ปาราชิโก โหติ อสํวาโส (๑)
-----------------------
หมายความอย่างไร
ศีลของภิกษุทั้ง ๒๒๗ ข้อ มีตัวบทบัญญัติไว้ในพระวินัยปิฎกเรียกว่า “สิกขาบท” เทียบกับพระราชบัญญัติก็คือที่เรียกว่า “มาตรา” เมื่อจบข้อความแต่ละสิกขาบท จะมีคำจำกัดความเรียกว่า “วิภังค์” คำเก่าเรียกว่า คัมภีร์วิภังค์ พระไตรปิฎกแปลเป็นไทยใช้คำว่า “สิกขาบทวิภังค์”
สิกขาบทวิภังค์ตรงกับคำในพระราชบัญญัติที่บอกว่า “ในพระราชบัญญัตินี้ ... หมายความว่า ... ” เช่น -
.........................................................
ในพระราชบัญญัตินี้
“การศึกษาพระปริยัติธรรม” หมายความว่า การศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
“วัด” หมายความว่า วัดตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์
.........................................................
สิกขาบทแต่ละข้อจะมีคำว่า “โย ปน ภิกฺขุ ...” แปลว่า “ภิกษุใด” สิกขาบทวิภังค์ก็จะให้คำจำกัดความว่า “ภิกษุ” ในสิกขาบทนี้หมายถึงใคร ทั้งนี้เพราะภิกษุในพระพุทธศาสนามีที่มาหลายทาง เช่น -
ผู้บวชด้วยวิธีเอหิภิกขุ ก็เป็น “ภิกษุ”
ผู้บวชด้วยวิธีรับไตรสรณคมน์ในสมัยต้น ๆ ก็เป็น “ภิกษุ”
ผู้บรรลุธรรมเป็นเสขบุคคล ก็เป็น “ภิกษุ”
ผู้บรรลุธรรมเป็นอเสขบุคคล ก็เป็น “ภิกษุ”
ผู้บวชด้วยวิธีที่สงฆ์ประชุมกันอนุมัติดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็เป็น “ภิกษุ”
สิกขาบทวิภังค์บอกที่มาของภิกษุดังนี้แล้วก็ระบุว่า “ภิกษุ” ในสิกขาบทนี้หมายถึงผู้บวชด้วยวิธีที่สงฆ์ประชุมกันอนุมัติ (ภาษาวิชาการเรียกว่า ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา)
การให้คำจำกัดความแบบนี้ นักเลงกฎหมายอาจพูดได้ว่า ภิกษุที่บวชด้วยวิธีเอหิภิกขุเสพเมถุนได้ ไม่ต้องอาบัติปาราชิก เพราะไม่ใช่ภิกษุที่บวชด้วยวิธีญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา
ในแง่ภาษาย่อมมองได้เช่นนั้น แต่ภาษาในพระวินัยไม่ได้คำนึงเฉพาะภาษาอย่างเดียว หากแต่คำนึงถึงข้อเท็จจริงด้วย
ข้อเท็จจริงก็คือ ภิกษุที่มาด้วยวิธีอื่น ๆ เป็นภิกษุในสมัยต้นแห่งการประกาศพระศาสนา บวชแล้วก็ปฏิบัติธรรมและบรรลุธรรมหมดสิ้น และในเวลาที่ทรงบัญญัติสิกขาบทต่าง ๆ ท่านเหล่านั้นก็อยู่ในฐานะเป็น “ภิกษุ” แต่ไม่อยู่ในฐานะที่จะละเมิดสิกขาบทได้อีกแล้ว ถ้าไม่จำกัดความไว้ให้ชัดเจน ก็จะมีผู้กล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทเหวี่ยงแหทั่วไปหมด ไม่รู้จักแยกแยะ ไม่สมกับที่ยกย่องว่าเป็นสัพพัญญู
......................
ในตัวบทอาบัติปาราชิกทั้ง ๔ สิกขาบท จะลงท้ายด้วยคำที่เหมือนกัน คือ “ปาราชิโก โหติ อสํวาโส” มีคำแปลว่า เมื่อภิกษุประพฤติล่วงละเมิดทั้ง ๔ กรณี (เสพเมถุน ลักทรัพย์ ฆ่ามนุษย์ อวดอุตริ) ก็จะ “เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาส”
“ปาราชิโก” แปลว่า “ผู้ปาราชิก” (ผู้พ่ายแพ้)
“โหติ” แปลว่า “ย่อมเป็น”
“อสํวาโส” แปลว่า “ไม่มีสังวาส”
......................
“ปาราชิโก โหติ อสํวาโส เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาส” หมายความว่าอย่างไร?
สิกขาบทวิภังค์ขยายความไว้ดังนี้ -
.........................................................
ปาราชิโก โหตีติ เสยฺยถาปิ นาม ปุริโส สีสจฺฉินฺโน อภพฺโพ เตน สรีรพนฺธเนน ชีวิตุํ เอวเมว ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวิตฺวา อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย เตน วุจฺจติ ปาราชิโก โหตีติ ฯ
คำว่า ปาราชิโก โหติ หมายความว่า บุรุษถูกตัดศีรษะแล้วไม่อาจมีสรีระคุมกันมีชีวิตอยู่ได้แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน เสพเมถุนธรรมแล้วย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า ปาราชิโก โหติ (เป็นปาราชิก)
อสํวาโสติ สํวาโส นาม เอกกมฺมํ เอกุทฺเทโส สมสิกฺขาตา เอโส สํวาโส นาม โส เตน สทฺธึ นตฺถิ เตน วุจฺจติ อสํวาโสติ ฯ
คำว่า อสํวาโส หมายความว่า ที่ชื่อว่า สังวาส ได้แก่ กรรมที่พึงทำร่วมกัน อุเทศที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่า สังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุนั้น เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า อสํวาโส (ไม่มีสังวาส)
ที่มา: ปฐมปาราชิกกัณฑ์ วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๑ ข้อ ๓๖-๓๗
.........................................................
