วิธีรักษาพระศาสนา (๑๓)

.........................................................

คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน 

แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา

.........................................................

ก่อนจะไปถึงคำอธิบายเรื่อง “อติเรกลาโภ” ขอชวนคิดเรื่องนิสัยสี่หรือปัจจัยสี่ของพระตามแบบแผนดั้งเดิม

ข้อชวนคิดก็คือ ปัจจัยสี่แบบดั้งเดิมของพระได้มาจากไหน ได้มาอย่างไร

..................

๑ อาหาร 

..................

ได้มาจากการออกบิณฑบาต คือถือบาตรไปรับอาหารตามบ้านของชาวบ้าน

แต่เดิมนั้น อาหารอยู่ที่บ้านของชาวบ้าน เพราะทุกบ้านต้องมีครัว ทำอาหารกินเอง และเพราะ “ครัว” นี่เองทำให้เกิดวัฒนธรรมอื่นๆ ตามมา เช่น: 

- ภาษา มีคำว่า ครอบครัว ครัวเรือน ครัวไฟ แม่ครัว 

- ค่านิยม ผู้หญิงต้องทำครัวเป็น ต้องรู้งานการครัว ตลอดจนจัดการงานภายในครัวเรือน เป็นที่มาของคำว่า แม่บ้านแม่เรือน และแบ่งหน้าที่กันระหว่างชายกับหญิง: 

- ชายเป็นฝ่าย “ทำมา” คือออกไปหาของกินของใช้มาจากนอกบ้าน 

- หญิงเป็นฝ่าย “หากิน” คือจัดแจงของที่หามาได้ให้พร้อมกินพร้อมใช้

เป็นที่มาของคำว่า “ทำมาหากิน”

เมื่ออาหารอยู่ที่บ้าน การออกบิณฑบาตก็ต้องไปที่บ้านของชาวบ้าน ต้องเข้าไปในบ้าน ได้อาหารบ้านละเล็กละน้อย จึงต้องเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้หลายบ้านจนกว่าจะได้อาหารพอแก่ความต้องการ วินัยของพระก็เกิดตามมา เช่น: 

- ห้ามสวมรองเท้าเข้าบ้าน ถือว่าเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ พระออกบิณฑบาตจึงไม่สวมรองเท้า เพราะการออกบิณฑบาตคือการเข้าบ้าน

- ต้องเดินเข้า-ออกบ้านตามลำดับบ้าน คือไม่ให้พระเลือกรับเฉพาะบ้านนี้ ไม่รับบ้านโน้น อันมีเหตุมาจากอยากได้อาหารที่ดีกว่า (บ้านนี้ใส่อาหารประณีต บ้านโน้นใส่อาหารธรรมดา) และอาจส่งผลเสีย คือชาวบ้านเกิดความรู้สึกว่าพระลำเอียง จึงเกิดเป็นวินัยในการบิณฑบาตข้อที่ว่า “สปทานจาริก” (สะปะทานะจาริกะ) แปลว่า “ไปตามลำดับตรอก” ในทางปฏิบัติคือ โยมรอใส่บาตรกี่ราย ก็รับไปตามลำดับ ไม่ใช่เลือกรับเป็นบางราย เช่นไม่รับรายนี้ แต่ข้ามไปรับรายโน้น

ปัจจุบันนี้ ชาวบ้าน โดยเฉพาะครอบครัวในตัวเมือง มักจะไม่หุงหากินเอง แต่ใช้ระบบ “ทุกมื้อซื้อกิน” แหล่งอาหารพร้อมกินจึงย้ายจากบ้านไปอยู่ที่ตลาด แหล่งรับอาหารบิณฑบาตก็ย้ายตามไปที่ตลาดด้วย และเกิดมีร้านที่ขายอาหารสำหรับใส่บาตรโดยเฉพาะ

ชาวบ้านก็ไปหาอาหารที่ตลาด

พระก็ไปบิณฑบาตที่ตลาด

แหล่งที่มีอาหารก็มักมีอยู่จุดเดียว คนที่ซื้ออาหารใส่บาตรก็ซื้อที่ตลาด ใส่ที่ตลาดนั่นเลย จึงเกิดมีภาพ-พระยืนบิณฑบาตอยู่กับที่

