><span style="font-size: large;"><b>อ่านไม่ออก แปลไม่ได้ แต่เรียนรู้ได้</b></span></p><p>“อญฺญํ พฺยากโรติ” เป็นประโยคภาษาบาลี นักเรียนบาลีแปลกันมาว่า “ย่อมพยากรณ์พระอรหัต”</p><p>“พยากรณ์พระอรหัต” หมายถึง การอวดอ้างว่าตนมีคุณธรรมของพระอรหันต์ คืออวดว่าตนได้บรรลุมรรคผลถึงระดับเป็นพระอรหันต์</p><p>ในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาที่ใช้เป็นแบบเรียนวิชาแปลมคธเป็นไทยชั้นประโยค 1-2 และชั้นเปรียญธรรม 3 ประโยค จะมีเรื่องราวหลายตอนที่กล่าวถึงภิกษุพูดคุยสอบถามกันในเรื่องธรรมะ ภิกษุที่ถูกถามจะพูดถึงความรู้สึก หรือความคิด หรืออารมณ์บางอย่างของตน ซึ่งถือว่าเป็นการ “พยากรณ์พระอรหัต”</p><p>ขอยกตัวอย่างคำพูดที่เข้าข่าย “พยากรณ์พระอรหัต” ดังนี้ -</p><p>- “ผมบรรลุแล้ว” (แบบนี้พยากรณ์พระอรหัตตรง ๆ)</p><p>- “ตอนบวชใหม่ ๆ ก็รู้สึกอยากโน่นอยากนี่ แต่เดี๋ยวนี้ชักไม่รู้สึกอยากอะไรอีกแล้ว”</p><p>- “ผมขอเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”</p><p>ภิกษุคู่สนทนาได้ฟังคำพูดทำนองนี้ก็จะไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “อญฺญํ พฺยากโรติ” (ภิกษุรูปนี้ย่อมพยากรณ์พระอรหัต) ก็คือไปฟ้องว่า ภิกษุรูปนั้นอวดอ้างว่าได้บรรลุมรรคผลนั่นเอง</p><p>ถ้าภิกษุรูปนั้นได้บรรลุมรรคผลจริง พระพุทธองค์ก็จะทรงรับรองว่าได้บรรลุจริง ไม่ได้อวด</p><p>..............</p><p>อ่านตัวอย่างเรื่องที่มีคำพูด “พยากรณ์พระอรหัต” ที่ลิงก์นี้</p><p>https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=11&p=9</p><p>..............</p><p>“อญฺญํ พฺยากโรติ” เป็นประโยคภาษาบาลีตรง ๆ ไม่มีใช้ในภาษาไทย เอ่ยให้ใครฟังก็คงไม่มีใครรู้เรื่อง</p><p>แต่ถือโอกาสเรียนบาลีเฉพาะประโยคนี้ก็คงไม่เสียหลาย [เสียหลาย: เสียเปล่า (ใช้ในความปฏิเสธ) เช่น งานวิจัยชิ้นนี้ทำไปก็ได้ประโยชน์ ไม่เสียหลาย]</p><p>“อญฺญํ พฺยากโรติ” อ่านว่า อัน-ยัง เพีย-กะ-โร-ติ ประกอบด้วยคำว่า “อญฺญํ” และ “พฺยากโรติ” รวมกันเป็นประโยค แต่เป็นคนละคำกัน </p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๑) “อญฺญํ”</b></span></p><p>อ่านว่า อัน-ยัง รูปคำเดิมเป็น “อญฺญา” อ่านว่า อัน-ยา รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, ยิ่ง, กลับความ) + ญา (ธาตุ = รู้) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ กฺวิ, รัสสะ อา อุปสรรคเป็น อะ, ซ้อน ญฺ ระหว่างอุปสรคกับธาตุ (อา + ญฺ + ญา) </p><p>: อา + ญฺ + ญา = อาญฺญา + กฺวิ = อาญฺญากฺวิ > อญฺญากฺวิ > อญฺญา แปลตามศัพท์ว่า “ธรรมชาติที่พึงรู้เกินกว่าขอบเขตที่ปฐมมรรคเป็นต้นได้บรรลุแล้ว” หมายถึง พระอรหัตผล คือสภาวธรรมที่ทำผู้บรรลุให้เป็นพระอรหันต์ หรือเรียกทับศัพท์ว่า “พระอรหัต” คำนี้เป็นคนละคำกับ “พระอรหันต์”</p><p>“พระอรหัต” หมายถึง คุณธรรมที่ทำผู้บรรลุให้เป็นพระอรหันต์</p><p>“พระอรหันต์” หมายถึง ผู้บรรลุคุณธรรมนั้น</p><p>พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อญฺญา” ว่า knowledge, recognition, perfect knowledge, philosophic insight, knowledge par excellence, viz. Arahantship, saving knowledge, gnosis (ความรู้, การเห็นแจ้ง, การรู้จริง, วิปัสสนา, การบรรลุโลกุตรธรรม, กล่าวคือ ความเป็นพระอรหันต์, การตรัสรู้, การรู้แจ้งเห็นจริง)</p><p>“อญฺญา” แจกด้วยวิภัตตินามที่สอง (ทุติยาวิภัตติ) เอกวจนะ เปลี่ยนรูปเป็น “อญฺญํ”</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๒) “พฺยากโรติ” </b></span></p><p>อ่านว่า เพีย-กะ-โร-ติ เป็นรูปคำกริยาอาขยาต ปัจจุบันกาล เอกวจนะ ปฐมบุรุษ (ประธานเป็นผู้ที่ถูกพูดถึง) กัตตุวาจก รากศัพท์มาจาก วิ (คำอุปสรรค = วิเศษ, แจ้ง, ต่าง) + อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, ยิ่ง, กลับความ) + กรฺ (ธาตุ = กระทำ) + โอ ปัจจัยประจำหมวดธาตุ + ติ วัตตมานาวิภัตติอาขยาต, แปลง อิ ที่ วิ เป็น ย, แปลง วฺ เป็น พฺ (วิ > วฺย > พฺย)</p><p>: วิ + อา + กรฺ = วิอากรฺ > วฺยากรฺ + โอ = วฺยากโร + ติ = วฺยากโรติ > พฺยากโรติ แปลว่า “(เขา) ย่อมทำให้แจ้ง” หรือ “(เขา) ย่อมพยากรณ์” </p><p><b>“อญฺญํ พฺยากโรติ” นักเรียนบาลีแปลยกศัพท์ว่า -</b></p><p>(อยํ ภิกฺขุ = อันว่าภิกษุนี้)</p><p>พฺยากโรติ = ย่อมพยากรณ์</p><p>อญฺญํ = ซึ่งพระอรหัตผลอันบุคคลพึงรู้ทั่ว</p><p>ถอดความว่า ภิกษุรูปนี้อวดอ้างว่าตนบรรลุมรรคผล</p><p>ตรงกับภาษาที่มีผู้ชอบพูดจนคุ้นหูคนไทยว่า หลวงปู่นั่นหลวงพ่อนี่เป็นอริยสงฆ์</p><p><span style="font-size: large;"><b>ขยายความ :</b></span></p><p>ในสมัยพุทธกาล ผู้รับรองว่าใครเป็นพระอริยะมีแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว แม้พระอรหันตสาวกทั้งหลาย เช่นพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ ทั้ง ๆ ที่ท่านรู้ว่าใครบรรลุมรรคผล แต่ท่านก็ไม่เคยรับรองใครว่าเป็นพระอริยะ</p><p>หลักเกี่ยวกับการบอกกล่าวว่าใครเป็นพระอริยะ ท่านแสดงไว้ว่า ผู้จะรู้หรือรับรองได้ว่าใครเป็นพระอริยะจะต้องได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยะในระดับที่สูงกว่าหรืออย่างน้อยก็ในระดับเดียวกันเท่านั้นจึงจะรู้ได้</p><p>ดังนั้น ผู้ที่นิยมยกย่องหลวงปู่หลวงพ่อที่ตนเคารพนับถือว่า ท่านผู้นั้นผู้นี้เป็นอริยสงฆ์หรือเป็นพระอริยะ ก็เท่ากับบอกว่าตัวผู้บอกก็เป็นพระอริยะด้วยนั่นเอง </p><p>จุดนี้แหละที่คนที่ชอบบอกว่าท่านผู้นั้นผู้นี้เป็นพระอริยะไม่ทันได้นึก</p><p>รู้อย่างนี้แล้ว ต่อไปนี้จะยกย่องว่าพระรูปไหนเป็นอริยสงฆ์ โปรดระลึกควบคู่กันไปด้วยว่า -</p><p>บอกว่าใครเป็นพระอริยะ</p><p>ก็คือบอกว่าข้าพเจ้าเป็นพระอริยะนั่นเอง</p><p>และคุณสมบัติของพระอริยะก็คือ ท่านจะไม่บอกใครว่าท่านเป็นพระอริยะ</p><p>..............</p><p><b>ดูก่อนภราดา!</b></p><p><b>: จงพร้อมที่จะดังทุกครั้งที่มีคนตี</b></p><p><b>: แต่ถ้าจะเป็นกลองระฆังดี-อย่าดังเอง</b></p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-32639881189084168742024-03-28T05:32:00.004+07:002024-03-28T05:32:22.481+07:00การศึกษาเพื่อใช้งาน (๑)<p><span style="font-size: large;"></span></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="font-size: large;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3P3b-_3EFLtB8RfCWOlNXeEcdOZoimYdCMR8YSvLEg6Ln2UcwTH64tFCLYrO9hTOGV3AE_fazhFHqFSfmRAfbShfZBQ7WyHLxiCQBOZJsCVCMFI7heH8GvgJ7HwHyIQ9ATdZZxpu-ZZgBhvSvyWE3m3oul6ml8zTH3yc-D__LzBAej4Bu4QixXjYHWBA/s1200/tipitaka-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="675" data-original-width="1200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3P3b-_3EFLtB8RfCWOlNXeEcdOZoimYdCMR8YSvLEg6Ln2UcwTH64tFCLYrO9hTOGV3AE_fazhFHqFSfmRAfbShfZBQ7WyHLxiCQBOZJsCVCMFI7heH8GvgJ7HwHyIQ9ATdZZxpu-ZZgBhvSvyWE3m3oul6ml8zTH3yc-D__LzBAej4Bu4QixXjYHWBA/s16000/tipitaka-2.jpg" /></a></span></div><span style="font-size: large;"><br /><b><br /></b></span><p></p><p><span style="font-size: large;"><b>การศึกษาเพื่อใช้งาน (๑)</b></span></p><p>.........................................................</p><p>ได้ทราบว่า วันนี้ (๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗) คณะสงฆ์โดยกองบาลีสนามหลวงเริ่มตรวจข้อสอบบาลีประจำปี ๒๕๖๗ และอีก ๒-๓ วันก็คงประกาศผลว่าปีนี้มีพระมหาประโยค ๙ เพิ่มขึ้นกี่รูป มีสามเณรนาคหลวงกี่รูป</p><p>ผมมีบทความเกี่ยวกับการศึกษามาฝากครับ</p><p>.........................................................</p><p>เดิมที การศึกษาของไทยเราเป็นการศึกษาเพื่อใช้งาน คือไม่ว่าจะศึกษาอะไร ก็เริ่มด้วยเรียนวิธีทำ แล้วลองทำ จนทำได้ ทำเป็น แล้วเอาไปใช้งาน เช่นเอาไปประกอบอาชีพ</p><p>แหล่งที่ให้การศึกษาคือครอบครัว จึงเรียกการศึกษาแบบนี้ว่า การศึกษาตามตระกูล เกิดในตระกูลอะไรก็ศึกษาวิชาตามตระกูลนั้น แต่ที่ศึกษานอกตระกูลก็มีอยู่บ้าง</p><p>แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สาระของการศึกษาก็คงอยู่ที่การใช้งาน คือเรียนรู้จนทำได้ทำเป็น แล้วเอาไปใช้ เอาไปทำ </p><p>ต่อมาเราจัดการศึกษาแบบใหม่ตามแบบฝรั่ง คือตั้งเป็นโรงเรียน เรียกตามคำฝรั่งว่า โรงสคูล (school) ซึ่งก็เป็นคำเดียวกับ “สกุล” ในภาษาสันสกฤต หรือ “กุล” ในภาษาบาลีนั่นเอง แสดงว่า หลักการดั้งเดิมของการศึกษาตรงกัน คือเรียนในสกุล ซึ่งก็คือเรียนตามตระกูลที่ไทยเราทำกันมา</p><p>เมื่อจัดการศึกษาตามระบบใหม่ เกิดมีแหล่งกลางสำหรับให้คนไปเล่าเรียนร่วมกัน คราวนี้จะเรียนวิชาตามตระกูลเหมือนเดิมก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้จะเอาวิชาของตระกูลไหนเป็นหลัก จึงเกิดระบบหลักสูตร คือตกลงกันว่าจะให้เรียนวิชาอะไรบ้าง กำหนดเวลาเรียน กำหนดเกณฑ์วัดผล กำหนดเกณฑ์การจบการศึกษา กำหนดศักดิ์และสิทธิ์อันเกิดขึ้นจากการจบการศึกษา ดังที่เรากำลังทำกันอยู่ในปัจจุบัน</p><p>แรกทีเดียว การศึกษาตามระบบใหม่เราจัดการศึกษาแบบทั่วไป คือตั้งโรงเรียน แล้วกำหนดให้เด็กไปเข้าโรงเรียน แรก ๆ ก็จัดขึ้นในหมู่ลูกเจ้านายและข้าราชการ ต่อมาจึงขยายออกเป็นโรงเรียนสำหรับราษฎรทั่วไป อย่างที่รู้กันเป็นประวัติศาสตร์ว่า โรงเรียนสำหรับราษฎรทั่วไปแห่งแรกของไทยเราคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม </p><p>ต่อมาจึงแบ่งระดับการศึกษาชัดเจนขึ้น เป็นชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ชั้นประศึกษาเป็นการศึกษาภาคบังคับ เด็กไทยทุกคนต้องเข้าเรียน ผลการศึกษาอยู่ในระดับที่พูดกันในสมัยก่อนว่า “อ่านออกเขียนได้” เหนือชั้นประถมศึกษาขึ้นไปเป็นการศึกษาตามความสมัครใจหรือตามความพร้อม</p><p>ที่ควรเข้าใจด้วยก็คือ การศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เป็นการศึกษาพื้นฐาน ไม่มีวิชาเอก มีแต่วิชารวม ทุกคนต้องเรียนทุกวิชาตามหลักสูตร (ต่อมา