สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ


ตาลปุฏเถรคาถา คาถาของพระตาลปุฏเถระ

   ท่านพระตาลปฏะกล่าวคาถาความว่า เมื่อไรหนอ เราจะอยู่ผู้เดียวไม่มีตัณหาเป็นเพื่อนที่ซอกเขา เมื่อไรหนอ เราจะพิจารณาเห็นแจ้งภพโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เมื่อไรหนอ เราจะได้ เป็นมุนีนุ่งห่มผ้กาสาวพัสตร์ที่ตัดด้วยศัสตรา ไม่ยึดมั่น ไร้ความหวัง ละราคะ โทสะ และโมหะได้ อยู่ป่าใหญ่อย่างสบาย เมื่อไรหนอ เราจะเห็นแจ้งร่างกายนี้ซึ่งไม่เที่ยง เป็นรังแห่งความตายและเป็นรังแห่งโรค ถูกมรณะและชราคอยรบกวน ปราศจากความกลัว อาศัย อยู่ในป่าแต่ผู้เดียว... เมื่อไรหนอ เราจะจับดาบคมกริบคืออริยมรรคที่สำเร็จด้วยปัญญาตัดเถาวัลย์คือตัณหาที่ก่อให้เกิดภัย นำทุกข์มาให้ เป็นเหตุให้หมุนวนเวียนไปตามอารมณ์ มากมาย... เมื่อไรหนอ เราจะได้ฉวยศัสตราที่สำเร็จด้วยปัญญาอันมีเดชานุภาพมากของผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ หักรานกิเลสมารพร้อมทั้งเสนามารโดยฉับพลัน เหนือบัลลังก์สีทอาสน์

 ...เมื่อไรหนอ สัตบุรุษผู้มีความหนักแน่นในธรรม ผู้คงที่ มีปกติเห็นตามความเป็นจริง ชนะอินทรีย์แล้วจะพึงเห็นเราว่า บำเพ็ญเพียรในสมาคม... เมื่อไรหนอ ความเกียจคร้าน ความ หิวกระหาย ลมแดด เหลือบยุง สัตว์เลื้อยคลาน จะไม่เบียดเบียนเราที่ซอกภูเขา ... เมื่อไร หนอ เราจะ มีจิตตั้งมั่น มีสติ บรรลุอริยสัจ ๔ ที่เห็นได้แสนยาก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบแล้ว ... เมื่อไรหนอ เราจะสงบระงับจากเครื่องเร่าร้อน ในเพราะรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ที่เรายังไม่รู้เท่าทัน พิจารณาเห็นได้ด้วยปัญญา เมื่อไรหนอ เราถูกว่ากล่าวติเตียนด้วยคำหยาบจะไม่เดือดร้อนใจ ถึงได้รับการสรรเสริญ ก็จะไม่ยินดี...เมื่อไรหนอ เราจะเห็นสภาพภายใน คือ เบญจขันธ์ของเราเหล่านี้ รูปธรรมที่ยังไม่รู้และสภาพภายนอก คือ ท่อนไม้ กอหญ้า และลดาวัลย์ว่าเป็นสภาพเสมอกัน... เมื่อไรหนอ น้ำฝนใหม่ตามฤดูกาลในเวลาใกล้รุ่งจะตกรดเราผู้ครองจีวรดำเนินไปในมรรคาที่ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ดำเนินไปอยู่ในป่า... เมื่อไรหนอ เราจะได้ยินเสียงร้องของนกยุงที่ซอกเขาแล้วลุกขึ้นพิจารณา เพื่อบรรลุอมตธรรม ... เมื่อไรหนอ เราจะข้ามพ้นแม่น้ำคงคา ยมุนา สุรัสวดี ที่ไหลไปถึงบาดาล มีปากอ่าวใหญ่ทั้งน่ากลัวไปได้ด้วยฤทธิ์ ไม่ติดขัด 

...เมื่อไรหนอ เราจะงดเว้นนิมิตว่างามทั้งปวงได้ ขวนขวายในฌาน ไม่พอใจในกามคุณ เหมือนช้างทำลายเสาตะลุง และโซ่เหล็กได้แล้วเที่ยวไปในสงคราม... เมื่อไรหนอ เราจะได้ บรรลุคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วพอใจเหมือนลูกหนี้ผู้ขัดสนถูกเจ้าหนี้บีบบังคับ แสวงหาทรัพย์ มาได้ก็พอใจ