เวลานี้พัฒนาไปถึงขั้น-นั่งบิณฑบาตแล้ว

พระที่เดินบิณฑบาตก็ยังมี แต่พระที่ยืนหรือนั่งบิณฑบาตก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ วินัยในการบิณฑบาตข้อที่ว่า “สปทานจาริก” - เดินไปตามบ้านเรือน ก็จะค่อยๆ หมดไป

สิ่งที่เกิดตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อมีร้าน-หรือโต๊ะ-ที่มีคนทำอาหารใส่บาตรมาขาย การซื้อ-ขายก็เข้ามาเกี่ยวกับการบิณฑบาต

แรกทีเดียวก็เกี่ยวระหว่างคนใส่บาตรกับคนขายอาหารใส่บาตร

คนมีศรัทธาจะใส่บาตรต้องมีเงินจึงจะใส่บาตรได้

เวลานี้เริ่มมีการเกี่ยวระหว่างคนขายอาหารใส่บาตรกับพระ

อาหารที่ใส่บาตรแล้ว พระเอามาวางให้คนขาย-ขายให้คนซื้อเอามาใส่บาตรอีก แบบเดียวกับสังฆทานเวียน ผลประโยชน์ปันกัน

วัตถุประสงค์ของการออกบิณฑบาตก็เริ่มเพี้ยน จากเดิม-เพื่อรับอาหารพอยังชีพวันต่อวัน กลายเป็น-เพื่อหาเงิน

นี่เป็นบางมุมของภาพรวมที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการออกบิณฑบาต

ข้อชวนคิดของผมก็คือ-จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้เรื่อยไป 

หรือจะแก้ไขอย่างไร 

และใครจะแก้

แต่ที่แน่ๆ ผู้มีศรัทธาใส่บาตรไม่ควรจะมีแต่ศรัทธาอย่างเดียว 

ต้องมีปัญญากำกับศรัทธาด้วย 

..................

๒ เครื่องนุ่งห่ม

..................

ได้มาจากผ้าที่เขาทิ้งแล้ว อันเป็นที่มาของคำว่า “ผ้าบังสุกุล” แปลว่า “ผ้าเปื้อนฝุ่น” เพราะเมื่อทิ้งผ้า ผ้าก็ตกไปที่พื้นดิน ฝุ่นจากดินก็เปื้อนผ้า ผ้าเช่นนั้นจึงชื่อว่า “ผ้าบังสุกุล” = ผ้าเปื้อนฝุ่น

การที่พระเที่ยวแสวงผ้าที่เขาทิ้งแล้วมาทำเป็นจีวรนุ่งห่มนี่เองทำให้เกิดประเพณี “ทอดผ้าป่า” ซึ่งเมื่อตกมาถึงปัจจุบันวันนี้เป็นประเพณีที่เหลือแต่เปลือกผ้าป่า แต่เนื้อในเป็นอย่างอื่น

ขออนุญาตขยายความ เพื่อให้มองออกบอกถูกว่าเป็นมาอย่างไร

.....................

เนื่องจากมีพระวินัยพุทธบัญญัติมิให้พระออกปากขอปัจจัยจากชาวบ้าน ด้วยเหตุผลที่มุ่งให้เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ไม่มักมาก และเพื่อฝึกหัดขัดเกลาตนเอง และแต่เดิมนั้นยังมิได้มีพระพุทธานุญาตให้พระรับผ้าที่ชาวบ้านถวายโดยตรงเพื่อทำจีวร ตลอดจนจีวรสำเร็จรูปอย่างที่ถวายกันในปัจจุบัน ดังนั้น แหล่งที่พระจะหาผ้าได้ตามสภาพสังคมในชมพูทวีปยุคพุทธกาล ก็คือกองขยะอันมีของที่เขาทิ้งแล้วรวมทั้งผ้าด้วย 