ระดับมัธยมศึกษาจึงเริ่มแยกเป็นมัธยมศึกษาสายวิทยาศาสตร์ และมัธยมศึกษาสายศิลปศาสตร์ ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า สายวิทย์ สายศิลป์) แต่พอถึงระดับอุดมศึกษาจึงกำหนดวิชาเอกแน่นอน เริ่มด้วยการแบ่งเป็น “คณะ” (faculty) ตามสายวิชา ภายในคณะก็ยังแบ่งเป็น “วิชาเอก” (major) ตามวิชาหลักอีกด้วย</p><p>ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการศึกษาตามระบบนี้ก็คือ หลักสูตรกำหนดให้ต้องเรียนวิชาต่าง ๆ แต่เมื่อจบการศึกษาไปแล้ว มักไม่ได้เอาวิชานั้น ๆ ไปใช้งานจริง</p><p>อีกทั้งเมื่อจบการศึกษาแล้วเอาวุฒิการศึกษาไปสมัครงาน ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการหรือเอกชน ก็ไม่ได้ถามว่าคุณเรียนวิชาอะไรมาบ้าง แต่ถามว่าคุณจบอะไรมา </p><p>น้ำหนักจึงไปอยู่ที่ “จบอะไรมา” ไม่ได้อยู่ที่ “เรียนวิชาอะไรมา”</p><p>น้ำหนักของระบบเดิม คือเรียนวิชาอะไรก็เพื่อจะเอาวิชานั้นไปใช้งาน จึงเริ่มเบาบางจางหายไป </p><p>การศึกษาเพื่อใช้งานก็ค่อย ๆ เลือนไป เรียนวิชาต่าง ๆ แต่ไม่ได้เอาไปใช้งาน ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น จนในที่สุดก็เห็นกันว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีใครเห็นว่าเรียนแล้วไม่ได้เอาไปใช้งานเป็นเรื่องผิดปกติหรือเสียหายอะไร </p><p>การรับผู้จบสายหนึ่งเข้ามาทำงาน แต่เวลาทำงานจริงให้ไปทำงานอีกสายหนึ่ง ก็มีให้เห็นทั่วไป การไม่ได้เอาวิชาที่เรียนมาไปใช้งานก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญยิ่งขึ้นไปอีก</p><p>และสิ่งที่ต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เมื่อจัดการศึกษาแบบนี้ เป้าหมายของการศึกษาจึงอยู่ที่ “จบการศึกษา” เพราะจบการศึกษาหมายถึงการมีศักดิ์และได้สิทธิ์อันเกิดขึ้นจากการจบการศึกษา อันมีความหมายว่า-จะได้นำศักดิ์และสิทธิ์ไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการสมัครงานซึ่งหมายถึงการประกอบอาชีพ</p><p>.........................................................</p><p>การศึกษาของพระภิกษุสามเณร หรือที่เรียกว่าการศึกษาของคณะสงฆ์ คือที่คณะสงฆ์จัดให้มีขึ้น คือ นักธรรม บาลี และมหาวิทยาลัยสงฆ์ ปัจจุบันก็ตกอยู่ในระบบหรือค่านิยมเดียวกันนี้ คือเรียนเพื่อให้จบ จบเพื่อให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์ จะเอาสิ่งที่เรียนมาไปใช้งานหรือไม่ ไม่มีใครคำนึงถึง</p><p>เพราะฉะนั้น มาถึงขั้นนี้ การเรียนบาลีเพื่อใช้งานจึงไม่มีใครนึกถึง เรียนบาลีแต่ไม่ได้เอาความรู้บาลีไปใช้งาน จึงไม่มีใครเห็นว่าเป็นการเสียหายที่ตรงไหน</p><p>.........................................................</p><p>(ยังมีต่อ)</p><p>พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา</p><p>๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗</p><p>๑๑:๑๙ </p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-37451397327726019712024-03-28T05:29:00.005+07:002024-03-28T05:29:55.621+07:00การศึกษาเพื่อใช้งาน (๒)<p><span style="font-size: large;"></span></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="font-size: large;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgALvaJAQAvcoHj-FPgsel-XdTWk7GtXvCxNZaIh1ZCdVg7YsVqZEcgUCw723Pa7bRP6qPmMhijS9UPnxduJyIhH2hWxAl5h4HQSBWNdX2NUT0PNFB7B_i0uzxQZLAZKYPFSeblWNN2vD44PY8VgsSJG7-lmTak4iN9MRLRv5tWzwdCxvCjzcXVz77RBoo/s1920/z-1098.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgALvaJAQAvcoHj-FPgsel-XdTWk7GtXvCxNZaIh1ZCdVg7YsVqZEcgUCw723Pa7bRP6qPmMhijS9UPnxduJyIhH2hWxAl5h4HQSBWNdX2NUT0PNFB7B_i0uzxQZLAZKYPFSeblWNN2vD44PY8VgsSJG7-lmTak4iN9MRLRv5tWzwdCxvCjzcXVz77RBoo/s16000/z-1098.jpg" /></a></span></div><span style="font-size: large;"><br /><b><br /></b></span><p></p><p><span style="font-size: large;"><b>การศึกษาเพื่อใช้งาน (๒)</b></span></p><p>---------------------</p><p>เฉพาะมหาวิทยาลัยสงฆ์ซึ่งมีอยู่ ๒ แห่ง คือมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) และมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) คณะสงฆ์เป็นผู้จัดขึ้นมาแต่เดิม ด้วยวัตถุประสงค์จะให้พระภิกษุสามเณรเรียนรู้วิชาการต่าง ๆ เท่าทันกับที่ชาวบ้านเขารู้ เพื่อที่ว่าชาวบ้านจะได้ไม่ดูถูกพระว่าโง่ ๆ เซ่อ ๆ ดังที่มักจะดูถูกกันอยู่ในสมัยนั้น (แม้ในสมัยนี้!) เมื่อดูถูกพระไม่ได้ ก็จะยอมรับฟังคำสั่งสอนของพระโดยเต็มใจ-นี่คือเป้าหมายของการตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ ซึ่งก็คือเพื่อให้พระสามารถเผยแผ่พระศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง </p><p>แต่ปัจจุบันนี้ มจร และ มมร ถูกนำเข้าไปอยู่ในอำนาจการบริหารจัดการของรัฐบาล เกือบจะเต็มรูปแล้ว กำลังแปรสภาพเป็นมหาวิทยาลัยทั่วไปของชาวโลก มีฆราวาสเข้ามาเรียนเหมือนมหาวิทยาลัยทั่วไป มีฆราวาสดำรงตำแหน่งผู้บริหาร แม้ว่าขณะนี้ตำแหน่งอธิการบดียังเป็นของพระภิกษุอยู่ แต่เชื่อได้แน่ว่าอีกไม่นาน ฆราวาสจะดำรงตำแหน่งอธิการบดี ผู้บริหารและคณะอาจารย์จะเป็นฆราวาสทั้งหมด นั่นคือ มจร และ มมร เป็นมหาวิทยาลัยทางโลกเต็มตัว</p><p>นี่คือภาพรวมของสิ่งที่เราเรียกกันว่า “ระบบการศึกษา” ที่จัดอยู่ในปัจจุบัน</p><p>เมื่อมาถึงขั้นนี้ จะเห็นได้ว่า ระบบการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่-ศึกษาเพื่อใช้งานอย่างที่เป็นมาแต่เดิม หากแต่เบี่ยงเบนไปอยู่ที่-ศึกษาเพื่อจบการศึกษา เพราะจบการศึกษาหมายถึงการมีศักดิ์และได้สิทธิ์ตามที่กำหนด</p><p>.........................................................</p><p>ศักดิ์และสิทธิ์เป็นสิ่งที่ต้องการ</p><p>เอาความรู้ไปใช้งานไม่มีใครคิดคำนึง</p><p>.........................................................</p><p>เพราะเป้าหมายของการศึกษามุ่งไปที่ “จบการศึกษา” และเกณฑ์จบการศึกษาก็มีกำหนดไว้แน่นอน นักเรียนนักศึกษาตามระบบนี้จึงมุ่งไปที่-ทำอะไรอย่างไรก็ได้ให้ได้ตามเกณฑ์ เพราะนั่นหมายถึงจะได้จบการศึกษา และนั่นหมายถึงจะได้ศักดิ์และมีสิทธิ์</p><p>ที่ว่า “ทำอะไรอย่างไรก็ได้ให้ได้ตามเกณฑ์” นั้น แม้-ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ก็ทำกันมาแล้วและยังทำกันอยู่ ดังที่รู้กันว่ามีการรับจ้างเรียน รับจ้างสอบ รับจ้างทำวิทยานิพนธ์ รวมความว่า-รับจ้างทำให้จบการศึกษา ยังทำกันอยู่จนทุกวันนี้</p><p>ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อก็คือ การ “ทำอะไรอย่างไรก็ได้ให้ได้ตามเกณฑ์” นี้ เกิดขึ้นแม้กระทั่งในการศึกษาของคณะสงฆ์ นั่นคือ การทำทุจริตในการสอบนักธรรม-บาลี</p><p>โปรดเข้าใจว่า การศึกษาของคณะสงฆ์เป็นการศึกษาพระธรรมวินัย หัวใจของพระธรรมวินัยคือการไม่ทำทุจริต </p><p>การเรียนพระธรรมวินัยก็คือการเรียนวิธีไม่ทำทุจริต</p><p>ที่ว่านี้ไม่ได้ว่าเอาเอง แต่ว่าตามหลักพระธรรมวินัยที่ปรากฏอันเป็นที่รู้ทั่วกัน นั่นคือ “โอวาทปาติโมกข์” </p><p>ตรงนี้ขออนุญาตขยายความ-อาจจะยาวหน่อย</p><p>........................</p><p>โอวาทปาติโมกข์นั้นเป็นหัวใจของคำสอนในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาแล้วกี่พระองค์ และที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้าอีกกี่พระองค์ มีหัวใจของคำสอนที่เรียกว่า “โอวาทปาติโมกข์” ตรงกันหมดทุกพระองค์</p><p>ขออนุญาตยกข้อความจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “โอวาทปาติโมกข์” มาเสนอไว้ในที่นี้เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้</p><p>.........................................................</p><p>โอวาทปาติโมกข์ [โอ-วา-ทะ-ปา-ติ-โมก]</p><p>หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (อรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ เป็นเวลา ๒๐ พรรษาก่อนที่จะโปรดให้สวดปาติโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),</p><p>คาถาโอวาทปาติโมกข์ มีดังนี้</p><p>สพฺพปาปสฺส อกรณํ </p><p>กุสลสฺสูปสมฺปทา</p><p>สจิตฺตปริโยทปนํ </p><p>เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ</p><p>ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา</p><p>นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา</p><p>น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี</p><p>สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ฯ</p><p>อนูปวาโท อนูปฆาโต </p><p>ปาติโมกฺเข จ สํวโร</p><p>มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ </p><p>ปนฺตญฺจ สยนาสนํ</p><p>อธิจิตฺเต จ อาโยโค </p><p>เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ</p><p>แปล: </p><p>การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ </p><p>การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ </p><p>การทำจิตต์ของตนให้ผ่องใส ๑ </p><p>นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย</p><p>ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง </p><p>พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพานเป็นบรมธรรม</p><p>ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต</p><p>ผู้เบียดเบียนคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ</p><p>การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ </p><p>ความสำรวมในปาติโมกข์ ๑ </p><p>ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ </p><p>ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิตต์ ๑</p><p>นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย</p><p>ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส </p><p>(จบข้อความจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ฯ)</p><p>.........................................................