เรื่องคอขาดบาดตาย
---------------------
ยังพอจำกันได้ไหมครับ-เมื่อไม่นานเกินลืมมานี้-มีพระรูปหนึ่ง เป็นฝรั่งแต่บวชเป็นพระไทย บวชแล้วก็ร่วมเพศกับสตรี (สำนวนบาลีว่า “เสพเมถุน”) พอเรื่องถูกเปิดเผย ท่านอ้างว่า ไม่ทราบว่าการทำเช่นนั้นเป็นความผิด
ข้ออ้างนี้นับว่าเป็นเรื่องตลกสุดขั้วโลก ทั้งนี้เพราะกฎเหล็กข้อหนึ่งของการบวชเป็นพระไทยก็คือ ต้องชี้แจงเรื่องที่ “ต้องทำ” ๔ เรื่อง เรียกว่า “นิสัย” และเรื่องที่ “ห้ามทำ” ๔ เรื่อง เรียกว่า “อกรณียกิจ” ให้พระใหม่ทราบทันทีที่บวชเสร็จ การชี้แจงนี้ภาษาวิชาการเรียกว่า “บอกอนุศาสน์”
อกรณียกิจ ๔ เรื่องนั้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ห้ามทำเด็ดขาด ทำเข้าแล้วขาดจากความเป็นพระทันที - ๑ ใน ๔ นั้นก็คือ ห้ามเสพเมถุน
ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้คือเรื่องคอขาดบาดตายทั้ง ๔ เรื่องนั้น
เรื่องนี้ ใครที่รักพระพุทธศาสนา ห่วงพระพุทธศาสนา เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา สมควรศึกษาเรียนรู้ไว้
เนื้อหาก็น่าสนใจ
สำนวนภาษาก็น่าสนใจ
คำแนะนำเบื้องต้นก็คือ ใครที่ไม่คุ้นคำบาลี ใครที่เห็นคำบาลีแล้วเวียนหัว อ่านเฉพาะคำไทยนะครับ ไม่ต้องอ่านคำบาลี เดี๋ยวจะกินข้าวไม่อร่อย
แต่ถ้าเป็นไปได้-หรือท่านที่มีศรัทธาจะอ่านคำบาลี-ก็ขอแนะนำว่า ให้ตั้งอารมณ์ว่าท่านกำลังสวดมนต์
สวดมนต์ได้บุญ ฉันใด
อ่านบาลีที่ยกมานี้ก็ได้บุญ ฉันนั้น
ที่ต้องยกคำบาลีมาด้วยก็เพราะเรื่องนี้เป็นหลักการในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องที่คณะสงฆ์ไทยคิดบัญญัติขึ้นเองเมื่อวานนี้ แต่เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้า มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก
คำสอนทั้งปวงในพระพุทธศาสนาท่านบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก
โชคไม่ดีหน่อยก็ตรงที่-พระไตรปิฎกบันทึกไว้เป็นภาษาบาลี-ภาษาที่คนไทยบอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง อ่านไม่รู้เรื่อง เห็นคำบาลีแล้วเวียนหัว ฯลฯ (แต่ก็ชอบกล คนไทยไม่น้อยชอบสวดมนต์ซึ่งก็เป็นภาษาบาลีนั่นแหละ)
ยกคำบาลีมากำกับไว้ เผื่อใครสนใจอยากเห็นหลักฐานต้นฉบับจะได้มีให้อ้างอิงได้
คำแปลภาษาไทยเป็นสำนวนในพระไตรปิฎกแปลไทย ปรับแต่งบ้างเล็กน้อยเพื่อลดความขรุขระ แต่ไม่ให้เสียรสเดิม
เชิญสดับครับ
..................................................
เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อุปสมฺปาเทตฺวา เอกกํ โอหาย ปกฺกมึสุ ฯ
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทภิกษุรูปหนึ่งแล้วเดินทางไปก่อน ทิ้งภิกษุนั้นไว้แต่ลำพัง
โส ปจฺฉา เอกโก ว อาคจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค ปุราณทุติยิกาย สมาคจฺฉิ ฯ
ภิกษุนั้นเดินมาทีหลังแต่รูปเดียว ได้พบภรรยาเก่าเข้า ณ ระหว่างทาง
สา เอวมาห กินฺทานิ ปพฺพชิโตสีติ ฯ อาม ปพฺพชิโตมฺหีติ ฯ
นางได้ถามว่า เวลานี้ท่านบวชแล้วหรือ? ภิกษุนั้นตอบว่า จ้ะ ฉันบวชแล้ว
ทุลฺลโภ โข ปพฺพชิตานํ เมถุโน ธมฺโม เอหิ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวาติ ฯ
นางจึงพูดชวนว่า พวกบรรพชิตหาเมถุนธรรมได้ยาก นิมนต์ท่านมาเสพเมถุนธรรมเถิด
โส ตสฺสา เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวิตฺวา ปจฺฉา จิเรน อคมาสิ ฯ
ภิกษุนั้นเสพเมถุนธรรมกับภรรยาเก่า จึงไปถึงทีหลังช้าไป
ภิกฺขู เอวมาหํสุ กิสฺส ตฺวํ อาวุโส เอวํ จิรํ อกาสีติ ฯ อถโข โส ภิกฺขูนํ เอตมตฺถํ อาโรเจสิ ฯ
ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ท่านมัวทำอะไรชักช้าเช่นนี้ ภิกษุนั้นได้เล่าเรื่องที่เสพเมถุนธรรมกับภรรยาเก่าให้ภิกษุทั้งหลายทราบ
ภิกฺขู ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ ฯ
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
อถโข ภควา เอตสฺมึ นิทาเน เอตสฺมึ ปกรเณ ธมฺมึ กถํ กตฺวา ภิกฺขู อามนฺเตสิ อนุชานามิ ภิกฺขเว อุปสมฺปาเทตฺวา ทุติยํ ทาตุํ จตฺตาริ จ อกรณียานิ อาจิกฺขิตุํ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ให้อุปสมบทแล้วให้ภิกษุอยู่เป็นเพื่อน และให้บอกอกรณียกิจ ๔ ดังต่อไปนี้:-
อุปสมฺปนฺเนน ภิกฺขุนา เมถุโน ธมฺโม น ปฏิเสวิตพฺโพ อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปิ ฯ โย ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวติ อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย ฯ
(๑) อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้วไม่พึงเสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้กับสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร
เสยฺยถาปิ นาม ปุริโส สีสจฺฉินฺโน อภพฺโพ เตน สรีรพนฺธเนน ชีวิตุํ เอวเมว ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวิตฺวา อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย ฯ ตนฺเต ยาวชีวํ อกรณียํ ฯ
เปรียบเหมือนบุรุษถูกตัดศีรษะแล้วไม่อาจจะมีสรีระคุมกันนั้นเป็นอยู่ได้ ภิกษุก็เหมือนกัน เสพเมถุนธรรมแล้วไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร การนั้นเธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
อุปสมฺปนฺเนน ภิกฺขุนา อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ น อาทาตพฺพํ อนฺตมโส ติณสลากํ อุปาทาย ฯ โย ภิกฺขุ ปาทํ วา ปาทารหํ วา อติเรกปาทํ วา อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยติ อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย ฯ
(๒) อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้วไม่พึงถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้ นับว่าเป็นขโมย โดยที่สุดหมายเอาถึงเส้นหญ้า ภิกษุใดถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้เป็นส่วนขโมย ได้ราคาบาทหนึ่งก็ดี ควรแก่ราคาบาทหนึ่งก็ดี เกินบาทหนึ่งก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร
เสยฺยถาปิ นาม ปณฺฑุปลาโส พนฺธนา ปมุตฺโต อภพฺโพ หริตตฺตาย เอวเมว ภิกฺขุ ปาทํ วา ปาทารหํ วา อติเรกปาทํ วา อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิตฺวา อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย ฯ ตนฺเต ยาวชีวํ อกรณียํ ฯ
เปรียบเหมือนใบไม้เหลืองหล่นจากขั้วแล้วไม่อาจจะเป็นของเขียวสด ภิกษุก็เหมืนกัน ถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้ นับว่าเป็นขโมย ได้ราคาบาทหนึ่งก็ดี ควรแก่ราคาบาทหนึ่งก็ดี เกินบาทหนึ่งก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร การนั้นเธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
อุปสมฺปนฺเนน ภิกฺขุนา สญฺจิจฺจ ปาโณ ชีวิตา น โวโรเปตพฺโพ อนฺตมโส กุนฺถกิปิลฺลิกํ อุปาทาย ฯ โย ภิกฺขุ สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคหํ ชีวิตา โวโรเปติ อนฺตมโส คพฺภปาตนํ อุปาทาย อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย ฯ
(๓) อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้วไม่พึงจงใจพรากสัตว์จากชีวิต โดยที่สุดหมายเอาถึงมดดำมดแดง ภิกษุใดจงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิตโดยที่สุดหมายเอาถึงยังครรภ์ให้ตก ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร
เสยฺยถาปิ นาม ปุถุสิลา เทฺวธา ภินฺนา อปฺปฏิสนฺธิกา โหติ เอวเมว ภิกฺขุ สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคหํ ชีวิตา โวโรเปตฺวา อสฺสมโณ โหติ
อสกฺยปุตฺติโย ฯ ตนฺเต ยาวชีวํ อกรณียํ ฯ
เปรียบเหมือนศิลาหนาแตก ๒ เสี่ยงแล้วเป็นของกลับต่อกันไม่ได้ ภิกษุก็เหมือนกัน จงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิตแล้ว ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร การนั้นเธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
อุปสมฺปนฺเนน ภิกฺขุนา อุตฺตริมนุสฺสธมฺโม น อุลฺลปิตพฺโพ อนฺตมโส สุญฺญาคาเร อภิรมามีติ ฯ โย ภิกฺขุ ปาปิจฺโฉ อิจฺฉาปกโต อสนฺตํ อภูตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อุลฺลปติ ฌานํ วา วิโมกฺขํ วา สมาธึ วา สมาปตฺตึ วา มคฺคํ วา ผลํ วา อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย ฯ
(๔) อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้วไม่พึงพูดอวดอุตริมนุสธรรม โดยที่สุดว่าเรายินดียิ่งในเรือนว่างเปล่า ภิกษุใดมีความปรารถนาเลวทราม อันความปรารถนาเลวทรามครอบงำแล้ว พูดอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีอยู่ อันไม่จริง คือฌานก็ดี วิโมกข์ก็ดี สมาธิก็ดี สมาบัติก็ดี มรรคก็ดี ผลก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร
เสยฺยถาปิ นาม ตาโล มตฺถกจฺฉินฺโน อภพฺโพ ปุน วิรุฬฺหิยา เอวเมว ภิกฺขุ ปาปิจฺโฉ อิจฺฉาปกโต อสนฺตํ อภูตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อุลฺลปิตฺวา อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย ฯ ตนฺเต ยาวชีวํ อกรณียนฺติ ฯ
เปรียบเหมือนต้นตาลมียอดด้วนแล้วไม่อาจจะงอกอีก ภิกษุก็เหมือนกัน มีความปรารถนาเลวทราม อันความปรารถนาเลวทรามครอบงำแล้วพูดอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร การนั้นเธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
ที่ม: มหาขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๔ ข้อ ๑๔๔
ศึกษาเพิ่มเติมที่ลิงก์นี้
..................................................
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=4...
..................................................
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๕
๑๓:๓๑
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