ปาราชิโก โหติ อสํวาโส (๓)
-----------------------
หมายความอย่างไร
ตรวจดูข้อความนี้ในคัมภีร์สารัตถทีปนีที่แสดงไว้ ปรากฏว่า เป็นคำอธิบายความในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ภาค ๑ ว่าด้วยปฐมปาราชิก ก็เป็นอันว่าอยู่ในหลักที่ว่า-ท่านต้องการอธิบายประเด็นไหน ตอบว่าอธิบายปฐมปาราชิก ตรงประเด็น
แต่เมื่อจะให้ชี้เฉพาะว่า ท่านอธิบายเฉพาะประเด็นที่ว่า-ต้องอาบัติปาราชิกแล้วขาดจากความเป็นพระหรือยัง แบบว่า-บอกชัด ๆ ว่า ต่อไปนี้จะอธิบายประเด็นที่พระบาลีว่า ต้องอาบัติปาราชิกแล้วขาดจากความเป็นพระ (พระบาลีว่า ปาราชิโก โหติ อสํวาโส = อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย) ที่พระบาลีว่าไว้เช่นนั้นข้าพเจ้า-ผู้แต่งคัมภีร์สารัตถทีปนีไม่เห็นด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่า จะขาดจากความเป็นพระก็ต่อเมื่อรับสารภาพ ถ้าไม่รับสารภาพก็ยังไม่ขาด
ไม่ปรากฏว่าคัมภีร์สารัตถทีปนีชี้เฉพาะตรง ๆ เช่นนี้
ท่านพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็มาพาดพิงเข้ากับประเด็นนี้-แบบเรื่องมันพาไป ไม่ได้ตั้งใจชี้ประเด็น
ผมอาจจะเข้าใจผิดเพราะศึกษาไมทั่วถึงทั่วถ้วน ขอนักเรียนบาลีทั้งมวลมีเมตตาชี้แนะด้วย
อย่างไรก็ตาม สรุปได้ว่า -
พระบาลีบอกว่า ต้องอาบัติปาราชิกแล้วขาดจากความเป็นพระทันที
คัมภีร์สารัตถทีปนีบอกว่า ถ้าไม่รับสารภาพก็ยังไม่ขาดจากความเป็นพระ
ถ้าคำสรุปนี้ถูกต้อง ก็มาถึงคำถามว่า แล้วจะถือเอาคำของใครเป็นหลัก
.........................................................
หลักสำคัญอย่างหนึ่งที่ยอมรับกันมาก็คือ หากจะพึงมีความเห็นไม่ตรงกันจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม ท่านให้ถือเอาพระบาลีอันเป็นชั้นสูงสุดเป็นหลัก
.........................................................
ถ้าใครจะถือเอาคัมภีร์อธิบายความเป็นหลัก ก็ต้องตอบได้-อธิบายเหตุผลได้ว่าทำไมจึงไม่ยึดพระบาลีอันเป็นชั้นสูงสุดเป็นหลัก
......................
แต่-เรื่องยังไม่จบง่าย ๆ เพียงแค่นี้ เพราะหลักสำคัญที่ต้องจับประเด็นให้ถูกมี ๒ เรื่อง คือ -
หนึ่ง-ท่านต้องการอธิบายประเด็นไหน?
ตอบว่า อธิบายปฐมปาราชิก นับว่าตรงประเด็น แม้จะไม่ได้ชี้ชัดแบบคำต่อคำ
และสอง-ท่านอธิบายว่าอย่างไร?
ตรงนี้แหละที่จะต้องพิจารณาต่อไป เราเข้าใจคำอธิบายตรงตามเจตนาที่ท่านต้องการจะพูดหรือเปล่า
บางเรื่อง-หลายเรื่อง ถ้าอ่านตรงทื่อไปตามตัวอักษรก็ไปคนละเรื่องไปเลย เช่นพุทธวจนะในพระธรรมบท บทนี้ -
.........................................................
มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา
ราชาโน เทฺว จ ขตฺติเย
รฏฺฐํ สานุจรํ หนฺตฺวา
อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ.
ที่มา: ปกิณกวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๓๑
.........................................................
แปลตามตัวอักษรว่า
.........................................................
พราหมณ์ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา
ฆ่าขัตติยราชอีกสององค์
ทำลายรัฐ พร้อมทั้งผู้ครองรัฐเสียแล้ว
ย่อมสัญจรไป อย่างไร้ทุกข์
ที่มา: หนังสือ “พุทธวจนะในธรรมบท” โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
.........................................................
แปลตรงตัวว่าอย่างนี้ ถูกต้อง แต่-ถามว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ทำตรงตัวแบบนี้หรือ?
ตอบว่า ไม่ใช่
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำลายกิเลส แต่ทรงใช้ถ้อยคำภาษาที่เป็นปริศนาธรรม
.........................................................
