ศึกษาเรื่องเดิม - ทำไมเมื่อคนบวชเป็นพระเราจึงนับถือเลื่อมใส?
------------------------------------------------------------
การแสดงออกว่านับถือเลื่อมใส ก็อย่างเช่น ทำบุญกับพระ ใส่บาตรให้พระ ไหว้พระ ฯลฯ
ทำบุญกับพระทำไม ใส่บาตรให้พระทำไม ไหว้พระทำไม ฯลฯ
มีใครเคยตามไปศึกษาเรื่องเดิมกันบ้าง?
“เรื่องเดิม” ง่าย ๆ-ง่ายเหมือนหญ้าปากคอก ก็อยู่ที่บทสังฆคุณที่ใคร ๆ (สมัยก่อน) ก็สวดได้คล่องนั่นเอง คือ เพราะพระสงฆ์เป็นผู้ -
.........................................................
สุปะฏิปันโน = ปฏิบัติดี
อุชุปะฏิปันโน = ปฏิบัติตรง
ญายะปะฏิปันโน = ปฏิบัติควร
สามีจิปะฏิปันโน = ปฏิบัติชอบ
.........................................................
ตั้งเป็นหลักใหญ่ได้ว่า เราทำบุญ ใส่บาตร ไหว้พระ อุปถัมภ์บำรุง หรือควักกระเป๋าทุ่มเทให้พระสงฆ์สามเณรรูปไหน วัดไหน สำนักไหน ก็เพราะพระสงฆ์สามเณรรูปนั้น วัดนั้น สำนักนั้นเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบนั่นแล้ว
ทุกวันนี้เราเคยศึกษาตรวจสอบกันบ้างหรือเปล่าว่าพระหรือสำนักที่เรานับถือเลื่อมใสอุปถัมภ์บำรุงนั้น ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบจริง ๆ หรือเปล่า?
ถึงตรงนี้คงมีคนอยากพูดว่า มัวแต่ไปตรวจสอบก็ไม่ต้องได้ทำอะไรกันพอดี
แล้วอีกประการหนึ่ง ใครจะไปตรวจสอบได้ว่าพระเณรที่เราเห็น-เช่นเห็นท่านออกบิณฑบาตทุกเช้า-รูปไหนสำนักไหนปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบหรือเปล่า
ตรงนี้แหละคือช่องโหว่ของสังคมไทย
และเป็นช่องโหว่ขนาดมหึมาด้วย
หมายความว่าอย่างไร?
ก็หมายความว่า - คนที่เก่งทางการตลาดย่อมจะตีโจทย์ออกแล้วว่า สังคมไทยเลื่อมใสง่าย ศรัทธาง่าย เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ได้ให้ออกมาดูดี น่าเลื่อมใส
ง่ายๆ เท่านี้เอง
ทำอะไรก็ได้ให้ออกมาดูดี น่าเลื่อมใส ก็จะสามารถทำให้คนไทยเทกระเป๋าออกมาถวายได้อย่างไม่อั้น
.......................
นอกจากนี้ ยังมีท่านอีกจำพวกหนึ่ง ไม่ได้คำนึงว่าพระท่านจะปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบหรือเปล่า จับหลักแต่เพียงว่ารูปไหนอำนวยประโยชน์ให้ข้าพเจ้าได้ หรือรูปไหนทำอะไรถูกใจข้าพเจ้า-เท่านั้นพอ
ข้าพเจ้าถูกใจ-ได้ประโยชน์ เท่านี้พอ
ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบหรือเปล่า ไม่รู้ ไม่รับรู้ ไม่สน
.......................
คราวนี้ลองถอยกลับมาดูว่า มีเหตุผลอะไรท่านจึงใช้การปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบ เป็นมาตรฐานในการตัดสินพระว่าควรแก่การนับถือเลื่อมใส หรือไม่ควร
ยกเป็นตัวอย่างสักเรื่องหนึ่งว่า มีเหตุผลอะไรท่านจึงบอกว่า ทำบุญกับพระสงฆ์ได้บุญมากกว่าให้ทานแก่คนธรรมดา
ตรงนี้ต้องตามไปดูกำเนิดของพระสงฆ์
.........................................................