</p><p>(ยังมีต่อ)</p><p>พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา</p><p>๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗</p><p>๑๕:๓๖ </p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-4724537956160627272024-03-28T05:26:00.005+07:002024-03-28T05:26:44.383+07:00 การศึกษาเพื่อใช้งาน (๓)<p><span style="font-size: large;"></span></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="font-size: large;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwE7nPCewj85aVCPfB7PGn3yeqdghUGy5mIdldoSInrTZJlwcCA7lDJjlpclZSJ6YXKq3kyBJtqegIeBpKz8cWXDnUVSWj7y5BrIIuUdBtOVvJJk_oyxF8VDoFHWAEIYUc43x1FK9nLXcwlKeCjoRRDofLSr1d7MoEl-ZigCiqaivwX5IxbXd6Ct3KUBA/s1024/patitatti.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="684" data-original-width="1024" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwE7nPCewj85aVCPfB7PGn3yeqdghUGy5mIdldoSInrTZJlwcCA7lDJjlpclZSJ6YXKq3kyBJtqegIeBpKz8cWXDnUVSWj7y5BrIIuUdBtOVvJJk_oyxF8VDoFHWAEIYUc43x1FK9nLXcwlKeCjoRRDofLSr1d7MoEl-ZigCiqaivwX5IxbXd6Ct3KUBA/s16000/patitatti.jpg" /></a></span></div><span style="font-size: large;"><br /><b><br /></b></span><p></p><p><span style="font-size: large;"><b>การศึกษาเพื่อใช้งาน (๓)</b></span></p><p>---------------------</p><p>โอวาทปาติโมกข์วรรคแรก คือ “สพฺพปาปสฺส อกรณํ” (สับ-พะ-ปา-ปัด-สะ อะ-กะ-ระ-นัง) แปลว่า “การไม่ทำความชั่วทั้งปวง” </p><p>การไม่ทำความชั่วคืออะไร</p><p>การไม่ทำความชั่วก็คือการไม่ทำทุจริต</p><p>การไม่ทำความชั่วคือหัวใจของโอวาทปาติโมกข์ (เพราะยกขึ้นเป็นข้อแรก)</p><p>โอวาทปาติโมกข์คือหัวใจของพระพุทธศาสนา</p><p>พระพุทธศาสนาคือพระธรรมวินัย</p><p>ที่ว่า “หัวใจของพระธรรมวินัยคือการไม่ทำทุจริต” มีที่มาที่ไปอย่างนี้</p><p>........................</p><p>การศึกษาของคณะสงฆ์คือการศึกษาพระธรรมวินัย </p><p>หัวใจของพระธรรมวินัยคือการไม่ทำทุจริต </p><p>การเรียนพระธรรมวินัยก็คือการเรียนวิธีไม่ทำทุจริต</p><p>แต่ผู้เรียนพระธรรมวินัยใช้วิธีทำทุจริตในการสอบเพื่อให้สอบได้ตามเกณฑ์ </p><p>.........................................................</p><p>ทำทุจริตในการเรียนวิธีไม่ทำทุจริต</p><p>นี่เป็นความวิปริตสุดขั้วโลกจริง ๆ!! </p><p>.........................................................</p><p>เหตุผลมีเพียงอย่างเดียวคือ เพื่อให้จบการศึกษาตามเกณฑ์ที่กำหนด</p><p>เห็นหรือยังว่า อำนาจอิทธิพลของค่านิยม “ศึกษาเพื่อให้จบ” รุนแรงร้ายกาจขนาดไหน</p><p>ผู้ที่จบการศึกษาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง </p><p>มีศักดิ์และสิทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นจากวิธีที่ไม่ถูกต้อง </p><p>ได้รับสิทธิประโยชน์ไปแล้วและยังได้รับอยู่จากวุฒิการศึกษาที่จบมาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง </p><p>เชื่อได้ว่ายังมีอยู่ทั่วไปในสังคมไทย</p><p>สรุปให้ชัด ๆ ก็คือ -</p><p>สมัยก่อน ศึกษาเพื่อใช้งาน</p><p>สมัยนี้ ศึกษาเพื่อให้จบ</p><p>จบเพื่อให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์</p><p>เคยได้ฟังมาว่า เจ้าของกิจการบางแห่ง-หลายแห่ง เมื่อประกาศรับคนเข้าทำงาน </p><p>เขาไม่ได้ถามว่า คุณจบอะไรมา </p><p>แต่ถามว่า คุณทำอะไรเป็น</p><p>จบปริญญาเอกมา ไม่แน่ว่าจะทำงานเป็น</p><p>แต่ถ้าทำงานเป็น ไม่ได้จบอะไรเลยก็ทำงานได้แน่</p><p>นี่คือการเจาะทะลุเข้าไปถึงหัวใจของการศึกษา คือต้องการคนที่ศึกษาเพื่อใช้งาน ไม่ได้ต้องการคนที่ศึกษาเพื่อให้จบ จบเพื่อให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์</p><p>สมัยก่อน เอาความรู้จากการศึกษาไปใช้งานจริง ๆ</p><p>สมัยนี้ เอาศักดิ์และสิทธิ์ไปสมัครงานหรือไปรับสิทธิ์ แต่ไม่ได้คิดถึงการเอาความรู้จากการศึกษาไปใช้งานจริง</p><p>การเรียนบาลีของคณะสงฆ์ไทยที่กำลังเป็นไปอยู่ทุกวันนี้ก็ตกอยู่ในอิทธิพลนี้ด้วย</p><p>ผู้บริหารการศึกษาของคณะสงฆ์ก็ผ่านการศึกษาตามระบบ-ศึกษาเพื่อให้จบ ทั้งผู้เรียนก็เรียนด้วยความมุ่งหมาย-เรียนเพื่อให้จบ (จบ-เพื่อให้ได้สิทธิ์-ละไว้ฐานเข้าใจ)</p><p>เดิมทีเราเรียนบาลีเพื่อใช้งาน จบประโยคไหนไม่สำคัญ สำคัญที่มีความรู้พอใช้งานได้แล้วก็จับคัมภีร์ แปลคัมภีร์ก็มี ชำระคัมภีร์ก็มี </p><p>แต่พอเกิดการศึกษาตามระบบใหม่ เรียนวิชาต่าง ๆ ในฐานะเป็น “ศาสตร์” แขนงหนึ่ง เรียนจบก็ได้ศักดิ์และสิทธิ์ เราก็เอาการเรียนบาลีเข้าไปอยู่ในระบบใหม่ เรียนบาลีให้จบเพื่อให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์เหมือนที่ชาวบ้านเขาเรียนวิชาการต่าง ๆ กันทั่วไป </p><p>ทิ้งความคิดที่จะเอาบาลีไปใช้งานหมดสิ้น</p><p>ฝรั่งเรียนบาลีทีหลังเรา แต่เขาเรียนเพื่อใช้งานจริง ๆ พอมีความรู้ก็ลงมือใช้งาน ทำงานบาลีทันที งานบาลีที่ฝรั่งทำจึงมีมากมาย </p><p>พจนานุกรมบาลีเล่มเดียวที่ฝรั่งทำก็นำหน้าเราไปไกลถึงไหน ๆ</p><p>เวลานี้ ถ้าสมมุติว่าทางการประกาศยกเลิกศักดิ์และสิทธิ์อันเกิดจากการสอบบาลีได้ทั้งหมด เปรียญตรี-โท-เอกไม่นับเป็นวุฒิใด ๆ ประโยค ๙ ไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ใด ๆ อีกต่อไป </p><p>เชื่อได้เลยว่า นักเรียนบาลีจะหายวับไปกับตา </p><p>จะหาคนเรียนบาลีได้ยากที่สุด หรือหาไม่ได้อีกเลย</p><p>เราทิ้งการศึกษาเพื่อใช้งานไว้เบื้องหลัง และทิ้งห่างมาไกล จนไม่มีใครนึกถึงการศึกษาเพื่อใช้งานอีกต่อไปแล้ว และคิดไม่เห็นว่าจะต้องศึกษาเพื่อใช้งานไปทำไม ในเมื่อศึกษาเพื่อให้จบก็จะได้ศักดิ์และสิทธิ์เป็นประโยชน์เห็น ๆ อยู่ตรงหน้านี่แล้ว</p><p>อุปมาเหมือนตกอยู่ในบ่อแห่งค่านิยมแบบนี้ และไม่มีใครคิด- ไม่มีใครเห็นประโยชน์- ไม่มีใครเห็นความจำเป็น-ที่จะต้องปีนขึ้นจากบ่อ </p><p>เพราะฉะนั้น เมื่อขอให้เรากลับไปสู่การศึกษาเพื่อใช้งาน-ขอให้เรียนบาลีเพื่อใช้งาน --</p><p>จึงไม่มีใครขานรับ </p><p>ไม่มีใครเข้าใจ </p><p>และไม่มีใครเห็นความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น </p><p>เพราะเราเอาการเรียนบาลีไปขึ้นกับค่านิยม-ศึกษาเพื่อให้จบ จนเข้าใจไปว่า การศึกษาพระธรรมวินัย-รวมทั้งในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็คือศึกษาเพื่อให้จบ เพื่อให้ได้วุฒิตามเป้าหมายหรือตามระบบการศึกษาที่จัดกันอยู่ทั่วโลก</p><p>........................</p><p>ขอเชิญชวนให้ถอยไปตั้งหลักคิดอีกทีว่า บาลีคืออะไร</p><p>พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา</p><p>๒๗ มีนาคม ๒๕๖๗</p><p>๑๐:๕๓</p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-84835595399616259382024-03-28T05:24:00.005+07:002024-03-28T05:24:24.979+07:00การศึกษาเพื่อใช้งาน (๔)-จบ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhL0vQdk-Cg3dCo4nTRtY9WJY8BBsvcRbfE05vfILKyX7Lnvz6V7ctk3EIUy9GSv6UeWHjc_c6uUtNJifGmyyA_Kv3nqDymD6wwPM22tJSgpHD6eRsfeqBufkplmmDLlkxSW3vSik71kxC1EZMFQObg2l82I6j4z6nPK_a71bPQoQWPICZNNn-0W7_cCiM/s1280/tipitaka.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="720" data-original-width="1280" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhL0vQdk-Cg3dCo4nTRtY9WJY8BBsvcRbfE05vfILKyX7Lnvz6V7ctk3EIUy9GSv6UeWHjc_c6uUtNJifGmyyA_Kv3nqDymD6wwPM22tJSgpHD6eRsfeqBufkplmmDLlkxSW3vSik71kxC1EZMFQObg2l82I6j4z6nPK_a71bPQoQWPICZNNn-0W7_cCiM/s16000/tipitaka.jpg" /></a></div><br /><p><br /></p><p> <span style="font-size: large;"><b>การศึกษาเพื่อใช้งาน (๔)-จบ</b></span></p><p>---------------------</p><p>บาลีคือภาษาชนิดหนึ่งในจำพวกภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อสารกัน </p><p>ผู้นำพระพุทธศาสนาเลือกใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาบันทึกพระพุทธพจน์ มีสูตรบอกความหมายว่า “พุทฺธวจนํ ปาเลตีติ ปาลิ = บาลีคือภาษาที่รักษาพระพุทธพจน์ไว้” </p><p>พระพุทธพจน์คืออะไร? </p><p>พระพุทธพจน์คือคำของพระพุทธเจ้า </p><p>คือพระธรรมวินัย </p><p>คือตัวพระพุทธศาสนา</p><p>พระพุทธศาสนาที่ชาวโลกนับถือกันอยู่ทุกวันนี้นี่แหละ คือพระพุทธพจน์</p><p>บาลีคือภาษาที่รักษาพระพุทธพจน์ไว้ ก็คือบาลีคือภาษาที่รักษาพระพุทธศาสนาไว้</p><p>และข้อเท็จจริงที่ประจักษ์และต้องเข้าใจไว้ด้วยก็คือ แหล่งที่ใช้ภาษาบาลีมีแห่งเดียวในโลก คือพระไตรปิฎก</p><p>พระไตรปิฎกคืออะไร?</p><p>ขอนำคำอธิบายตอนหนึ่งจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต มาเสนอในที่นี้เพื่อเป็นคำตอบ</p><p>.........................................................</p><p>ไตรปิฎก : “ปิฎกสาม”; ปิฎก แปลตามศัพท์อย่างพื้น ๆ ว่า กระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะสำหรับใส่รวมของต่าง ๆ เข้าไว้ นำมาใช้ในความหมายว่า เป็นที่รวบรวมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่จัดเป็นหมวดหมู่แล้ว โดยนัยนี้ ไตรปิฎก จึงแปลว่า “คัมภีร์ที่บรรจุพุทธพจน์ (และเรื่องราวชั้นเดิมของพระพุทธศาสนา) ๓ ชุด” หรือ “ประมวลแห่งคัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวด” กล่าวคือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และ อภิธรรมปิฎก</p><p>พระไตรปิฎกบาลีได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มหนังสือด้วยอักษรไทยครั้งแรกในรัชกาลที่ ๕ เริ่มเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ เสร็จและฉลองพร้อมกับงานรัชดาภิเษกใน พ.ศ. ๒๔๓๖ แต่ยังมีเพียง ๓๙ เล่ม (ขาดคัมภีร์ปัฏฐาน) ต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๘ ในรัชกาลที่ ๗ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ใหม่เป็นฉบับที่สมบูรณ์ เพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลแด่รัชกาลที่ ๖ เรียกว่า สฺยามรฏฺฐสฺส เตปิฏกํ (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ) มีจำนวนจบละ ๔๕ เล่ม</p><p>.........................................................