ต่อมา ชาวบ้านที่เข้าใจวิถีชีวิตของพระสงฆ์และรู้วิธีที่ท่านแสวงหาผ้า ปรารถนาจะสงเคราะห์มิให้ท่านต้องหาผ้าได้อย่างลำบาก จึงทำอุบายเอาผ้าไปวางไว้กับพื้นดินบ้าง พาดไว้กับกิ่งไม้บ้าง เป็นทีว่าเป็นของทิ้งแล้ว ตามที่หรือตามทางที่รู้ว่าพระท่านมักจะไป หรือจะผ่านเพื่อไปแสวงหาผ้า เมื่อพระไปเห็นเข้าและแน่ใจว่าไม่มีเจ้าของแน่แล้ว ท่านก็จะ “ชัก” คือเก็บเอาไป คำที่พระรุ่นเก่าๆ ท่านพูดกัน ยังเรียกว่า “ชักผ้า” (ชัก- ช ช้าง)

และสมัยก่อน ที่ที่พระอยู่หรือทางที่พระผ่านเสมอก็มักจะเป็นป่า ชาวบ้านก็นิยมเอาผ้าไปทอดดักทางพระไว้ตามป่า ภาษาไทยจับเอาลักษณะที่ทำกันเช่นนั้นมาเรียก “ผ้าบังสุกุล” ว่า “ผ้าป่า” 

“ผ้าบังสุกุล” กับ “ผ้าป่า” จึงเป็นผ้าอย่างเดียวกัน คำบาลีเรียก “บังสุกุลจีวร” หรือ “ผ้าบังสุกุล” คำไทยเรียก “ผ้าป่า” 

แต่ความเข้าใจของคนในปัจจุบัน “ผ้าบังสุกุล” กับ “ผ้าป่า” เป็นคนละอย่างกันไปแล้ว

เวลากล่าวคำถวาย “ผ้าป่า” บอกว่าถวาย “ผ้าบังสุกุล” 

เวลาพูดว่า ทอด “ผ้าบังสุกุล” บอกว่าเป็นผ้าในงานศพ ไม่ใช่ “ผ้าป่า”

ทุกวันนี้ “ผ้าบังสุกุล” คือผ้าที่ทอดในงานศพ นับตั้งแต่ตอนสวดพระอภิธรรม สวดมาติกา จนถึงก่อนที่จะเผาศพ ตลอดจนในการบำเพ็ญกุศลปรารภถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งมักพูดกันสั้นๆ ว่า “ทอดผ้า” คำเต็มว่า “ทอดผ้าบังสุกุล” 

และ “ผ้าบังสุกุล” ในเวลานี้ก็ไม่มีใครรู้หรือเข้าใจอีกต่อไปว่าคือ “ผ้าป่า” ที่ทำกันมาแต่ครั้งพุทธกาลนั่นเอง

“ผ้าป่า” ที่เรียกมาจาก “ผ้าบังสุกุล” นั้น แม้ต้นกำเนิดจะไม่เกี่ยวกับงานศพ เพราะเกิดจากการที่ชาวบ้านปรารถนาจะสงเคราะห์พระให้ได้ผ้าไปทำจีวรเป็นสำคัญ แต่เนื่องจากป่าช้าเป็นแหล่งที่สามารถหาผ้าได้อีกแหล่งหนึ่ง นั่นคือผ้าห่อศพหรือแม้กระทั่งผ้าที่อยู่กับตัวศพนั้นเอง ชาวบ้านที่ปรารถนาจะสงเคราะห์พระ เมื่อญาติตายก็ถือโอกาสเอาผ้าทอดไว้กับศพ พระที่มาแสวงหาผ้าตามป่าช้าได้พิจารณาศพเป็นการเจริญอสุภกรรมฐานและชักผ้าจากศพไปทำจีวรได้ด้วย “ผ้าบังสุกุล” ซึ่งแต่เดิมหมายถึงผ้าที่ทิ้งอยู่ตามที่ทั่วไปโดยเฉพาะตามกองขยะ จึงเข้าไปเกี่ยวกับศพได้ด้วยเหตุนี้

แต่ในสังคมไทย “ผ้าป่า” ไม่เกี่ยวกับงานศพแต่ประการใด “ผ้าบังสุกุล” กับ “ผ้าป่า” ซึ่งมีกำเนิดอย่างเดียวกัน จึงถูกแยกจากกัน และห่างออกจากกันจนกู่ไม่กลับ

