ปาราชิโก โหติ อสํวาโส (๔)
-----------------------
หมายความอย่างไร
“อัตถโยชนา” หรือที่มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า “โยชนา” เป็นคัมภีร์อธิบายความหมายของศัพท์และความสัมพันธ์ระหว่างศัพท์ในประโยคบาลี แสดงไวยากรณ์ และแยกแยะให้เข้าใจเชิงชั้นของศัพท์ที่ปรากฏในประโยคนั้น ๆ เป็นคัมภีร์ประกอบหรือหนังสือคู่มือ ช่วยให้การแปลคัมภีร์อรรถกถาและฎีกาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สรุปว่า คัมภีร์อัตถโยชนามุ่งแสดงหลักภาษา ไม่ได้มุ่งอธิบายหลักธรรม
คัมภีร์อัตถโยชนาเป็นภาษาบาลี ไม่มีแปลเป็นภาษาไทย ผู้ที่จะอ่านคัมภีร์อัตถโยชนารู้เรื่องจึงต้องรู้ภาษาบาลีในระดับใช้งานได้ดี
คัมภีร์อัตถโยชนาเป็นคัมภีร์อธิบายความในอรรถกถาลงมา (ไม่มีคัมภีร์อัตถโยชนาที่อธิบายความในพระบาลีพระไตรปิฎก) ฉบับหนึ่งก็อธิบายเฉพาะอรรถกถาหรือฎีกาฉบับใดฉบับหนึ่ง ไม่ใช่เอาอรรถกถาหรือฎีกาทุกฉบับมาอธิบายรวมกัน คัมภีร์อัตถโยชนามีครบทั้งสามสายในพระไตรปิฎก
หลักสูตรบาลีของคณะสงฆ์เรียนคัมภีร์ ๕ คัมภีร์ คือ -
๑ ธัมมปทัฏฐกถา (สายพระสูตร)
๒ มังคลัตถทีปนี (ปกรณ์พิเศษ)
๓ สมันตปาสาทิกา (สายพระวินัย)
๔ วิสุทธิมรรค (ปกรณ์พิเศษ)
๕ อภิธัมมัตถวิภาวินี (สายพระอภิธรรม)
ทั้ง ๕ คัมภีร์นี้ มีคัมภีร์อัตถโยชนาที่พิมพ์เป็นบาลีอักษรไทยเพียง ๒ คัมภีร์ คือ อัตถโยชนาของคัมภีร์สมันตปาสาทิกา และอัตถโยชนาของคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี
แปลว่า นักเรียนบาลีบ้านเราได้หยิบจับคัมภีร์อัตถโยชนาเพียง ๒ ฉบับเท่านั้น
และธรรมชาติของนักเรียนบาลีบ้านเรา เปิดอัตถโยชนาก็เพียงเพื่อจะดูว่า ศัพท์นี้โยคอะไร
กล่าวคือ หน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของอัตถโยชนาก็คือ การบอกศัพท์ที่ต้องใส่เพิ่มเข้ามา ที่เรียกว่า “โยค”
เนื่องจากประโยคภาษาบาลีกล่าวถึงคำนามใดครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อจะกล่าวถึงคำนามนั้นอีก นิยมใช้คำสรรพนามแทน สรรพนามที่ใช้เป็นพื้นคือ ต-ศัพท์ (ตะ-สับ) แปลว่า “นั้น” อาจแจกวิภัตติเป็น -
โส = อันว่า-นั้น
ตํ = ซึ่ง-นั้น
ตสฺมึ = ใน-นั้น
เวลาแปลต้องเพิ่มศัพท์เข้ามาให้ถูกต้องว่า “อะไร-นั้น” เช่น คนนั้น สัตว์นั้น ต้นไม้นั้น ธรรมะข้อนั้น ถ้าใส่ศัพท์ผิด ความหมายก็จะเพี้ยนไป ตรงนี้แหละเป็นหน้าที่ของอัตถโยชนาที่จะบอกศัพท์ที่จะต้องใส่เพิ่มเข้ามา
นักเรียนบาลีบ้านเรา ถ้าจะเปิดอัตถโยชนา ก็จะเปิดเพื่อดูศัพท์ที่จะต้องใส่เพิ่มเข้ามานี่แหละ ถามกันติดปากว่า โส-โยคอะไร ตํ-โยคอะไร ตสฺมึ-โยคอะไร
เปิดอัตถโยชนาเพื่อจะดูตรงนี้เท่านั้น
พอรู้ว่าโยคอะไรแล้วก็ปิด
ไปเจอศัพท์ที่ไม่รู้ว่าโยคอะไรเข้าอีก ก็ค่อยมาเปิดอีก
นักเรียนบาลีบ้านเราใช้ประโยชน์จากอัตถโยชนาเฉพาะเรื่องนี้มากที่สุด เรื่องอื่น ๆ ใช้น้อยที่สุดหรือไม่เคยใช้เลย
ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าคัมภีร์อัตถโยชนามีสถานะเหมือนหนังสืออ้างอิงชนิดหนึ่ง นักเรียนบาลีจะเปิดอ่านก็เพื่อหาคำตอบเฉพาะเรื่องที่ต้องการ ไม่มีใครเปิดอ่านเพื่อหาความรู้เหมือนอ่านหนังสือทั่วไป
ด้วยข้อเท็จจริงเช่นนี้ ผมจึงเชื่อว่า ข้อความในคัมภีร์อัตถโยชนาที่ผมไปเจอคำตอบ-กรณีต้องอาบัติปาราชิกยังไม่ขาดจากความเป็นพระ-เข้านี้ นักเรียนบาลีบ้านเราไม่เคยเห็นมาก่อน
นักเรียนบาลีท่านใดเคยเห็นเคยอ่านมาแล้ว ขอน้อมคารวะขอรับ
ข้อความในอัตถโยชนาของคัมภีร์สมันตปาสาทิกา เป็นดังนี้ -
.........................................................