โปรดสังเกตว่า ตามคำอธิบายในสิกขาบทวิภังค์ ต้องอาบัติปาราชิกแล้วขาดจากความเป็นพระทันที ไม่มีข้อแม้
คำว่า “อสฺสมโณ โหติ” แปลตามศัพท์ว่า “ย่อมไม่เป็นสมณะ” คือที่ผมใช้คำว่า “ขาดจากความเป็นพระ”
......................
เมื่อมีพระต้องอาบัติปาราชิก-เช่นเสพเมถุน มีความเข้าใจกันว่า ต้องลาสิกขา-คือต้องสึก-ก่อนจึงจะขาดจากความเป็นพระ และมีข่าวตามมาว่าพระที่ปาราชิกนั้น “ยอมลาสิกขา” ก็ยิ่งทำให้แน่ใจว่า ต้องสึกก่อน “ภิกขุภาวะ” คือความเป็นพระจึงสิ้นสุดลง ดังจะให้เข้าใจต่อไปว่า พระที่ต้องอาบัติปาราชิก ถ้าไม่ลาสิกขาก็ยังคงเป็นพระอยู่ได้ต่อไป
ต่อจากนั้นก็มีผู้รู้บาลียกข้อความจากคัมภีร์มาอ้างว่า พระที่ต้องอาบัติปาราชิก ถ้าไม่ลาสิกขาก็ยังคงเป็นพระอยู่ได้ต่อไป-มีแสดงไว้ในคัมภีร์
คัมภีร์ฉบับหนึ่งบอกไว้ดังนี้ -
.........................................................
น หิ ปาราชิกํ อนาปนฺนสฺส สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย วิพฺภมิสฺสามีติ คิหิลิงฺคคฺคหณมตฺเตน ภิกฺขุภาโว วินสฺสติ ฯ ปาราชิกํ อาปนฺโนว ภิกฺขุลิงฺเค ฐิโต ยาว น ปฏิชานาติ ตาว อตฺเถว ตสฺส ภิกฺขุภาโว ฯ
ที่มา: สารัตถทีปนี วินยฏีกา ภาค ๒ หน้า ๑๖๐
.........................................................
แปลประโยคต่อประโยค ดังนี้ -
.........................................................
ปาราชิกํ อนาปนฺนสฺส
ภิกษุที่มิได้ต้องอาบัติปาราชิก
สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย
ยังไม่ได้บอกลาสิกขา
(คือยังไม่ได้บอกให้ใครรู้ว่า ฉันสึกละนะ)
วิพฺภมิสฺสามีติ คิหิลิงฺคคฺคหณมตฺเตน
เพียงแต่นึกว่าจะสึก แล้วแต่งตัวเป็นคฤหัสถ์
น หิ ภิกฺขุภาโว วินสฺสติ
ก็ยังไม่ขาดจากความเป็นพระ
ปาราชิกํ อาปนฺโนว
(ส่วน) ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกฺขุลิงฺเค ฐิโต
(แต่) ยังอยู่ในภิกขุลิงคะ
(ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว แต่ยังนุ่งสบงทรงจีวรอย่างพระอยู่)
ยาว น ปฏิชานาติ
ตราบใดที่ยังไม่ยอมรับ (ว่าตนต้องอาบัติปาราชิก)
ตาว อตฺเถว ตสฺส ภิกฺขุภาโว
ภิกขุภาวะ-ความเป็นพระก็ยังมีอยู่ตราบนั้น
.........................................................
ดูปาราชิกในพระบาลีกับปาราชิกในคัมภีร์อธิบายความ จะเห็นความแตกต่าง ดังนี้ -
ปาราชิกในพระบาลีหรือปาราชิกของพระพุทธเจ้า:
.........................................................
ปาราชิโก โหติ อสํวาโส
เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาส (อยู่ร่วมกับภิกษุปกติไม่ได้)
อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย
ขาดจากความพระ ไม่นับเป็นลูกพระพุทธเจ้าอีกต่อไป
.........................................................
ปาราชิกในคัมภีร์อธิบายความ:
.........................................................
ปาราชิกํ อาปนฺโนว ภิกฺขุลิงฺเค ฐิโต
ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว แต่ยังนุ่งสบงทรงจีวรอย่างพระอยู่
ยาว น ปฏิชานาติ ตาว อตฺเถว ตสฺส ภิกฺขุภาโว
ยังไม่ยอมรับ ก็ยังไม่ขาดจากความเป็นพระ
.........................................................
พูดชัด ๆ -
ปาราชิกของพระพุทธเจ้า: หมดความเป็นพระทันที
ปาราชิกของอาจารย์ทั้งหลาย: ไม่ยอมรับซะอย่าง ก็ยังเป็นพระอยู่ได้
จะเอาปาราชิกของใครดี?
นักเรียนบาลีช่วยกันคิดหน่อย!
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๒๐ เมษายน ๒๕๖๗
๑๗:๔๘
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