</p><p>พึงทราบต่อไปว่า พระไตรปิฎกไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย </p><p>ประเทศอื่น ๆ ก็มีพระไตรปิฎก </p><p>ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ไม่มีตัวอักษรประจำภาษา ชาติไหนเรียนภาษาบาลี ก็เขียนภาษาบาลีเป็นตัวอักษรของชาตินั้น อย่างไทยเราเรียนบาลีก็เขียนภาษาบาลีเป็นตัวอักษรไทย (ชั้นเดิมเขียนเป็นตัวอักษรขอม) พระไตรปิฎกที่มีอยู่ในประเทศต่าง ๆ ก็เขียนเป็นตัวอักษรของชาตินั้น ๆ แต่ภาษาก็ยังคงเป็นภาษาบาลี นี่คือต้องเข้าใจด้วยว่า ภาษากับตัวอักษรต่างกันอย่างไร</p><p>เมื่อภาษาบาลีเป็นภาษาที่รักษาพระพุทธพจน์ คือรักษาพระพุทธศาสนา การเรียนบาลีก็จึงหมายถึงการเรียนวิธีรักษาพระพุทธศาสนานั่นเอง </p><p>รักษาพระพุทธศาสนาด้วยวิธีเรียนบาลี จึงทำได้ด้วยการลงมือทำ นั่นคือเอาความรู้บาลีไปใช้งาน </p><p>เอาความรู้บาลีไปใช้งานคือทำอะไร? </p><p>ก็คือการเอาความรู้บาลีไปศึกษาพระไตรปิฎก (๑) เพื่อให้รู้เข้าใจคำสอนที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา (๒) แล้วเอาคำสอนนั้นมาปฏิบัติขัดเกลาตนเอง (๓) แล้วบอกกล่าวคำสอนนั้นให้แพร่หลายต่อไป</p><p>ทำอย่างนี้คือที่เรียกว่า-เอาความรู้บาลีไปใช้งาน</p><p>การเรียนบาลีของเรา แต่เดิมก็คือเรียนเพื่อเอาไปใช้งานแบบนี้</p><p>คือ-เพราะต้องการจะรักษาพระพุทธศาสนาจึงเรียนบาลี</p><p>ไม่ได้เรียนเพื่อให้จบ </p><p>ไม่ได้เรียนเพื่อให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์ </p><p>ไม่ได้เรียนไว้โก้ ๆ เรียนไว้ประดับเกียรติ </p><p>หรือแม้แต่-เรียนไว้เพื่อประดับความรู้</p><p>หากแต่เรียนบาลีเพื่อเอาความรู้บาลีไปลงมือทำงานรักษาพระศาสนาจริง ๆ</p><p>การเรียนบาลีเพียงเพื่อให้สอบได้ คือเพื่อจบการศึกษา แต่ไม่ได้เอาความรู้บาลีไปใช้งาน ก็เท่ากับยังไม่ได้ลงมือรักษาพระพุทธศาสนาแต่อย่างใดเลยนั่นเอง</p><p>นี่คือที่ตั้งคำถามว่า ถ้าไม่เอาความรู้บาลีไปใช้งาน จะเรียนบาลีไปทำอะไร</p><p>จะเข้าใจเจตนาของคำถามนี้และตอบคำถามนี้ได้ จะต้องขึ้นมาจากบ่อแห่งค่านิยมการศึกษา ที่นิยมกันว่า-ศึกษาเพื่อให้จบ จบเพื่อให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์ </p><p>เพราะเวลานี้เรากำลังจมอยู่ในค่านิยมนี้ ยังขึ้นจากบ่อนี้ไม่ได้ และยังไม่มีใคร-แม้แต่ผู้บริหารการศึกษาของคณะสงฆ์เอง-ที่คิดจะขึ้นจากบ่อนี้!</p><p>ต้องขึ้นมาจากค่านิยมนี้และก้าวข้ามไปให้ได้ก่อน </p><p>จึงจะเข้าใจได้ว่า การศึกษาเพื่อใช้งานคืออะไร </p><p>เรียนบาลีเพื่อใช้งานคืออย่างไร </p><p>และทำไมจึงต้องเรียนบาลีเพื่อใช้งาน</p><p>เมื่อใดที่เข้าใจได้</p><p>เมื่อนั้นจะเกิดฉันทะวิริยะอย่างยิ่งในการเรียนบาลีเพื่อใช้งาน</p><p>จบหรือไม่จบ เป็นเรื่องรอง</p><p>ได้ความรู้เป็นเรื่องหลัก</p><p>และเอาความรู้ไปใช้งานเป็นหัวใจ</p><p>........................</p><p>แนวคิดนี้ไม่ได้โต้แย้งหรือต่อต้านการเรียนเพื่อให้จบแต่อย่างใดทั้งสิ้น </p><p>การเรียนบาลีเพื่อให้จบก็ยังคงทำได้เหมือนเดิม คือเรียนเพื่อให้จบ เพื่อให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์-เหมือนกับที่กำลังทำกันอยู่ในเวลานี้</p><p>แนวคิดนี้ไม่ได้บอกให้เลิกการเรียนแบบนี้</p><p>ตรงกันข้าม แนวคิดนี้บอกให้เรียนแบบนี้ต่อไป เรียนให้หนักขึ้น</p><p>และต้องเรียนให้จบด้วย</p><p>เอาศักดิ์และสิทธิ์จากการจบบาลีมาครอบครองให้จงได้</p><p>แนวคิดนี้เพียงแต่บอกให้เข้าใจความจริงว่า -</p><p>เรียนให้จบไม่ใช่เป้าหมาย</p><p>เรียนให้จบเป็นทางที่ต้องผ่าน</p><p>และต้องผ่านไปให้ได้ด้วย</p><p>แล้วก้าวต่อไปให้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงอันเป็นหัวใจของการเรียนบาลี-นั่นคือเอาความรู้บาลีไปใช้งานจริง ๆ ด้วย</p><p>เอาความรู้บาลีไปใช้งานจริง ๆ คือทำอะไร </p><p>บอกไว้แล้วข้างต้น</p><p>.........................................................</p><p>เรียนให้จบ ได้ประโยชน์ชาตินี้</p><p>ประโยชน์ชาตินี้ต้องเอาให้ได้</p><p>เรียนเอาไปใช้งาน ได้ประโยชน์ทุกภพทุกชาติ</p><p>ประโยชน์ทุกภพทุกชาติก็ต้องเอาให้ได้</p><p>และต้องเอาให้ได้อย่างยิ่งด้วย</p><p>เกิดมาเป็นมนุษย์</p><p>พบพระพุทธศาสนา</p><p>มีศรัทธาเลื่อมใส</p><p>บวชในพระธรรมวินัยเรียนบาลี</p><p>เอาประโยชน์ชาตินี้ไว้ได้</p><p>แต่ไม่เอาประโยชน์ทุกภพทุกชาติ</p><p>คำคนเก่าปรามาสว่า-เสียชาติเกิด</p><p>.........................................................</p><p>พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา</p><p>๒๗ มีนาคม ๒๕๖๗</p><p>๑๗:๐๗</p>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-64822944676833514212024-03-28T05:21:00.003+07:002024-03-28T05:21:18.556+07:00ร่วมสังฆกรรม อย่าใช้ภาษาธรรมกับเรื่องเลว ๆ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdoptGUzJU745X3g-t9WBD3ijqAIWWf708jodLCnwl2WkRxlsXlCMqfRNZHA7-equ13PObKlGdpi1cC3llvNcB8WMPafzB1NZjfRw2VLXg3lrl42cQGkc9Pd7vfrF9KMK6X35kkI3JDjDkxpIPZJ2NmOy5DOB0LhwTERShUH43zxhEKkiDZelSvDLTXxQ/s1920/z-1162.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdoptGUzJU745X3g-t9WBD3ijqAIWWf708jodLCnwl2WkRxlsXlCMqfRNZHA7-equ13PObKlGdpi1cC3llvNcB8WMPafzB1NZjfRw2VLXg3lrl42cQGkc9Pd7vfrF9KMK6X35kkI3JDjDkxpIPZJ2NmOy5DOB0LhwTERShUH43zxhEKkiDZelSvDLTXxQ/s16000/z-1162.jpg" /></a></div><br /><p><br /></p><p> ทองย้อย แสงสินชัย</p><p>#บาลีวันละคำ (4,306)</p><p><br /></p><p><span style="font-size: large;"><b>ร่วมสังฆกรรม</b></span></p><p><span style="font-size: large;"><b>อย่าใช้ภาษาธรรมกับเรื่องเลว ๆ</b></span></p><p>ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่งเสนอข่าวอาชญากรรม ใช้ข้อความในข่าวว่า “ชายโฉดร่วมสังฆกรรมข่มขืนหญิงสาว” </p><p>ข้อความอาจไม่ตรงตามนี้ทุกตัวอักษร แต่ได้ความว่า การที่ผู้ชายหลายคนร่วมกันข่มขืนหญิงสาว ผู้เขียนข่าวใช้คำว่า “ร่วมสังฆกรรม”</p><p>กรณีนี้ มีพระภิกษุรูปหนึ่งเขียนจดหมายไปทักท้วงต่อว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นว่า ไม่ควรใช้ภาษาพระธรรมวินัยไปเรียกการกระทำที่เลวทรามเช่นนั้น</p><p>พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บคำว่า “ร่วมสังฆกรรม” ไว้ด้วย บอกไว้ว่า - </p><p>“ร่วมสังฆกรรม : (คำกริยา) อาการที่พระสงฆ์ทำสังฆกรรมร่วมกัน, (ภาษาปาก) ทำงานร่วมกัน เช่น ฉันเข้าร่วมสังฆกรรมกับเขา.”</p><p>ความหมายจริง ๆ ของคำว่า “ร่วมสังฆกรรม” คือ พระสงฆ์ทำสังฆกรรมร่วมกัน ส่วนที่ใช้เป็นภาษาปาก พจนานุกรมฯ บอกความหมายว่า “ทำงานร่วมกัน”</p><p>การที่ผู้ชายข่มขืนผู้หญิง ไม่ใช่การทำงาน แต่เป็นการประพฤติชั่ว จึงไม่ตรงกับความหมายของ “ร่วมสังฆกรรม” ที่เป็นภาษาปาก </p><p><span style="font-size: large;"><b>ขยายความ :</b></span></p><p><b>คำว่า “สังฆกรรม” ประกอบด้วยคำว่า สังฆ + กรรม</b></p><p>(๑) “สังฆ” เขียนแบบบาลีเป็น “สงฺฆ” (หนังสือรุ่นเก่าสะกดเป็น “สํฆ” ก็มี) อ่านว่า สัง-คะ แปลตามศัพท์ว่า -</p><p>(1) “หมู่เป็นที่ไปรวมกันแห่งส่วนย่อยโดยไม่แปลกกัน” หมายความว่า ส่วนย่อยที่มีคุณสมบัติหลัก ๆ “ไม่แปลกกัน” คือมีคุณสมบัติตรงกัน เหมือนกัน ส่วนย่อยดังกล่าวนี้ไปอยู่รวมกัน คือเกาะกลุ่มกัน ดังนี้เรียกว่า “สงฺฆ”</p><p>(2) “หมู่ที่รวมกันโดยมีความเห็นและศีลเสมอกัน” ความหมายนี้เล็งที่บรรพชิตหรือสาวกที่เป็นนักบวชในลัทธิศาสนาต่างๆ เช่นภิกษุในพระพุทธศาสนาเป็นต้น ต้องมีความคิดเห็นและความประพฤติลงรอยกันจึงจะรวมเป็น “สงฺฆ” อยู่ได้</p><p>“สงฺฆ” จึงหมายถึง หมู่, กอง, กลุ่ม, คณะ</p><p><span style="font-size: medium;"><b>(๒) “กรรม” </b></span></p><p>บาลีเป็น “กมฺม” อ่านว่า กำ-มะ สันสกฤตเป็น “กรฺม” (กระ-มะ, ก ควบ ร กลืนเสียง ระ ลงคอ) ไทยเขียนอิงสันสกฤตเป็น “กรรม”</p><p>“กมฺม” รากศัพท์คือ กรฺ (ธาตุ = กระทำ) + รมฺม (รำ-มะ, ปัจจัย) ลบ รฺ ที่สุดธาตุและ ร ที่ต้นปัจจัย</p><p>: กร > ก + รมฺม > มฺม : ก + มฺม = กมฺม</p><p>“กมฺม” แปลว่า การกระทำ, สิ่งที่ทำ, การงาน (the doing, deed, work) นิยมพูดทับศัพท์ว่า “กรรม”</p><p>สงฺฆ + กมฺม = สงฺฆกมฺม > สังฆกรรม แปลว่า “งานของสงฆ์” </p><p><b>ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า - </b></p><p>“สังฆกรรม : (คำนาม) กิจที่พระสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปรวมกันทำภายในสีมา เช่น การทำอุโบสถ การสวดพระปาติโมกข์. (ส. สํฆ + กรฺมนฺ; ป. สงฺฆกมฺม).”</p><p><b>พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ขยายความคำว่า “สังฆกรรม” ไว้ดังนี้ -</b></p><p>..............</p><p><span style="font-size: medium;"><b>สังฆกรรม : งานของสงฆ์, กรรมที่สงฆ์พึงทำ, กิจที่พึงทำโดยที่ประชุมสงฆ์ มี ๔ คือ </b></span></p><p>๑. อปโลกนกรรม (อะ-ปะ-โล-กะ-นะ-กำ) กรรมที่ทำเพียงด้วยบอกกันในที่ประชุมสงฆ์ ไม่ต้องตั้งญัตติและไม่ต้องสวดอนุสาวนา เช่น แจ้งการลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุ </p><p>๒. ญัตติกรรม (ยัด-ติ-กำ) กรรมที่ทำเพียงตั้งญัตติไม่ต้องสวดอนุสาวนา เช่น อุโบสถและปวารณา </p><p>๓. ญัตติทุติยกรรม (ยัด-ติ-ทุ-ติ-ยะ-กำ) กรรมที่ทำด้วยตั้งญัตติแล้วสวดอนุสาวนาหนหนึ่ง เช่น สมมติสีมา ให้ผ้ากฐิน </p><p>๔. ญัตติจตุตถกรรม (ยัด-ติ-จะ-ตุด-ถะ-กำ) กรรมที่ทำด้วยการตั้งญัตติแล้วสวดอนุสาวนา ๓ หน เช่น อุปสมบท ให้ปริวาส ให้มานัต</p><p>..............