ปาราชิกํ อาปนฺโน หิ โวหารภิกฺขุภาเว ฐิโต ปุคฺคโล ยาว ปาราชิกาปนฺนภาวํ น ปฏิชานาติ ตาว ตสฺส โวหารภิกฺขุภาโวเยว โหติ น กมฺมวาจาย ลทฺธภิกฺขุภาโว ฯ
ที่มา: สมนฺตปาสาทิกาย นาม วินยฏฺฐกถาย อตฺถโยชนา (ปฐโม ภาโค) หน้า ๒๗๐
.........................................................
แปลประโยคต่อประโยค ดังนี้ -
.........................................................
หิ
จริงอยู่
โวหารภิกฺขุภาเว ฐิโต ปุคฺคโล
บุคคลที่ดำรงอยู่ในภิกขุภาวะตามโวหาร
(คือเป็นพระตามที่เรียกกัน)
ปาราชิกํ อาปนฺโน
ต้องอาบัติปาราชิก
ยาว ปาราชิกาปนฺนภาวํ น ปฏิชานาติ
ตราบใดที่ยังไม่ยอมรับว่าตนต้องอาบัติปาราชิก
ตาว ตสฺส โวหารภิกฺขุภาโวเยว โหติ
ตราบนั้น บุคคลนั้นก็ยังมีภิกขุภาวะตามโวหารเท่านั้น
น กมฺมวาจาย ลทฺธภิกฺขุภาโว
ภิกขุภาวะที่ได้มาตามกรรมวาจา (คือภิกขุภาวะตามพระธรรมวินัย) หามีไม่
.........................................................
ขออนุญาตสรุปเป็นภาษาบ้าน ๆ
.........................................................
พระต้องอาบัติปาราชิก แต่ปากแข็ง-หรือหน้าด้านก็ตาม-ยืนยันว่า อาตมายังเป็นพระอยู่นะ
ถ้าจะยืนยันอย่างนั้นก็ได้ ไม่เถียง ท่านยังเป็นพระอยู่
แต่เป็น “พระ” ตามที่ชาวบ้านเขาเรียกนะ
ชาวบ้านเห็นคนโกนผมห่มเหลือง จะเป็นพระจริงหรือคนปลอมเขาไม่รู้ แต่เขาก็เรียกไว้ก่อนว่า “พระ”
ท่านก็เป็น “พระ” แบบนั้นแหละ-พระตามที่เขาเรียก (โวหารภิกขุภาวะ)
ไม่ใช่ “พระ” ตามพระธรรมวินัย
.........................................................
นี่คือคำตอบ นี่คือทางออก-ที่คัมภีร์อัตถโยชนาของคัมภีร์สมันตปาสาทิกาชี้ไว้ให้
ปาราชิกในพระบาลีพระไตรปิฎกของพระพุทธองค์ก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่
คำอธิบายของคัมภีร์สารัตถทีปนีก็ไม่กระทบกระเทือน เพราะท่านบอกแต่เพียงว่า “ภิกขุภาวะ” ความเป็นพระยังมีอยู่ แต่ท่านละ “โวหารภิกขุภาวะ-ความเป็นพระตามที่เขาเรียก” ไว้ในฐานเข้าใจ
บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น ละมุนละม่อมดีแท้ ๆ
......................
“ต้องอาบัติปาราชิก ต้องทำพิธีลาสิกขาก่อนจึงจะขาดจากความเป็นพระ”
เราควรได้ข้อคิดเตือนใจอะไรบ้างจากความเข้าใจเช่นนี้?
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๒๒ เมษายน ๒๕๖๗
๒๐:๑๙
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