“ฆ่ามารดา” หมายถึง ฆ่าตัณหา อันเป็นตัวแม่ของกิเลส
“ฆ่าบิดา” หมายถึง ฆ่าอัสมิมานะ หรือความถือตัว อันเป็นกิเลสตัวพ่อ
“ฆ่าขัตติยราชอีกสององค์” หมายถึง ฆ่าสัสตทิฐิ (ความเห็นว่าตายแล้วมีสิ่งเป็นอมตะอยู่ไปชั่วนิรันดร์) และอุจเฉททิฐิ (ความเห็นว่าตายแล้วทุกอย่างสูญสิ้นหมด)
“ทำลายรัฐ” หมายถึง ควบคุมระบบการรับกระทบในตัว (ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นล้มรส กายรับสัมผัส ใจคิดนึก) ไม่ให้มีปฏิกิริยาเกินขอบเขต
“ผู้ครองรัฐ” หมายถึง นันทิราคะ หรือความกำหนัดยินดี
.........................................................
ถ้าตีปริศนาธรรมไม่แตกหรือตีความไม่ถูก เข้าใจตรงทื่อไปตามตัวอักษร ก็จะกลายเป็นว่าพระพุทธพจน์บทนี้เป็นคำสอนที่วิปริตผิดเพี้ยน
......................
พระบาลีว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก เป็น “ปาราชิโก” แปลว่า ผู้พ่ายแพ้ คืออยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์ไม่ได้อีกต่อไป เหมือนนักมวยแพ้แล้วต้องลงจากเวทีไป “อสฺสมโณ” แปลว่า “ไม่ใช่สมณะ” คือไม่เป็นพระอีกต่อไป
พระบาลีมีอยู่ชัด ๆ อย่างนี้ ท่านผู้รจนาคัมภีร์สารัตถทีปนีก็ย่อมจะเห็นประจักษ์ตาอยู่ ท่านจะบังอาจโต้แย้งเชียวหรือ?
เพราะฉะนั้น ลองพิจารณาถ้อยคำในคัมภีร์สารัตถทีปนีอีกที -
.........................................................
ปาราชิกํ อาปนฺโนว ภิกฺขุลิงฺเค ฐิโต ยาว น ปฏิชานาติ ตาว อตฺเถว ตสฺส ภิกฺขุภาโว ฯ
ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก ยังอยู่ในภิกขุลิงคะ (แต่งตัวเป็นพระ) ตราบใดที่ยังไม่ยอมรับ (ว่าตนต้องอาบัติปาราชิก) ภิกขุภาวะ (ความเป็นพระ) ก็ยังมีอยู่ตราบนั้น
ที่มา: สารัตถทีปนี วินยฏีกา ภาค ๒ หน้า ๑๖๐
.........................................................
สรุปชัด ๆ ว่า ถ้ายังนุ่งสบงทรงจีวรอยู่ และเชื่อว่าตัวเองยังเป็นพระ ก็ยังคงเป็นพระอยู่
หมายความตามนี้แน่หรือ
หรือมีความหมายว่าอย่างไรกันแน่
......................
ผมไม่เชื่อว่า ท่านผู้รจนาคัมภีร์สารัตถทีปนีมีเจตนาแสดงความเห็นขัดแย้งกับพระบาลี แต่น่าจะต้องมี “นัย” อะไรบางอย่างในความเห็นของท่าน
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญปราดเปรื่องในคัมภีร์ ประเภทมองเห็นทะลุปรุโปร่งว่าเรื่องนี้อยู่ในเล่มนั้น เรื่องนั้นอยู่ในเล่มโน้น
ตรงกันข้าม ผมเป็นคนค่อนข้างงุ่มง่าม เรื่องในธรรมบท (ธัมมปทัฏฐกถา) ที่นักเรียนบาลีต้องเรียนต้องผ่าน อย่ามาถามผม ในจำนวนเรื่องทั้งหมด ๓๐๒ เรื่อง เรื่องไหนอยู่ภาคไหนผมจำได้ไม่เกิน ๕ เรื่อง
แต่ผมขยันค้น ไม่เบื่อที่จะค้น รู้สึกสนุก-มีความสุขที่ได้ค้นเรื่องต่าง ๆ ในคัมภีร์ สติปัญญาไม่ดี ก็ต้องใช้ความพยายามเข้าช่วยมากขึ้น เหนื่อยมากหน่อย
ผมค้นไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง มีกำลังก็ลุกขึ้นมาค้นต่อไป
.........................................................
ถ้านักเรียนบาลีของเรารวมกำลังกันเป็นกลุ่ม เป็นชมรม ช่วยกันทำงานบาลี ไม่ปล่อยให้ใครงมงุ่มง่ามไปคนเดียว ค้นเรื่องอะไรก็จะเจอได้ง่ายขึ้น ทำงานได้มากขึ้น และที่สำคัญ-ให้ความรู้แก่สังคมได้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น
คงมีสักวันหนึ่ง-ที่วงการบาลีบ้านเราจะมีกลุ่มหรือชมรมที่ผมฝันไว้นี้
.........................................................
ค้นไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด
ในที่สุดก็ไปเจอคำตอบในคัมภีร์อัตถโยชนาครับ
คัมภีร์อัตถโยชนาคือคัมภีร์อะไร?
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๒๒ เมษายน ๒๕๖๗
๑๑:๓๕
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