</p><p>ดูรายการที่เรียกว่า “สังฆกรรม” แล้ว ถ้าพูดแบบเล่นสำนวนก็พูดได้ว่า การข่มขืนผู้หญิงไม่มีอยู่ในรายการ “สังฆกรรม” </p><p>จึงไม่ชอบด้วยเหตุผล และไม่เหมาะไม่ควรด้วยประการทั้งปวงที่จะเอาคำว่า “ร่วมสังฆกรรม” ไปใช้เรียกการข่มขืนผู้หญิง รวมทั้งการร่วมกันกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรอื่น ๆ ทั้งปวง</p><p><span style="font-size: large;"><b>แถม :</b></span></p><p>ขอให้สังเกตว่า สื่อที่ชอบเอาเรื่องทางศาสนามาล้อเลียนล้อเล่นนั้น กล้าทำเฉพาะกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น กับศาสนาคริสต์-และโดยเฉพาะกับศาสนาอิสลามด้วยแล้ว สื่อเหล่านี้ไม่กล้าแตะต้องเลย</p><p>ลักษณะแบบนี้ พูดตามภาษา “นักเลงปากท่อ” (ภูมิลำเนาของผู้เขียนบาลีวันละคำ) ต้องเรียกว่า “ไม่ใช่นักเลงจริง”</p><p>..............</p><p><b>ดูก่อนภราดา!</b></p><p><b>: เขาไม่ตอบโต้หลงคิดว่าเขากลัว</b></p><p><b>: ที่แท้เขารังเกียจคนนิสัยชั่วเหมือนเกลียด...อะไรดี</b></p><div><br /></div>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-10260107284082715082024-03-27T22:13:00.002+07:002024-03-27T22:13:08.877+07:00สนทนาธรรม : มาด้วยจิต ๑ ดวง + เจตสิก + กัมมชรูป - วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๗<iframe frameborder="0" height="476" src="https://youtube.com/embed/fqfAPNXtHkM?si=vufSF6xAT7KkiH0O" style="background-image: url(https://i.ytimg.com/vi/fqfAPNXtHkM/hqdefault.jpg);" width="100%"></iframe>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-17464244549761466742024-03-26T22:06:00.003+07:002024-03-26T22:06:08.810+07:00สนทนาธรรม : ทิฏฐิ และสักกายทิฏฐิ - วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗<iframe frameborder="0" height="476" src="https://youtube.com/embed/HkuUMVtY93E?si=CxVSUMJ2HUr_rLnr" width="100%"></iframe>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-79208662867253439492024-03-26T06:06:00.003+07:002024-03-26T06:06:18.773+07:00๔ จตุตถสุตตันตนิทเทส<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjUN96tStFigw6N3HFJrgA3NTHPwNTtIF1z7bq2Y7JIIMTbj8XrV7yIn5BE3TicIrDw5Uh6ZB8FKNsZK1a7U8FpsYrklfdQiZp2ArfZXMCTt1TI-k2_EyPLJ6HqyYyPYDpPpCP4PTC2s9C3tZeWGuyAo4EiK7RfMILVHUFHy6c5uzudHuqJiO4bMQYHsHc/s1920/z-1166.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjUN96tStFigw6N3HFJrgA3NTHPwNTtIF1z7bq2Y7JIIMTbj8XrV7yIn5BE3TicIrDw5Uh6ZB8FKNsZK1a7U8FpsYrklfdQiZp2ArfZXMCTt1TI-k2_EyPLJ6HqyYyPYDpPpCP4PTC2s9C3tZeWGuyAo4EiK7RfMILVHUFHy6c5uzudHuqJiO4bMQYHsHc/s16000/z-1166.jpg" /></a></div><p><br /></p><p>สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ</p><p><span style="font-size: large;"><b>๔ จตุตถสุตตันตนิทเทส</b></span></p><p> จตุตถสุตตันตนิทเทสอธิบายพระสูตรที่ ๔ ที่ท่านนำมาแสดงไว้เป็นอุทเทส </p><p>ดังรายละเอียดต่อไปนี้</p><p> อุทเทส</p><p> ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้ อินทรีย์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ</p><p> ๑. สัทธินทรีย์ </p><p> ๒. วิริยินทรีย์</p><p> ๓. สตินทรีย์ </p><p> ๔. สมาธินทรีย์</p><p> ๕. ปัญญินทรีย์</p><p>(สํ.ม. ๑๙/๔๗๑/๑๖๙)</p><p> นิทเทส</p><p> ท่านตั้งคำปุจฉาว่า “อินทรีย์ ๕ ประการนี้ พึงเห็นด้วยอาการเท่าไร เพราะมี สภาวะอย่างไร” แล้ววิสัชนาว่า พึงเห็นด้วยอาการ ๖ ประการ เพราะมีสภาวะ อย่างนี้ คือ (๑) เพราะมีสภาวะเป็นใหญ่ (๒) เพราะมีสภาวะเป็นเครื่องชำระศีลที่เป็นเบื้องต้นให้หมดจด (๓) เพราะมีสภาวะมีประมาณยิ่ง (๔) เพราะมีสภาวะตั้งมั่น (๕) เพราะมีสภาวะทำให้สิ้นไป (๖) เพราะมีสภาวะให้ตั้งอยู่</p><p> ลำดับต่อไป ท่านนำคำวิสัชนา ๖ ประการมาตั้งเป็นนิทเทส รวม ๖ นิทเทส ดังนี้ </p><p> ๔.๑ อาธิปไตยยัฎฐนิทเทส</p><p> อาธิปไตยยัฎฐนิทเทส</p><p>อธิบายสภาวะที่เป็นใหญ่แห่งอินทรีย์ โดยวิธีปุจฉาและ วิสัชนา ดังรายละเอียดต่อไปนี้</p><p> คำปุจฉาว่า “พึ่งเห็นอินทรีย์ทั้งหลายเพราะมีสภาวะเป็นใหญ่ อย่างไร” ท่าน วิสัชนาความเป็นใหญ่แห่งอินทรีย์โดยแบ่งเป็น ๒ ตอน ดังนี้ </p><p> ตอนที่ ๑</p><p> ท่านนำอินทรีย์ ๕ ประการมาหมุนสลับกันเป็นใหญ่ รวม ๕ รอบ รอบละ ๕ ประการ เพื่อจำแนกความเป็นใหญ่ของอินทรีย์แต่ละประการ รวม ๒๕ ประการ เช่น พึงเห็นสัทธินทรีย์เพราะมีสภาวะเป็นใหญ่ ในการน้อมใจเชื่อของบุคคลผู้ละความไม่มีศรัทธา ด้วยอํานาจแห่งสัทธินทรีย์ พึงเห็นวิริยินทรีย์เพราะมีสภาวะประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์เพราะมีสภาวะตั้งมั่น จึงเห็นสมาธินทรีย์เพราะมีสภาวะไม่ฟุ้งซ่าน จึงเห็นปัญญินทรีย์เพราะมีสภาวะเห็น</p><p> ตอนที่ ๒</p><p> ท่านนำอินทรีย์ ๕ มาหมุนด้วยธรรมแต่ละคู่ในธรรมที่เป็นคู่ตรงกันข้าม ๓๗ คู่ (หมวดภาวนาที่ ๕ ในสุตมยญาณที่ ๔ แห่งญาณกถา) คู่ละ ๕ รอบ รอบละ ๕ ประการ รวม ๒๕ ประการ โดยให้อินทรีย์แต่ละอินทรีย์สลับกันเป็นใหญ่ในแต่ละรอบ เมื่อหมุน ไปครบ ๓๗ คู่ จึงได้ ๑๘๕ รอบ เมื่อนำ ๑๘๕ รอบไปคูณด้วย ๕ จึงได้ ๙๒๕ ประการ (๓๗ X ๕ = ๑๘๕ X ๕ = ๙๒๕) เช่น</p><p> รอบที ๑</p><p> พึงเห็นสัทธินทรีย์เพราะมีสภาวะเป็นใหญ่ในการน้อมใจเชื่อ ด้วยอำนาจแห่ง เนกขัมมะของบุคคลผู้ละกามฉันทะ ด้วยอำนาจแห่งสัทธินทรีย์ พึงเห็นวิริยินทรีย์ เพราะมีสภาวะประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์เพราะมีสภาวะตั้งมั่น พึงเห็นสมาธินทรีย์ เพราะมีสภาวะไม่ฟุ้งซ่าน จึงเห็นปัญญินทรีย์เพราะมีสภาวะเห็น</p><p> ๔.๒ อาทิวิโสธนัฏฐนิทเทส</p><p> อาทิวิโสธนัฏฐนิทเทสอธิบายสภาวะเป็นเครื่องชำระศีลที่เป็นเบื้องต้นแห่งอินทรีย์ โดยวิธีปุจฉาและวิสัชนา ดังรายละเอียดต่อไปนี้</p><p> คำปุจฉาว่า “พึงเห็นอินทรีย์ทั้งหลายเพราะมีสภาวะชำระศีลที่เป็นส่วนเบื้องต้นอย่างไร” ท่านวิสัชนาโดยแบ่งเป็น ๒ ตอน คือ</p><p> ตอนที่ ๑ มี ๕ ประการตามจำนวนอินทรีย์ เช่น ชื่อว่าสัทธินทรีย์เพราะมีสภาวะน้อมใจเชื่อ ชื่อว่าสีลวิสุทธิเพราะมีสภาวะระวังความไม่มีศรัทธา เป็นเครื่อง ชำระศีลที่เป็นเบื้องต้นแห่งสัทธินทรีย์</p><p> ตอนที่ ๒ มี ๓๗ ประการ (ดูธรรมที่เป็นคู่ตรงกันข้าม ๓๗ คู่ ในหมวดภาวนา ที่ ๕ แห่งสุตมยญาณที่ ๔ ญาณกถา) เช่น อินทรีย์ ๕ ในเนกขัมมะ ชื่อว่าสีลวิสุทธิ เพราะมีสภาวะระวังกามฉันทะ เป็นเครื่องชำระศีลที่เป็นเบื้องต้นแห่งอินทรีย์ ๕ </p><p> ๔.๓ อธิมัตตัฏฐนิทเทส</p><p> อธิมัตตัฎฐนิทเทสอธิสภาวะมีประมาณยิ่งแห่งอินทรีย์ โดยวิธีปุจฉาและ วิสัชนา ดังรายละเอียดต่อไปนี้</p><p> คำปุจฉาว่า “พึงเห็นอินทรีย์ทั้งหลายเพราะมีสภาวะมีประมาณยิ่งอย่างไร” ท่านวิสัชนาว่า</p><p> ๑. เพราะเจริญสัทธินทรีย์ ฉันทะจึงเกิดขึ้น ด้วยอำนาจฉันทะ ปามุชชะ จึงเกิดขึ้น ด้วยอำนาจปามุชชะ ด้วยอำนาจศรัทธา สัทธินทรีย์จึงมี ประมาณยิ่ง</p><p> ๒. ด้วยอำนาจปามุซซะ ปีติจึงเกิดขึ้น ด้วยอำนาจปีติ ด้วยอำนาจศรัทธา...</p><p> ๓. ด้วยอำนาจปีติ ปัสสัทธิจึงเกิดขึ้น ด้วยอำนาจปัสสัทธิ ด้วยอำนาจ ศรัทธา...</p><p> ๔. ด้วยอำนาจปัสสัทธิ สุขจึงเกิดขึ้น ด้วยอำนาจสุข ด้วยอำนาจ ศรัทธา...</p><p> ๕. ด้วยอำนาจสุข โอภาสจึงเกิดขึ้น ด้วยอำนาจโอภาส ด้วยอำนาจ ศรัทธา...</p><p> ๖. ด้วยอำนาจโอภาส สังเวชจึงเกิดขึ้น ด้วยอำนาจสังเวช ด้วยอำนาจ ศรัทธา...</p><p> ๗. จิตสังเวชแล้วย่อมตั้งมั่น ด้วยอำนาจความตั้งมั่น ด้วยอำนาจ ศรัทธา...</p><p> ๘. จิตตั้งมั่นแล้วย่อมประคองไว้ด้วยดี ด้วยการประคองไว้ ด้วยอำนาจ ศรัทธา...</p><p> ๙. จิตที่ประคองไว้ย่อมเพ่งเฉย (อุเบกขา) ด้วยดี ด้วยอุเบกขา ด้วยอ้านาจศรัทธา...</p><p> ๑๐. ด้วยอำนาจอุเบกขา จิตจึงหลุดพ้นจากกิเลสที่มีสภาวะต่าง ๆ ด้วยความหลุดพ้น ด้วยอำนาจศรัทธา...</p><p> ๑๑. เพราะจิตหลุดพ้น ธรรมเหล่านั้นจึงมีรสเป็นอย่างเดียวกัน เพราะมี ความหมายว่า ธรรมทั้งหลายมีรสเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยอำนาจภาวนา ด้วยอำนาจศรัทธา...</p><p> ๑๒. เพราะเป็นธรรมที่เจริญแล้ว ธรรมเหล่านั้นจึงหลีกออกจากธรรมเหล่านั้นไปสู่ธรรมที่ประณีตกว่า ด้วยอำนาจความหลีกออกไป ด้วย อ้านาจศรัทธา...</p><p> ๑๓. เพราะหลีกออกไปแล้ว ฉะนั้น บุคคลจึงสละ ด้วยอำนาจความสละ ด้วยอ้านาจศรัทธา...</p><p> ๑๔. เพราะสละแล้ว ฉะนั้น กิเลสและขันธ์จึงดับ ด้วยอำนาจความดับ ด้วยอ้านาจศรัทธา...</p><p> สรุป ความสละด้วยอำนาจความดับ ๒ ประการ คือ (๑) ความสละด้วยการ บริจาค (๒) ความสละด้วยความแล่นไป</p><p> ั ชื่อว่าความสละด้วยการบริจาค เพราะสละกิเลสและขันธ์ ชื่อว่าความสละด้วย ความแล่นไป เพราะจิตแล่นไปในนิพพานธาตุที่เป็นความดับ</p><p> อินทรีย์อีก ๔ ประการก็มีนัยเดียวกันนี้ ต่างกันแต่องค์ธรรมเท่านั้น </p><p> ๔.๔ อธิฏฐานัฏฐนิทเทส</p><p> อธิฏฐานัฏฐนิทเทสอธิบายสภาวะตั้งมั่นแห่งอินทรีย์ โดยวิธีปุจฉาและวิสัชนา ดังรายละเอียดต่อไปนี้</p><p> คำปุจฉาว่า “พึ่งเห็นอินทรีย์ทั้งหลายเพราะมีสภาวะตั้งมั่น อย่างไร” ท่าน วิสัชนาว่า</p><p> เพราะเจริญสัทธินทรีย์ ฉันทะจึงเกิดขึ้น ด้วยอำนาจฉันทะ ด้วยอำนาจศรัทธา สัทธินทรีย์จึงตั้งมั่น</p><p> ด้วยอำนาจฉันทะ ปามุชชะจึงเกิดขึ้น ด้วยอำนาจปามุชชะ ด้วยอำนาจศรัทธา สัทธินทรีย์จึงตั้งมั่น ฯลฯ (มีองค์ธรรมเหมือนในอธิมัตตัฏฐนิทเทส)</p><p> ๔.๕ ปริยาทานัฏฐนิทเทส</p><p> ปริยาทานัฏฐนิทเทสอธิบายสภาวะที่อินทรีย์ทำให้ธรรมฝ่ายตรงกันข้ามสิ้นไป โดยวิธีปุจฉาและวิสัชนา ดังรายละเอียดต่อไปนี้</p><p> คำปุจฉาว่า “พึงเห็นอินทรีย์ทั้งหลายเพราะมีสภาวะทำให้ธรรมฝ่ายตรงกันข้าม สิ้นไป อย่างไร” ท่านวิสัชนาโดยแบ่งเป็น ๒ ตอน คือ</p><p> ตอนที่ ๑ มี ๕ ประการตามจำนวนอินทรีย์ เช่น เพราะมีสภาวะน้อมใจเชื่อ สัทธินทรีย์จึงทำความไม่มีศรัทธาให้สิ้นไป ทำความเร่าร้อนเพราะความไม่มีศรัทธา ให้สิ้นไป</p><p> ตอนที่ ๒ มี ๓๗ ประการ (ดูธรรมที่เป็นคู่ตรงกันข้าม ๓๗ คู่ในภาวนาหมวด ที่ ๕ แห่งสุตมยญาณที่ ๔) เช่น อินทรีย์ ๕ ประการในเนกขัมมะ ทำกามฉันทะให้ สิ้นไป อินทรีย์ ๕ ประการในพยาบาท ทำอพยาบาทให้สิ้นไป</p><p> ๔.