“ผ้าป่า” ของเดิมแท้นั้นเมื่อทอดเรียบร้อยแล้วเจ้าของจะไม่แสดงตัว แต่ก็มักจะซุ่มซ่อนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั้นจนกว่าจะมีพระมาชักเอาผ้านั้นไป ได้เห็นผลทานของตนแล้วจึงกลับไป

ดังนั้น ลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของผ้าป่าก็คือ เป็นของที่ไม่มีเจ้าของ ดังคำพิจารณาผ้าป่าของเดิมว่า -

“อิมํ  วตฺถํ  อสฺสามิกํ  ปํสุกูลจีวรํ  มยฺหํ  ปาปุณาติ 

แปลว่า “ผ้านี้ไม่มีเจ้าของ เป็นผ้าบังสุกุล ย่อมถึงแก่เรา”

ตามหลักก็ต้องว่าถึง ๓ ครั้ง คือมี  ทุติยมฺปิ  ตติยมฺปิ  ด้วย เป็นการย้ำยืนยันให้แน่ใจว่าไม่ใช่ผ้าที่เจ้าของเผลอทำตกไว้ แต่เป็นผ้าที่ไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของจริงๆ

ผ้าป่าของเดิมแท้จึงไม่ต้องกล่าวคำถวาย เพราะไม่มีเจ้าของปรากฏตัวให้เห็น 

แต่ผ้าป่าที่ทำกันทุกวันนี้ กลายไปจากของเดิมหมดแล้ว คือเป็นของที่มีเจ้าของ เจ้าของก็ปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นเอง ซ้ำยังมีกล่าวคำถวายอีกด้วย ยังเหลือแต่ชื่อที่เรียก “ผ้าป่า” เท่านั้น นอกนั้นกู่ไม่กลับแล้ว

คำชักผ้าป่าที่พระท่าน “ว่า” กันในทุกวันนี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เพี้ยนจนกู่ไม่กลับ คือพระในปัจจุบันนี้เวลาชักผ้าป่าท่านจะว่า -

อนิจฺจา  วต  สงฺขารา          อุปฺปาทวยธมฺมิโน 

อุปฺปชฺชิตฺวา  นิรุชฺฌนฺติ     เตสํ  วูปสโม  สุโข.

แปลความว่า -

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ 

มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา 

บังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป 

เข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นสุข 

จะเห็นได้ว่าเป็นข้อความปลงธรรมสังเวช ที่ใช้ในเวลาพิจารณาศพเป็นการเจริญอสุภกรรมฐานและมรณสติ  ไม่เกี่ยวกับผ้าป่าเลย 

ทราบว่าพระที่ท่านใช้คำชักผ้าป่าตามแบบเดิม (“อิมํ  วตฺถํ  อสฺสามิกํ) ก็ยังมีอยู่บ้าง - กราบอนุโมทนาสาธุ

นอกจากรูปแบบจะกลายจากของเดิมแล้ว ความมุ่งหมายหรือความประสงค์ของ “ผ้าป่า” ก็กลายไปมากจนกู่ไม่กลับไปอีกเรื่องหนึ่ง 

คือของเดิมมุ่งจะถวายผ้าเพื่อสงเคราะห์พระ เดี๋ยวนี้เอาวิธีทอดผ้าป่ามามุ่งหาเงินหรือหาสิ่งของเครื่องใช้อื่นๆ เช่น ทอดผ้าป่าหนังสือ ทอดผ้าป่าเก้าอี้ ทอดผ้าป่ากระเบื้อง ฯลฯ สุดแต่ว่าต้องการจะระดมเพื่อให้ได้อะไรมา ก็เรียกกันว่า “ผ้าป่า” ไปทั้งนั้น 

“ผ้าป่า” ทุกวันนี้ตั้งวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาสิ่งของอื่นๆ ทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว-ผ้าป่าเพื่อจัดหาผ้าถวายพระ อันเป็นวัตถุประสงค์เดิม 

จึงกล่าวได้ว่า ทุกวันนี้ “ผ้าป่า” เหลือแต่เปลือก 

แต่เนื้อในกู่ไม่กลับแล้ว 

-----------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๖

๑๔:๑๑ 

[full-post]

วิธีรักษาพระศาสนา,

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.