ไม่ใช่เรื่องของมึง

-----------------

แต่เป็นเรื่องของกู

เวลาเดินออกกำลังตอนเช้าเป็นเวลาที่ผมได้ทำบุญหลายอย่าง

อย่างแรก อปจายนมัย-บุญที่เกิดจากการเห็นพระออกบิณฑบาตแล้วได้ไหว้พระ รวมทั้งได้เข้าไปไหว้พระในวัดตามเส้นทางผ่าน

อย่างต่อมา ปัตตานุโมทนามัย-บุญที่เกิดจากการอนุโมทนาคนใส่บาตร รู้จักหรือไม่รู้จักไม่เป็นประมาณ เราอนุโมทนาความดีที่เขาทำ ไม่จำเป็นต้องรู้จักคนทำ

อย่างต่อมา ทานมัย-บุญที่เกิดจากการบริจาค ปกติใส่ตู้บริจาคในวัด แต่บางวันใส่ตู้บริจาคในโรงพยาบาล ผมไม่ใส่บาตร เหตุผลเป็นประการใด เคยอธิบายแล้ว

อย่างต่อมา ไวยาวัจมัย-บุญที่เกิดจากการบำเพ็ญประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมโลก อันนี้กำหนดไม่ได้ว่าทำอะไรบ้าง แล้วแต่เหตุการณ์เฉพาะหน้า 

ที่เคยทำบ่อยๆ ก็เช่น-คนจอดรถถามทาง เมื่อก่อนเจอบ่อย เดี๋ยวนี้เบาบางลงไป คงเป็นเพราะคนขับรถนิยมใช้ระบบไฮเทคที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า GPS (Global Positioning System) ถามเครื่องง่ายกว่าถามคน

แต่ที่ผมทำมานานและยังทำอยู่ก็คือ ให้สัญญาณคนขับขี่รถเครื่องใน ๒ กรณี คือ ๑ เปิดไฟเลี้ยวค้าง ๒ ลืมเอาขาตั้งขึ้น

เวลาเดินตามถนน ผมเดินด้านขวาของทิศทางที่จะไป นั่นคือด้านที่รถวิ่งสวนมา (ด้านซ้ายจะเป็นด้านที่รถวิ่งมาข้างหลัง) เหตุผลก็คือ รถวิ่งสวนมา เรามองเห็น จึงสามารถกะระยะได้ว่าควรเดินชิดเดินห่างริมถนนแค่ไหนจึงจะปลอดภัย

นอกจากกะระยะได้แล้ว ก็ยังเห็นด้วยว่ารถที่วิ่งสวนมา-โดยเฉพาะรถเครื่อง-มีอะไรผิดปกติบ้าง ก็คือใน ๒ เรื่อง-เปิดไฟเลี้ยวค้างหรือลืมเอาขาตั้งขึ้น

กรณีลืมเอาขาตั้งขึ้น ผมใช้วิธีชี้ไปที่ขาตั้ง แล้ววาดมือตามรถไป กิริยาเช่นนี้เรียกความสนใจของคนขับขี่ได้ดี ถ้าไม่ขับเร็วจนเกินไป คนขับขี่จะมองเห็นและแก้ปัญหาได้ คือใช้เท้าปัดขาตั้งขึ้น 

กิริยาที่ตามมาคือ ผงกศีรษะแสดงความขอบคุณ บางรายก็ตะโกนตอบขอบคุณ

แต่ก็มีบางรายที่ไม่เห็นสัญญาณเตือน ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ปลอดภัยเถิด อย่าเกิดไปเลี้ยวซ้ายเร็วๆ เข้าก็แล้วกัน

ส่วนกรณีเปิดไฟเลี้ยวค้าง ผมใช้วิธียื่นมือไปข้างหน้าแล้วจีบนิ้วแบบหุบเข้าบ้านออกซ้ำๆ กัน ผมสังเกตเห็นว่าปฏิกิริยาของคนขับขี่ เมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้ต่างกันออกไป

เมื่อก่อน-ตีเสียว่าเมื่อราวๆ ๒๐ ปีที่แล้ว คนขับขี่รถเครื่องส่วนมากจะมองผม เห็นสัญญาณมือที่ผมทำและเข้าใจ คือรีบปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ประกอบกับกิริยาตกใจเล็กๆ ถอดเป็นคำพูดได้ว่า ตายจริง ลืมปิดไฟ-ประมาณนี้ 

แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แบบนั้น เดี๋ยวนี้คนขับขี่ส่วนมากไม่มอง ไม่แสดงกิริยาว่าเห็นสัญญาณมือของผม รถวิ่งผ่านไป ผมเหลียวไปมอง เห็นสัญญาณไฟเลี้ยวยังคงเปิดค้างอยู่นั่นเอง 

และนี่คือที่มาของชื่อเรื่องที่ผมตั้งว่า “ไม่ใช่เรื่องของมึง แต่เป็นเรื่องของกู”

นั่นก็คือ-เหมือนกับคนขับขี่จะบอกว่า กูเปิดไฟเลี้ยวก็เรื่องของกู ไม่ใช่เรื่องของมึง ก็กูอยากเปิดนี่หว่า หนักหัวมึงด้วยเหรอ มึงมาเสือกอะไรด้วย ...

......................................................

ขอประทานโทษญาติมิตรที่มีอัธยาศัยสุภาพ ประโยคข้างต้นเป็นภาษาที่ไม่สุภาพ แต่ในแง่การถ่ายทอดอารมณ์ให้สมจริง ต้องใช้คำแบบนี้ หวังว่าคงให้อภัย

......................................................

แง่คิดที่ผมได้จากกรณีเช่นนี้ก็คือ - หรือว่าคนสมัยนี้เขาไม่สนใจรับรู้กันอีกต่อไปแล้วว่า รอบๆ ตัวเขาก็ยังมีเพื่อนมนุษย์ที่สนใจรับรู้เขาอยู่ด้วย?

คือเรามาถึงยุคสมัยที่ต่างคนต่างอยู่ แม้รอบตัวเราจะมีคนอื่นอยู่ด้วย แต่เราก็ทำอารมณ์เสมือนว่า ในโลกนี้ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว มีแต่เรากับบางคนที่เรารู้จัก-ซึ่งมีไม่กี่คน-เท่านั้น เพราะฉะนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจใครหรือต้องมองใคร และใครๆ ก็ไม่ควรจะต้องมาสนใจเราหรือมาส่งสัญญาณสื่อสารอะไรกับเรา 

ต่างคนต่างอยู่ 

ต่างคนต่างไป 

ทางใครทางมัน

เราอยู่กันอย่างนี้แล้วหรือ?

......................................................

เมื่อวันก่อน ชาวชมรมทหารเรือราชบุรียกขบวนไปเยี่ยมลูกเรือสุโขทัยที่รอดชีวิตจากกรณีเรืออับปาง ลูกเรือคนนี้เป็นคนราชบุรีและเป็นสมาชิกชมรมทหารเรือราชบุรี

ปลอบขวัญกันเป็นอันดีแล้วก็ฟังเขาเล่า-นาทีที่ต้องเอาชีวิตรอดเมื่อเรืออับปาง

เอาชีวิตตัวเองให้รอดก็สุดแสนจะสาหัสแล้ว แต่-เรื่องมันไม่ใช่แค่นั้น

เรื่องที่สาหัสยิ่งกว่าก็คือ จะต้องพยายามช่วยกันและกันให้รอดด้วย 

“มันไม่ใช่วิสัยของเราที่จะทิ้งกัน” เขาย้ำประโยคนี้

เขาถอดหัวใจของพวกเราออกมาพูด - ทหารเรือไม่ทิ้งกัน 

......................................................

นอกจากไม่ทิ้งกันแล้ว เห็นอะไรที่น่าจะเป็นภัยและมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ก็อดไม่ได้ เฉยไม่เป็น เพราะสำนึกข้างในมันคอยบอก-นั่นคือเพื่อนร่วมโลก-เหมือนเพื่อนร่วมเรือ

ช่วยอะไรกันได้ก็ต้องช่วยกัน ไม่ทิ้งกัน ไม่ปล่อยปละละเลย

เห็นเพื่อนเปิดไฟเลี้ยวค้าง ลืมปิด ก็อยากช่วยเพื่อน ในขณะที่คนส่วนมากไม่สนใจกันและกัน แม้แต่คนขับขี่เปิดไฟค้างนั่นเองก็ยัง (อาจจะ) คิด-มาบอกกูทำไม ไม่ใช่เรื่องของมึงสักหน่อย ...

ไม่ใช่เรื่องของมึง ... 

แต่มันเป็นเรื่องของกู 

-------------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๓ มกราคม ๒๕๖๖

๑๗:๓๕

[full-post]

เรื่องของมึ,เป็นเรื่องของกู

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.