๖ ปติฏฐาปกัฏฐนิทเทส</p><p> ปติฏฐาปกฏฐนิทเทสอธิบายสภาวะที่อินทรีย์ให้ตั้งอยู่ โดยวิธีปุจฉาและวิสัชนา ดังรายละเอียดต่อไปนี้</p><p> คำปุจฉาว่า “พึงเห็นอินทรีย์ทั้งหลายเพราะมีสภาวะให้ตั้งอยู่ อย่างไร” ท่านวิสัชนาโดยแบ่งเป็น ๒ ตอน คือ</p><p> ตอนที่ ๑ มี ๕ ประการตามจำนวนอินทรีย์ เช่น ผู้มีศรัทธาให้สัทธินทรีย์ ตั้งอยู่ในความน้อมใจเชื่อ สัทธินทรีย์ของผู้มีศรัทธาให้ผู้มีศรัทธาตั้งอยู่ในความน้อม ใจเชื่อ</p><p> ตอนที่ ๒ มี ๓๗ ประการ (องค์ธรรมเหมือนในปริยาทานัฏฐนิทเทส) เช่น พระโยคาวจรให้อินทรีย์ ๕ ประการตั้งอยู่ในเนกขัมมะ อินทรีย์ ๕ ประการของพระ โยคาวจรให้พระโยคาวจรตั้งอยู่ในเนกขัมมะ</p><p> ๔.๗ อินทรียสโมธาน</p><p> อินทรียสโมธาน แปลว่า การให้อินทรีย์ประชุมลง หรือการประมวลอินทรีย์ นอกจากการให้อินทรีย์ประชุมลงแล้ว ยังมีการให้ธรรมอีก ๔ หมวดประชุมลง คือ พละ โพชฌงค์ มรรค และธรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นเนื้อหาตอนที่ ๓ ในจำนวน ๗ ตอน ที่ท่านนำมาอธิบายโดยวิธีปุจฉาและวิสัชนา ดังรายละเอียดต่อไปนี้</p><p> ตอนที่ ๑ อธิบายการเจริญสมาธิของบุคคล ๓ จำพวก ดังนี้ </p><p> คำปุจฉาว่า</p><p> ๑. ปุถุชนเมื่อเจริญสมาธิ ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วยอาการเท่าไร </p><p> ๒. พระเสขะเมื่อเจริญสมาธิ ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วยอาการเท่าไร . </p><p> ๓. ท่านผู้ปราศจากราคะเมื่อเจริญสมาธิ ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ ๓. ด้วยอาการเท่าไร</p><p> ท่านวิสัชนามีใจความว่า</p><p> ๑. ด้วยอาการ ๗ ประการ</p><p> ๒. ด้วยอาการ ๘ ประการ</p><p> ๓. ด้วยอาการ ๑๐ ประการ</p><p> ลำดับต่อไป ท่านนำคำวิสัชนาแต่ละประการมาอธิบายโดยวิธีปุจฉาและวิสัชนา ตามลำดับดังนี้</p><p> ๑. คำปุจฉาว่า “ปุถุชน เมื่อเจริญสมาธิ ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วย อาการ ๗ ประการ อะไรบ้าง” ท่านวิสัชนามีใจความว่า เพราะน้อมนึกถึงแล้ว ปุถุชน ึชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งสภาวธรรมแต่ละประการ รวม ๗ ประการ ได้แก่ (๑) อารมณ์ (๒) สมถนิมิต (๓) ปัคคหนิมิต (๔) อวิกเขปะ (๕) โอภาส (๖) ความร่าเริง (๗) อุเบกขา</p><p> ๒. คำปุจฉาว่า “พระเสขะเมื่อเจริญสมาธิ ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วย อาการ ๘ ประการ อะไรบ้าง” ท่านวิสัชนามีใจความว่า เพราะน้อมนึกถึงแล้ว พระเสขะชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งสภาวธรรมแต่ละประการ รวม ๘ ประการ ประการที่ ๑-๗ เหมือนในข้อที่ ๑ ประการที่ ๘ ได้แก่ เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งสภาวะเดียว</p><p> ๓. คำปุจฉาว่า “ท่านผู้ปราศจากราคะเมื่อเจริญสมาธิ ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๐ ประการ อะไรบ้าง” ท่านวิสัชนามีใจความว่า เพราะน้อมนึกถึงแล้วท่านผู้ปราศจากราคะ ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งสภาวธรรมแต่ละประการ รวม ๑๐ ประการ ประการที่ ๙-๑๐ ได้แก่ เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งญาณ และเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งจิต</p><p> ตอนที่ ๒ อธิบายการเจริญวิปัสสนาของบุคคล ๓ จำพวก ดังนี้ </p><p> คำาปุจฉาว่า</p><p> ๑. ปุถุชนเมื่อเจริญวิปัสสนา เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วยอาการเท่าไร เป็นผู้ฉลาดในการไม่ตั้งไว้ด้วยอาการเท่าไร</p><p> ๒. พระเสขะเมื่อเจริญวิปัสสนา เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วยอาการเท่าไร เป็นผู้ฉลาดในการไม่ตั้งไว้ด้วยอาการเท่าไร</p><p> ๓. ท่านผู้ปราศจากราคะเมื่อเจริญวิปัสสนา เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร เป็นผู้ฉลาดในการไม่ตั้งไว้ด้วยอาการเท่าไร</p><p> ท่านวิสัชนามีใจความว่า</p><p> ๑. ด้วยอาการ ๙ ประการ ทั้ง ๒ ประเด็น</p><p> ๒. ด้วยอาการ ๑๐ ประการ ทั้ง ๒ ประเด็น</p><p> ๓. ด้วยอาการ ๑๒ ประการ ทั้ง ๒ ประเด็น</p><p> ลำดับต่อไป ท่านนําคำวิสัชนาแต่ละประการมาอธิบายโดยวิธีปุจฉาและวิสัชนา ตามลำดับดังนี้</p><p> ๑. คำปุจฉาว่า “ปุถุชนเมื่อเจริญวิปัสสนา ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วย อาการ ๙ ประการ อะไรบ้าง เป็นผู้ฉลาดในการไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๙ ประการ อะไรบ้าง” ท่านวิสัชนามีใจความว่า ปุถุชนเมื่อเจริญวิปัสสนา ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาด ในการตั้งไว้ด้วยอาการ ๙ ประการ เป็นผู้ฉลาดในการไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๙ ประการ จัดเป็น ๙ คู่ ดังนี้</p><p>เป็นผู้ฉลาด เป็นผู้ฉลาด</p><p>ในการตั้งไว้ ในการไม่ตั้งไว</p><p>๑.โดยความ โดยความ</p><p> ไม่เที่ยง เที่ยง</p><p>๒.โดยความ โดยความ</p><p> เป็นทุกข์ เป็นสุข</p><p>๓.โดยความ โดยความ</p><p> เป็นอนัตตา เป็นอัตตา</p><p>๔.โดยความ โดยความ</p><p> สิ้นไป เป็นก้อน</p><p>๕.โดยความ โดยความ</p><p> เสื่อมไป ประมวลมา</p><p>๖.โดยความ โดยความ</p><p> เเปรผัน ยั่งยืน</p><p>๗.โดยความ โดยความ</p><p> อนิมิต นิมิต</p><p>๘.โดยความ โดยความ</p><p> อปณิหิต ปณิหิต</p><p>๙.โดย โดย</p><p> สูญญตะ อภินิเวสะ</p><p> (ความว่าง) (ความยึด </p><p> มั่น)</p><p> ๒. คำปุจฉาว่า “พระเสขะเมื่อเจริญวิปัสสนา เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วย อาการ ๑๐ ประการ อะไรบ้าง" เป็นผู้ฉลาดในการไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๐ จัดเป็น ๑๐ คู่ คู่ที่ ๑-๙ เหมือนข้อที่ ๑ คู่ที่ ๑๐ ได้แก่ ญาณกับสิ่งที่ไม่ใช่ญาณ </p><p> ๓. คำปุจฉาว่า “ท่านผู้ปราศจากราคะเมื่อเจริญวิปัสสนา เป็นผู้ฉลาดในการ ตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๒ ประการ อะไรบ้าง เป็นผู้ฉลาดในการไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๒ ประการ อะไรบ้าง” ท่านวิสัชนามีใจความว่า ท่านผู้ปราศจากราคะเมื่อเจริญวิปัสสนา เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๒ ประการ เป็นผู้ฉลาดในการไม่ตั้งไว้ด้วย อาการ ๑๒ ประการ จัดเป็น ๑๒ คู่ คู่ที่ ๑-๑๐ เหมือนในข้อที่ ๒ คู่ที่ ๑๑-๑๒ได้แก่ ความไม่เกี่ยวข้องกับความเกี่ยวข้อง และความดับกับสังขาร</p><p> ตอนที่ ๓</p><p> ท่านสรุปเหมือนคำสรุปในสโตการิญาณนิทเทสว่า เพราะน้อมนึกถึงแล้ว บุคคล ให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลง ด้วยอำนาจความเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งอารมณ์รู้ชัดโคจร และรู้แจ้งธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์ ให้พละทั้งหลายประชุมลง ให้โพชฌงค์ทั้งหลายประชุมลง ... ให้มรรคทั้งหลายประชุมลง ... ให้ธรรมทั้งหลาย ประชุมลง รู้ชัดโคจร และรู้แจ้งธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์</p><p> ลำดับต่อไป ท่านนำคำสรุปนั้นมาอธิบาย มีใจความแบ่งเป็น ๓ ลำดับดังนี้ </p><p> ลำดับที่ ๑</p><p> ให้สัทธินทรีย์ประชุมลงเพราะมีสภาวะน้อมใจเชื่อ ให้วิริยินทรีย์ประชุมลงเพราะมีสภาวะประคองไว้ ให้สตินทรีย์ประชุมลง เพราะมีสภาวะตั้งมั่น ให้สมาธินทรีย์ประชุมลงเพราะมีสภาวะไม่ฟุ้งซ่าน ให้ปัญญินทรีย์ประชุมลงเพราะมีสภาวะเห็น</p><p> ลำดับที่ ๒ มี ๓ ประการ คือ</p><p> ๑. ให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลง ด้วยอำนาจความเป็นผู้ฉลาดในการ ตั้งไว้ซึ่งสภาวธรรมต่าง ๆ รวม ๗ ประการ (เหมือนในตอนที่ ๑ ลำดับที่ ๒ ข้อที่ ๑)</p><p> ๒. ให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลง ด้วยอำนาจความเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งสภาวธรรมต่าง ๆ รวม ๘ ประการ (เหมือนในตอนที่ ๑ </p><p>ลำดับที่ ๒ ข้อที่ ๒)</p><p> ๓. ให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลง ด้วยอำนาจความเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งสภาวธรรมต่าง ๆ รวม ๑๐ ประการ (เหมือนในตอนที่ ๑ ลำาดับที่ ๒ ข้อที่ ๓)</p><p> ลำดับที่ ๓ มี ประการ คือ </p><p> ๑. ให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลง ด้วยอำนาจความเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้และการไม่ตั้งไว้โดยสภาวธรรมต่าง ๆ รวม ๑๘ ประการ (เหมือนในตอนที่ ๒ ลำดับที่ ๒ ข้อที่ ๑)</p><p> ๒. ให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลง ด้วยอำนาจความเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้และการไม่ตั้งไว้โดยสภาวธรรมต่าง ๆ รวม ๒๐ ประการ (เหมือนในตอนที่ ๒ ลำดับที่ ๒ ข้อที่ ๒)</p><p> ๓. ให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลง ด้วยอำนาจความเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้และการไม่ตั้งไว้โดยสภาวธรรมต่าง ๆ รวม ๒๐ ประการ (เหมือนในตอนที่ ๒ ลำดับที่ ๒ ข้อที่ ๓)</p><p> ตอนที่ ๔</p><p> ท่านตั้งบทมาติกาใหม่ว่า “ปัญญาที่มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ โดยอาการ ๖๔ ประการ ชื่อว่าอาสวักขยญาณ” (ดูรายละเอียดในอาสวักขยญาณนิทเทสแห่งญาณกถา)</p><p> ตอนที่ ๕</p><p> ท่านนำพระพุทธพจน์เป็นคาถามาตั้งเป็นบทมาติกา แล้วยกคำว่า สมันตจักขุ มาขยายความเป็นพุทธญาณ ๑๔ ประการ เหมือนในสัพพัญญุตญาณนิทเทสแห่ง ญาณกถา</p><p> ตอนที่ ๖</p><p> ท่านนำคำกริยา ๕ คำ คือ เชื่อ ประคองไว้ ตั้งสติมั่น ตั้งใจมั่น รู้ชัด มาหมุน เป็นคู่ ๆ สลับกันจนครบ ๕ คำ เป็น ๑ รอบ รอบละ ๘ คู่ โดยให้คำกริยาแต่ละคำหมุนกันเป็นใหญ่ในแต่ละรอบตามลำดับรวม ๕ รอบ เช่น</p><p> รอบที่ ๑ ใช้คำว่า “เชื่อ” เป็นหลัก คือ </p><p> บุคคลเมื่อเชื่อ ชื่อว่าประคองไว้ เมื่อประคองไว้ ชื่อว่าเชื่อ </p><p> บุคคลเมื่อเชื่อ ชื่อว่าตั้งสติมั่น เมื่อตั้งสติมั่น ชื่อว่าเชื่อ </p><p> บุคคลเมื่อเชื่อ ชื่อว่าตั้งใจมั่น เมื่อตั้งใจมั่น ชื่อว่าเชื่อ </p><p> บุคคลเมื่อเชื่อ ชื่อว่ารู้ชัด เมื่อรู้ชัด ชื่อว่าเชื่อ</p><p> รอบที่ ๒ ใช้คำว่า “ประคองไว้” เป็นหลัก คือ</p><p> บุคคลเมื่อประคองไว้ ชื่อว่าตั้งสติมั่น เมื่อตั้งสติมั่น ชื่อว่าประคองไว้ </p><p> บุคคลเมื่อประคองไว้ ชื่อว่าตั้งใจมั่น เมื่อตั้งใจมั่น ชื่อว่าประคองไว้</p><p> บุคคลเมื่อประคองไว้ ชื่อว่ารู้ชัด เมื่อรู้ชัด ชื่อว่าประคองไว้ </p><p> บุคคลเมื่อประคองไว้ ชื่อว่าเชื่อ เมื่อเชื่อ ชื่อว่าประคองไว้ </p><p> ลำดับต่อไป ท่านนำคำกริยาทั้ง ๕ คำนั้นมาขยายความเป็นเหตุเป็นผลของกัน และกัน เป็นคู่ ๆ หมุนสลับกันไปจนครบ ๕ คำ รวม ๕ รอบ เหมือนข้างต้น เช่น </p><p> รอบที่ ๑ ใช้คำว่า “เชื่อ” เป็นหลัก คือ</p><p> เพราะความเป็นผู้เชื่อ จึงประคองไว้ เพราะความเป็นผู้ประคองไว้ จึงเชื่อ </p><p> เพราะความเป็นผู้เชื่อ จึงตั้งสติมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งสติมั่น จึงเชื่อ </p><p> เพราะความเป็นผู้เชื่อ จึงตั้งใจมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งใจมั่น จึงเชื่อ </p><p> เพราะความเป็นผู้เชื่อ จึงรู้ชัด เพราะความเป็นผู้รู้ชัด จึงเชื่อ </p><p> ตอนที่ ๗</p><p> ท่านวางบทมาติกาว่า พุทธจักขุชื่อว่าพุทธญาณ พุทธญาณชื่อว่าพุทธจักขุ เป็นเครื่องให้พระตถาคตทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในปัญญาจักขุน้อย ฯลฯ (เหมือนในอินทริยปโรปริยัตตญาณนิทเทส)</p><p> จากนั้น ท่านนำคำในบทมาติกานั้นมาขยายความเป็นคู่ตรงกันข้าม คือ ฝ่ายดี กับฝ่ายไม่ดี รวม ๕ คู่ (เหมือนในอินทริยปโรปริยัตตญาณนิทเทสแห่งญาณกถา)</p><div><br /></div>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-90183729639007284602024-03-25T22:14:00.002+07:002024-03-25T22:14:12.750+07:00สนทนาธรรม : กิเลสกมฺมวิปากวฏฏปวตฺติกถา - วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๗<iframe frameborder="0" height="476" src="https://youtube.com/embed/gf-spQHMqvw?si=mm5FpbZ_ebYCr31f" width="100%"></iframe>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-73671919919378316562024-03-22T22:44:00.004+07:002024-03-22T22:44:18.098+07:00ธาตุกถาสรูปัตถนิสสยะ - นยที่ ๕ (อสังคหิเตน อสังคหิตัง) - วันที่ ๒๒ มีนาค...<iframe frameborder="0" height="476" src="https://youtube.com/embed/G6gehCHhOIg?si=iekaACAJcIrGlRgR" width="100%"></iframe>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-10953173967511347062024-03-22T22:42:00.008+07:002024-03-22T22:42:57.253+07:00สนทนาธรรม : เรื่องทิฏฐิ คือ สักกายทิฏฐิ - วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๗<iframe frameborder="0" height="476" src="https://youtube.com/embed/ZncOUqTjhLA?si=fKJXtETSjUJeTY3M" style="background-image: url(https://i.ytimg.com/vi/ZncOUqTjhLA/hqdefault.jpg);" width="100%"></iframe>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-58980853730971440522024-03-21T22:56:00.001+07:002024-03-21T22:56:06.000+07:00ธาตุกถา : ทบทวนนยที่ ๑ - ๕ : วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๗<iframe frameborder="0" height="476" src="https://youtube.com/embed/2pCOlHp998I?si=11UH6s-J5T_din33" style="background-image: url(https://i.ytimg.com/vi/2pCOlHp998I/hqdefault.jpg);" width="100%"></iframe>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-22704638784729894382024-03-21T22:54:00.005+07:002024-03-21T22:56:47.106+07:00สนทนาธรรม : โครงสร้างพระไตรปิฎก-กถาทั่วไป : วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๗<iframe frameborder="0" height="476" src="https://youtube.com/embed/hZmfhmcLTf4?si=dvbwHGCGDGx2ZpdK" width="100%"></iframe>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-42088376676573847152024-03-21T03:45:00.005+07:002024-03-21T03:45:25.223+07:00พยสนสูตร (สัมปทาสูตร) ความพินาศ ๕ และความบริบูรณ์ ๕ <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSgEx9oumcj8drcOvffJ1B_lfaXrVnJUEd3jGUYPxvijKX3Vg3mNxpHr9kZHA0YFAv8-TOqTZln8IH036-nDnVxzay2IJ8lxKsjhudK6vACr_dsROJFp3Vi8iiW5iIXtXcikwxgI8go6rT7CIWvjZdK-f-GT4mBvImmLtJoIJucJ2QAjBZY3C0oHgZgm4/s1920/z-1056.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSgEx9oumcj8drcOvffJ1B_lfaXrVnJUEd3jGUYPxvijKX3Vg3mNxpHr9kZHA0YFAv8-TOqTZln8IH036-nDnVxzay2IJ8lxKsjhudK6vACr_dsROJFp3Vi8iiW5iIXtXcikwxgI8go6rT7CIWvjZdK-f-GT4mBvImmLtJoIJucJ2QAjBZY3C0oHgZgm4/s16000/z-1056.jpg" /></a></div><br /><p><br /></p><p><b>สาระจากพระสูตร </b></p><p>...</p><p><span style="font-size: large;"><b>พยสนสูตร (สัมปทาสูตร) </b></span></p><p><span style="font-size: large;"><b>ความพินาศ ๕ และความบริบูรณ์ ๕ </b></span></p><p>(อัง.ปัญจก.๒๒/๑๓๐)</p><p>...</p><p>ในพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกความเสื่อมด้วยคำบาฬีว่า พฺยสน ไว้ ๕ ประการ คือ</p><p>๑. ญาติพยสนะ (ญาติพฺยสนํ) ความเสื่อมจากญาติ</p><p>๒. โภคพยสนะ (โภคพฺยสนํ) ความเสื่อมจากทรัพย์สมบัติใช้สอย</p><p>๓. โรคพยสนะ (โรคพฺยสนํ) ความเสื่อมเพราะโรค</p><p>๔. สีลพยสนะ (สีลพฺยสนํ) ความเสื่อมจากศีล</p><p>๕. ทิฏฐิพยสนะ (ทิฏฺฐิพฺยสนํ) ความเสื่อมแห่งความเห็นที่ถูกต้อง (คือมีความเห็นผิด)</p><p>ตรัสความบริบูรณ์ ความถึงพร้อมหรือบริบูรณ์ด้วยคำบาฬีว่า สมฺปทา ไว้ ๕ ประการ คือ</p><p>๑. ญาติสัมปทา (ความสมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยญาติ) </p><p>๒. โภคสัมปทา (ความสมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติใช้สอย)</p><p>๓. สมบัติคือความไม่มีโรค (ความสมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยความไม่มีโรค)</p><p>๔. สมบัติคือศีล (ความสมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยศีล)</p><p>๕. สมบัติคือทิฏฐิ (ความสมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยความเห็นถูก)</p><p>...</p><p>บรรดาสองคำนี้ </p><p>คำบาฬีว่า สมฺปทา เราท่านพบเห็นบ่อยกว่า เพราะพระไตรปิฎกแปลมักจะใช้คำนี้ทับศัพท์เสมอ หรือไม่ก็แปลตามศัพท์ว่า ความถึงพร้อม เช่น สัทธาสัมปทา, ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา สีลสัมปทา,ความถึงพร้อมด้วยศีล จาคสัมปทา, ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค เป็นต้น ส่วนความหมายที่ขยายความก็คือ ความบริบูรณ์ (ปาริปูรี) ความมีมาก (พหุภาโว) เพราะฉะนั้น คำว่า สีลสัมปทา เป็นต้นนั้น ก็คือ ความบริบูรณ์ด้วยศีล หรือ สัทธาสัมปทา ความมีมากด้วยศรัทธา นั่นเอง</p><p>แต่คำบาฬีว่า พฺยสน มักแปลว่า ความเสื่อม, ความพินาศ มากกว่า เช่น ญาติพฺยสนํ ก็แปลว่า ความเสื่อมญาติ ที่แปลทับศัพท์ว่า พยสน เป็น ญาติพยสนะ ก็มี แต่น้อย </p><p>ด้วยเหตุนี้ เราจึงเล่าที่มาของคำว่า พฺยสน ที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ต่างๆ พอเป็นมุข เป็นแนวทางให้เข้าใจคำแปลทับศัพท์ </p><p>ศัพท์ในภาษาบาฬี ประกอบรูปขึ้นจากอักษร ๓ ส่วนด้วยกัน คือ </p><p>อุปสัค เป็นส่วนหน้าสำหรับขยายความเนื้อความหลัก</p><p>ธาตุ เป็นรากศัพท์ หรือ เนื้อความหลัก ที่ยังไม่ได้ผ่านการปรุงรูปตามกระบวนการของไวยากรณ์</p><p>ปัจจัยที่ลงท้ายธาตุนั้น เพื่อสื่อถึงความเป็นผู้ทำ, ผู้ถูกทำหรือแม้แต่กิริยาอาการเป็นต้น </p><p>ด้วยอักษร ๓ ส่วน ดังกล่าวมานี้ พฺยสน (พยสนะ) นี้ จึงแยกศัพท์ออกเป็น </p><p>(๑) อุปสัค คือ วิ </p><p>(๒) ธาตุ คือ อสุ </p><p>(๓) ปัจจัย คือ ยุ </p><p>ซึ่งแต่ละส่วนนั้นมีความหมายดังนี้ คือ</p><p>วิ อุปสัค มีความหมายว่า วิเสส (พิเศษ, เฉพาะ, แปลกไป)</p><p>อสุ (หรือ อส) ธาตุ มีความหมายว่า ขิปน ซัด,เหวี่ยง,ยิง,พุ่งไป,ขว้างไป </p><p>ยุ ปัจจัย แสดงความเป็นเพียงกิริยาอาการว่า การซัดไป ของรูปที่สำเร็จลงแล้ว</p><p>เรากล่าวรวบรัดข้ามระบบไวยากรณ์ ดังนี้ว่า วิ เป็น พฺย + อสุ เป็น อสฺ + ยุ เป็น อน เมื่อนำสามส่วนนี้มาเรียงต่อกันจึงได้รูปคำว่า พฺยสน มีความหมายตามศัพท์ว่า การเหวี่ยงไปโดยพิเศษ ซึ่งก็หมายถึง การละทิ้งไปนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จึงแปลว่า ความเสื่อมพินาศไป </p><p>เมื่อประกอบรูปเป็น พฺยสนํ แล้ว จะมีความหมายหรือคำจำกัดความโดยย่อ เรียกว่า รูปวิเคราะห์ ดังนี้</p><p>วิยสฺสตีติ พฺยสนํ, หิตสุขํ ขิปติ วิทฺธํเสตีติ อตฺโถฯ</p><p>ธรรมชาติที่เหวี่ยงทิ้ง คือ ซัดไป ทำลายเสีย ซึ่งประโยชน์เกื้อกูลและความสุข ชื่อว่า พฺยสนํ</p><p>(ที.ปา.อฏฺ.๓๑๖ เป็นต้น)</p><p>...</p><p>คัมภีร์สัททนีติ ธาตุมาลา ได้แสดงความหมายของคำนี้ไว้ดังนี้ว่า </p><p>คำนี้ออกจาก อสุ ธาตุ ในความหมายว่า เขป คือ การขว้าง, พุ่ง, ยิง, ซัด,เหวียง แต่สื่อความหมายได้ว่า ฉฑฺฑน ทิ้งไป หรือ สละทิ้งไป ซึ่งประกอบรูปศัพท์ได้ว่า อสฺสติ สละทิ้งไป</p><p>มีตัวอย่างการใช้คำนี้ว่า </p><p>นิรสฺสติ อาทิยติ จ ธมฺมํ </p><p>ย่อมสละธรรมบ้าง ยึดถือธรรมบ้าง </p><p>ข้อความนี้มีอรรถาธิบายว่า</p><p>ย่อมละทิ้งพระศาสดาและผู้กล่าวธรรม เป็นต้น.</p><p>(นีติ.ธาตุ.แปล อสุ เขป ฉบับมหาจุฬา)</p><p>...</p><p>จากรากศัพท์และความหมายที่ประสงค์เอา ก็สรุปได้ว่า พฺยสน มีความหมายว่า ละทิ้ง (ฉฑฺเฑติ) ซึ่งถือเอาความได้ว่า ความไม่มี, พินาศ, ทำลายไป ด้วยเหตุนี้ ในคัมภีร์อภิธานนัปปทีปิกา คาถาที่ ๘๙๐ จึงแสดง พฺยสน ศัพท์ไว้ ๓ ความหมาย คือ </p><p>(๑) กามเช โทเส ในโทษอันเกิดเพราะความอยาก</p><p>(๒) โกปเช โทเส ในโทษอันเกิดเพราะความโกรธ</p><p>(๓) วิปตฺติยํ ในความวิบัติ </p><p>ซึ่งที่เรากล่าวถึงในที่นี้ ความหมายว่า วิปตฺติ วิบัติ, เสื่อม, เสียหาย นั่นเอง</p><p>อย่างไรก็ตาม ในคาถาที่ ๘๙ แห่งคัมภีร์นั้น ยังแสดงความหมายอื่นไว้ คือ ความทุกข์, ความลำบาก ร่วมกับศัพท์อื่นๆ อีก ๕ ศัพท์ คือ ทุกฺข, กสิร, กิจฺฉ, นีฆ, อฆ รวมเป็น ๖ ศัพท์ แต่ความหมายนี้ ไม่ประสงค์เอาในที่นี้</p><p>...