ว่าย่อ ๆ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่แสดงหนทางปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของพระศาสนาทรงชี้ทางไว้ว่า การปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์จะได้ผลดีต้องออกจากเรือนไปสู่ความเป็นผู้ไม่มีบ้านเรือน มีหลักมีเกณฑ์ในการครองชีวิตอีกแบบหนึ่งต่างจากผู้ครองเรือน
คำแนะนำนี้มีตัวพระพุทธเจ้าเองเป็นบทพิสูจน์ และต่อมาก็มีพระสงฆ์สาวกทั้งหลายเป็นพยานยืนยัน
พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย แต่เดิมก็คือชาวบ้านธรรมดาเหมือนเราท่านนี่เอง ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่ไหน เป็นชาวบ้านที่ฟังคำสอนแล้วเกิดศรัทธา
แล้วออกบวช
แล้วปฏิบัติตาม
แล้วบรรลุธรรม
ที่ยังไม่บรรลุก็พยายามปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบ เพื่อบรรลุในโอกาสต่อไป
.........................................................
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่มีเพศสมณะเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา
ฝ่ายชาวบ้านที่มีศรัทธา แต่ยังไม่พร้อมที่จะออกบวช เมื่อได้เห็นพวกที่พร้อมกว่าได้ออกบวชไปแล้ว ก็มีแก่ใจสนับสนุนด้วยปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ออกบวชมีความสะดวกในการครองชีพ จะได้มุ่งปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบ เพื่อบรรลุธรรมต่อไป
นี่คือเหตุผลต้นเดิม-เรื่องเดิม ที่ชาวพุทธมีศรัทธานับถือเลื่อมใสพระ แล้วแสดงออกด้วยการอุปถัมภ์บำรุงพระ อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาด้วยประการต่าง ๆ
และที่ว่าถวายทานแก่พระสงฆ์ได้บุญมากกว่าให้ทานแก่สัตว์ แก่คนธรรมดา ก็ด้วยเหตุผลข้อนี้แหละ
คือเหตุผลที่ว่า-เป็นการสนับสนุนให้คนดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์
ถึงตัวเองจะยังไปไม่ได้ แต่ก็สนับสนุนคนที่เขาไปได้
ถามว่า ทุกวันนี้มีใครได้คิดไปให้ถึงเหตุผลต้นเดิมเรื่องเดิมตรงนี้กันบ้าง?
นอกจากใส่บาตรทุกเช้าแล้ว การอุปถัมภ์บำรุงในรูปแบบอื่น ๆ ทุกอย่าง สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างกุฏิ บริจาคที่ ตั้งทุนมูลนิธิ บำรุงการศึกษาพระปริยัติธรรม บวชเณร บวชพระ ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ฯลฯ ก็ล้วนแต่มีรากเหง้าเค้าเดิมมาจากการสนับสนุนให้คนดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ทั้งสิ้น
เราได้คิดสาวไปให้ถึงเหตุต้นเค้าที่แท้จริงของการมีศรัทธานับถือเลื่อมใสกันบ้างหรือเปล่า
เมื่อทำกันนานเข้าจนกลายเป็นวัฒนธรรม ประเพณี เป็นค่านิยม เราก็เลยลืมกันไปว่าเหตุผลที่แท้จริงของการนับถือเลื่อมใสเช่นนั้นคืออะไร
กลายเป็นทำตามประเพณี หนักเข้าก็เลยเป็น “ความเชื่อ” คือศรัทธาล้วน ๆ ไม่ได้มองไปที่เหตุผลที่แท้จริงของการมีศรัทธา
และในที่สุดก็ถึงขั้น-ไม่ต้องการคำอธิบายหรือเหตุผลใด ๆ
ใครจะพูดจะชี้แจงก็ไม่อยากฟัง (ซ้ำชักจะรำคาญเอาด้วย)
ขอเพียงแค่ได้ศรัทธา ได้นับถือ ได้เลื่อมใส เท่านั้นพอ อย่ามายุ่งกับฉัน
และมีเป็นอันมากที่อ้างเหตุผลเพียงว่า ทำแล้วสบายใจ ก็พอแล้ว ขอแค่นั้น
คำแนะนำง่าย ๆ ของผมก็คือ
อะไรบ้างที่ห้ามพระทำ
และอะไรบ้างที่พระต้องทำ
ช่วยกันศึกษาหาความรู้ที่ถูกต้อง อย่าคิดเอาเอง เข้าใจเอาเอง
เมื่อเข้าใจถูกต้องแล้ว -
เห็นพระรูปไหนสำนักไหนไม่ทำสิ่งที่ห้ามทำ
เห็นพระรูปไหนสำนักไหนไม่ละเลยสิ่งที่ต้องทำ
นับถือเลื่อมใสศรัทธาเถอะครับ-ไม่ผิดหวัง
แต่ถ้าเห็นตรงกันข้าม ก็ค่อย ๆ ถวายกำลังใจให้ท่าน
เอาเมตตา ไมตรี หวังดีเป็นที่ตั้ง
อย่าเพิ่งรีบหันหลัง หรือถล่มกันให้พังทันที-นะครับ
---------------------
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
๑๘:๒๔
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