</p><p>ในคัมภีร์อรรถกถาและฏีกา กล่าวถึงความหมายของศัพท์นี้ไว้ด้วยศัพท์อื่นๆ ก็มี เช่น</p><p> (๑) พฺยสนํ มีความหมายเท่ากับ วินาโส แปลว่า พินาศ และศัพท์อื่นๆอีกที่มีความหมายว่า ทำลาย คือ อสนํ ทิ้งไป, วิกฺเขป ซัดทิ้งไป, วิทฺธํสนํ ทำลายไป โดยสภาพแล้ว พฺยสน ได้แก่ ธรรมชาติที่ละทิ้ง คือ ทำลาย ซึ่งประโยชน์และความสุข ดังคัมภีร์อรรถกถา กล่าวไว้ว่า </p><p>พฺยสนนฺติ วิอสนํ, วินาโสติ อตฺโถฯ</p><p> (สํ.นิทาน.อฏฺ.๑๒๖ อสฺสุตฺตสุตฺตวณฺณนา)</p><p>บทว่า พฺยสน ตัดบทว่า วิอสนํ การเหวี่ยงไป ความหมายคือ วินาโส พินาศ</p><p>วิอสนนฺติ วิเสเสน เขปนํฯ กิํ ปน ตนฺติ อาห ‘‘วินาโสติ อตฺโถ’’ติฯ (ตฏฺฏีกา)</p><p>บทว่า วิอสนํ คือ วิเสเสน เขปนํ การเหวี่ยงไปอย่างพิเศษ, ก็ วิอสนํ นั้น ความเป็นเช่นไร พระอรรถกถาจารย์จึงตอบว่า วินาโส ความพินาศ </p><p>...</p><p>ญาติพฺยสเนนปีติ เอตฺถ อสนํ พฺยสนํ วิกฺเขโป วิทฺธํสนํ วินาโสติ สพฺพเมตํ เอกตฺถํฯ </p><p>(วิ.อฏฺ.๑/๔๓-๔๔.วชฺชิปุตฺตกวตฺถุวณฺณนา) </p><p>ในคำบาฬีว่า ญาติพฺยเนนปิ นี้ คำเหล่านี้ทั้งหมดคือ อสนํ, พฺยสนํ, วิกฺเขโป, วิทฺธํสนํ, วินาโส มีความหมายเดียวกัน</p><p>...</p><p>วิยสตีติ พฺยสนํ, หิตสุขํ ขิปติ วิทฺธํเสตีติ อตฺโถฯ (ปฏิสํ.อฏฺ. ๓๓โสกนิทฺเทสวณฺณนา)</p><p>บาฬีที่ว่า พฺยสนํ วิเคราะห์ว่า วิยสติ ธรรมชาติที่เหวี่ยงทิ้ง, ความหมายคือ ซัดไป ทำลายซึ่งประโยชน์เกื้อกูลและความสุข.</p><p>...</p><p><span style="font-size: medium;"><b> (๒) พฺยสน มีความหมายเท่ากับ อนตฺถ สิ่งอันมิใช่ประโยชน์ </b></span></p><p> ...</p><p>จากหลักฐานดังกล่าวมานั้น </p><p>เราสรุปความหมายแบบเข้าใจได้เลยว่า </p><p>พฺยสน คือ เรื่องหรือสถานการณ์หรือสภาพการณ์ที่ไม่มีประโยชน์ ทั้งทำประโยชน์และความสุขให้พินาศไป ได้แก่ ความพินาศ</p><p>ก็ พฺยสน อันมีความหมายว่า ความพินาศ ที่หาประโยชน์มิได้นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ๕ ประการ ด้วยกัน คือ</p><p>ญาติพยสนะ (ญาติพฺยสนํ) ความเสื่อมญาติ</p><p>โภคพยสนะ (โภคพฺยสนํ) ความเสื่อมแห่งของกินของใช้สอย</p><p>โรคพยสนะ (โรคพฺยสนํ) ความเสื่อมคือโรค</p><p>สีลพยสนะ (สีลพฺยสนํ) ความเสื่อมแห่งศีล</p><p>ทิฏฐิพยสนะ (ทิฏฺฐิพฺยสนํ) ความเสื่อมคือมิจฉาทิฏฐิที่ทำลายสัมมาทิฏฐิ</p><p>....</p><p>ก็ พยสนะทั้ง ๕ นี้ มากระทบผู้ใด เขานั้นจึงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง จึงกล่าวได้ว่า เป็นเหตุแห่งความโศก (โสก),ความคร่ำครวญ (ปริเทว), ความรำพัน (อุปายาส) ดังข้อความส่วนหนึ่งในพระบาฬีวิภังค์ อภิธรรมปิฎก ความว่า</p><p>ตตฺถ กตโม โสโก? ญาติพฺยสเนน วา ผุฏฺฐสฺส โภคพฺยสเนน วา ผุฏฺฐสฺส โรคพฺยสเนน วา ผุฏฺฐสฺส สีลพฺยสเนน วา ผุฏฺฐสฺส ทิฏฺฐิพฺยสเนน วา ผุฏฺฐสฺส อญฺญตรญฺญตเรน พฺยสเน. (แม้ในปริเทวนิทเทสและอุปายาสนิทเทสก็มีนัยนี้) อภิ.วิ.๓๓/๑๖๔ </p><p>ในทุกขอริยสัจนั้น โสกะ เป็นไฉน</p><p>ความโศกของบุคคล ผู้ถูกความเสื่อมแห่งญาติกระทบเข้าก็ดี ผู้ถูกความเสื่อมแห่งสมบัติกระทบเข้าก็ดี ผู้ถูกความเสื่อมคือโรคกระทบเข้าก็ดี ผู้ถูกความเสื่อมแห่งศีลกระทบเข้าก็ดี ผู้ถูกความเสื่อมแห่งทิฏฐิกระทบเข้าก็ดี ผู้ประจวบกับความเสื่อมอื่น ๆ ก็ดี ผู้ถูกเหตุแห่งทุกข์อื่น ๆ กระทบเข้าก็ดี นี้เรียกว่าโสกะ</p><p>...</p><p>ด้วยเหตุนี้ แม้พยสนะจึงเป็นชื่อของความทุกข์ โดยเป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น ดังที่คัมภีร์อภิธานนัปปทีปิกาได้แสดงว่าเป็นชื่อของความทุกข์ร่วมกับศัพท์อื่นๆ อีก ๕ ศัพท์ อีกด้วย (ธาน.๘๙- ทุกฺขญฺจ กสิรํ กิจฺฉํ, นีโฆ จ พฺยสนํ อฆํ ความทุกข์, ความลำบาก ๖ ศัพท์ คือ ทุกฺข, กสิร, กิจฺฉ, นีฆ, อฆ, พฺยสน)</p><p>...</p><p>ก็ พยสนะ ๕ มีความหมายว่า อย่างไร </p><p>อรรถกถาทั้งหลาย พรรณนาความว่า</p><p>พฺยสตีติ พฺยสนํ, (บางแห่งเป็น วิอสติ, วิยสติ) </p><p>พยสนะ คือ สภาวะซัดไป ความหมายคือ กำจัดประโยชน์เกื้อกูลและความสุข </p><p>(หิตสุข นี้ หิตะ หมายถึง เหตุของความสุข ดังคัมภีร์วิภังคมูลฏีกาแสดงไว้ว่า </p><p>สุขการณํ หิตํ, ตสฺส ผลํ สุขํฯ (วิภงฺค.มูล.๑๙๔) </p><p>หิตะ คือ เหตุของความสุข, ความสุข เป็นผลของหิตะ นั้น</p><p>หิต ศัพท์ มีรูปวิเคราะห์ว่า </p><p>สุขํ หิโนติ ปวตฺตติ เอเตนาติ สุขการณํ หิตํ </p><p>หิตะ คือ ธรรมชาติที่ทำให้ความสุขดำเนินไป คือ เหตุแห่งความสุข (วิภงฺ.อนุ๑๙๔) </p><p>อย่างไรก็ตาม หิต ศัพท์ นิยมแปลว่า ประโยชน์เกื้อกูล จึงถือเอาความได้ว่า เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ความสุข</p><p>อนึ่ง ในพระบาฬีก็มีคำว่า หิตสุข นี้เช่นกัน เช่น ในลกฺขณสุตฺต ที.ปา.๑๑/๑๑๔๑, นาลกสุตฺต ขุ.สุ.๒๕/๓๘๘ เป็นต้น.)</p><p>๑.ญาติพยสนะ หมายถึง ความเสื่อมแห่งญาติ (ญาตีนํ พฺยสนํ ญาติพฺยสนํ) หมายถึง ความสิ้นญาติ (ญาติกฺขย) ความพินาศแห่งญาติ ความพินาศแห่งญาติ (ญาติวินาส) เพราะประสบกับโจรภัยและโรคเป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงมรณภัยด้วย </p><p>๒. โภคพยสนะ คือ ความเสื่อมแห่งโภคะ, ความสิ้นโภคะ, ความพินาศแห่งโภคะ เพราะประสบราชภัย (ถูกปรับ, ริบ) และโจรภัยเป็นต้น </p><p>ก็ ของใช้ของกิน เช่น มีข้าวน้ำผ้ายานเป็นต้น ซึ่งท่านเรียกโดยรวมๆว่า โภคะ อนฺนปานวตฺถยานาทิ ปริภุญฺชิตพฺพโต โภโคติ อธิปฺเปโต, โส จ ธมฺมสมูหภาเวนฯ (วิภงฺค.อนุ.)</p><p>๓. โรคพยสนะ คือ ความเสื่อมคือโรค หรือความเสื่อมอันเป็นโรค ซึ่งทำความไม่มีโรคให้พินาศไป. </p><p>๔. สีลพยสนะ ความเสื่อมไปแห่งศีล หมายถึง ความเป็นผู้ทุศีล </p><p>๕. ทิฏฐิพยสนะ ความเสื่อมคือมิจฉาทิฏฐิ ที่เมื่อเกิดขึ้นย่อมทำสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกให้พินาศไป</p><p>...</p><p><span style="font-size: medium;"><b>บรรดาพยสนะ ๕ นี้ </b></span></p><p>พยสนะ ๒ อย่างแรก คือ ญาติพยสนะ และ โภคพยสนะ ไม่มีสภาวปรมัตถ์ เพราะเป็นเพียงบัญญัติที่เรียกชื่อโดยอาศัยความพินาศแห่งญาติและโภคะ </p><p>ส่วนพยสนะ ๓ อย่างหลัง คือ โรคพยสนะ สีลพยสนะ และทิฏฐิพยสนะ เป็นความเสื่อมที่มีสภาวปรมัตถ์ คือ เป็นความเสื่อมที่มีอยู่จริง จัดเป็นกลุ่มขันธ์ ๕ (ขันธปัญจกะ) ประเภทสำเร็จหรือเกิดขึ้นจากสมุฏฐาน ๔ มีกรรมเป็นต้น </p><p>จริงอย่างนั้น โรค ย่อมทำให้ความไม่มีโรคพินาศไป, ศีลทำศีลให้พินาศไป, ทิฏฐิทำความเห็นถูกให้พินาศไป จึงเรียกว่า ความเสื่อมคือโรค เป็นต้น </p><p>ด้วยเหตุนี้ พยสนะ ๓ นี้ จึงจัดเป็นกลุ่มธรรมมีสภาวปรมัตถ์รับรอง สามารถยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์เจริญวิปัสนากัมมัฏฐานได้</p><p>(หมายเหตุ ในอรรถกถาเรียก นิปผันนะ และในอนุฏีกาอธิบายว่า ได้แก่ ขนฺธปญฺจก ที่สำเร็จคือเกิดจากปัจจัยหรือสมุฏฐาน อันได้แก่ กรรม จิต อุตุ อาหาร โดยตรง มีสภาวลักษณะของมันเอง มี ๑๘ สามารถยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ได้ จัดเป็นรูปขันธ์ ต่างจาก ญาติ และ โภคะ หาได้เป็นสภาวะไม่ เพราะเป็นบัญญัติเรียกชื่อ จากภาวะที่ญาติและโภคะนั้นเสื่อมไปเท่านั้น แต่โรคพยสนะ นี้ก็คือขันธ์ที่ถูกความเสื่อมคือโรคเบียดเบียน)</p><p>ส่วนญาติพยสนะและโภคพยสนะ ไม่มีสภาวปรมัตถ์รับรองเป็นเพียงบัญญัติที่สมมุติขึ้นจากความพินาศแห่งญาติและโภคะ จึงไม่อาจยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ได้</p><p>แต่เมื่อว่าโดยกุศลเป็นต้น พยสนะ ๓ อย่างแรก คือ ญาติพยสนะ โภคพยสนะ และโรคพยสนะ ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล (เพราะเป็นอัพยกตะ ประเภทวิบาก) ส่วน ๒ อย่างหลัง คือ ศีลพยสนะ และทิฏฐิพยสนะ เป็นอกุศล เหตุที่มีสภาวะเศร้าหมองและทำให้เร่าร้อนในภายหลัง</p><p>...</p><p>เมื่อกล่าวถึงพยสนะแล้ว สัมปทา ก็มีอรรถาธิบายเหมือนกับพยสนะ เพราะสามารถถือเอาโดยนัยตรงข้าม ดังนี้</p><p>สัมปทา คือ ความบริบูรณ์ มาจากคำบาฬีว่า สมฺปทา ประกอบรูปศัพท์จากสามส่วน เช่นกัน คือ</p><p>สํ อุปสัค = พร้อม </p><p>ปท ธาตุ = ถึง </p><p>อ ปัจจัย </p><p><b>สามคำรวมเป็น สมฺปทา แปลว่า ความถึงพร้อม, ความหมายคือ บริบูรณ์ (ปาริปูรี), มีมาก (พหุภาว), พรั่งพร้อมด้วยคุณทั้งหลาย (คุเณหิ สมิทฺธภาว)</b></p><p><b>...</b></p><p>ความถึงพร้อมที่ตรัสไว้ ๕ ประการ มีญาติสัมปทาเป็นต้น คือ </p><p>๑. ความถึงพร้อมแห่งญาติ คือ ความมีญาติบริบูรณ์หรือมีญาติมาก</p><p>๒. ความถึงพร้อมแห่งโภคะ คือ ความมีโภคะบริบูรณ์หรือมีมาก</p><p>๓. ความถึงพร้อมแห่งความไม่มีโรค คือ ความไม่มีโรคอย่างบริบูรณ์ คือ ตลอดกาลนาน</p><p>๔.ความถึงพร้อมแห่งศีล คือ สมบูรณ์ด้วยศีล</p><p>๕. ทิฏฐิ ก็มีนัยเดียวกัน คือ สมบูรณ์ความเห็นถูก</p><p>บรรดาสัมปทา ๕ นั้น</p><p>ความถึงพร้อมแห่งญาติและความถึงพร้อมแห่งโภคะและความถึงพร้อมแห่งความไม่มีโรค ไม่ใช่เป็นกุศล ไม่เป็นทั้งอกุศล, ส่วนศีลและทิฏฐิสัมปทา เป็นกุศล</p><p>(เรียบเรียงจากอรรถกถาแและฏีกาสังคีติสูตร ที.ปา.อ.และที.ปา.ฏี.๓๑๖)</p><p>...</p><p>จบ สาระจากพระสูตร “พยสนสูตร” เพียงเท่านี้</p><p>ขออนุโมทนา</p><p>สมภพ สงวนพานิช</p><p>---------------</p><p>// ขอขอบคุณ อาจารย์สมภพ สงวนพานิช -</p><div><br /></div>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-7835510415875587102024-03-20T22:57:00.009+07:002024-03-20T22:57:50.951+07:00สนทนาธรรม : ทิฏฐิ + ฐานของทิฏฐิ - วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๗<iframe frameborder="0" height="476" src="https://youtube.com/embed/icYO8hjOxiA?si=zbrjX0G1TGc6g4-D" width="100%"></iframe>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7090214509882343457.post-19402935430195756172024-03-19T22:21:00.003+07:002024-03-19T22:21:13.260+07:00สนทนาธรรม : อนุปาทิเสสนิพพาน, กรรม-วิบาก : วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๗<iframe frameborder="0" height="476" src="https://youtube.com/embed/dxKIq6Lz8Rs?si=wVylMd70Sn7pJRx-" width="100%"></iframe>[full-post]nitimedhihttp://www.blogger.com/profile/13369928684231605963noreply@blogger.com0