   จิตผู้เจริญ ท่านอ้อนวอนเรามาหลายปีว่า ท่านไม่ควรอยู่ครองเรือน บัดนี้ เราบวช สมประสงค์แล้ว เหตุไฉน ท่านจึงไม่ชักนำเสียเล่า ท่านอ้อนวอนเรามาตลอดว่า ฝูงนกยูง มีขนปีกแพรวพราว และเสียงกึกก้องแห่งธารน้ำตกตามซอกเขา จะทำท่านผู้เข้าฌานอยู่ในป่าให้เพลิดเพลิน เรายอมสละญาติมิตรอันเป็นที่รัก สละความยินดีในการเล่นและกามคุณได้หมดแล้วเข้ามาป่านี้ ท่านช่างไม่ยินดีกับเราเลย เราพิจารณาเห็นว่า เพราะจิตนี้เป็นของเราเท่านั้น ท่านไม่ใช่ของผู้อื่น การร้องไห้รำพันจะมีประโยชน์อะไร ในเวลาทำสงครามกับ กิเลสมาร จิตทั้งหมดนี้มีแต่หวั่นไหว จึงได้ออกบวชแสวงหาอมตบท ซึ่งพระผู้มีพระภาคเคยตรัสว่า จิตนี้กวัดแกว่งเหมือนลิง ทั้งห้ามได้แสนยาก เพราะยังกำหนัด เหตด้วยเหล่าปุถุชนที่ยังไม่รู้เท่าทัน พัวพันอยู่ในกามที่งดงาม มีรสหวาน ชวนให้รื่นรมย์ใจ พวกเขาแสวงหาภพใหม่ก่อแต่สิ่งไร้ประโยชน์ ถูกจิตทำให้เหินห่างจากสุข นำไปไว้ในนรก ย่อมประสบทุกข์

   จิต เมื่อก่อน ท่านแนะนำเราว่า ท่านมีเสือเหลืองและเสือโคร่งห้อมล้อมอยู่ในป่า ที่มีเสียงนกยูงและนกกระไนร่ำร้อง จงละความห่วงใยในร่างกาย อย่าได้พลาดหวังเสียเลย

...ท่านจงเจริญฌาน อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และสมาธิภาวนา ทั้งบรรลุวิชชา ๓ ในพระพุทธศาสนาให้ได้

...ท่านจงเจริญมรรคมีองค์ ๘ ที่นำสัตว์ออกจากวัฏฏทุกข์ หยั่งถึงความสิ้นทุกข์ทั้งมวล ชำระล้างกิเลสได้หมดสิ้น เพื่อบรรลุนิพพานให้ได้

...ท่านจงพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยอุบายที่แยบคายว่า เป็นทุกข์ จงละเหตุให้เกิดทุกข์ และจงทำความสิ้นทุกข์ในอัตภาพนี้ให้ได้

...ท่านจงพิจารณาเบญจขันธ์โดยอุบายที่แยบคายว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่าว่างเปล่า ไม่มีตัวตน และต้องวิบัติไป จงดับมโนวิจารทางใจเสียให้ได้

...ท่านจงปลงผมและโกนหนวดแล้ว ถือเพศสมณะ มีรูปร่างแปลก ถูกเขาสาปแช่ง ถือบาตรเที่ยวภิกษาไปตามตระกูลทั้งหลาย จงพากเพียรในคำสอนของพระศาสดาให้ได้

...ท่านจงสำรวมระวังให้ดี เมื่อเที่ยวไปในระหว่างตรอก อย่ามีใจเกี่ยวข้องในตระกูลและกามารมณ์ จงเที่ยวไปเหมือนดวงจันทร์ในวันเพ็ญที่ปราศจากเมฆฉะนั้น

...ท่านจงยินดีในธุดงคคุณทั้ง ๕ คือ (๑) ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร (๒) ถือการเที่ยว บิณฑบาตเป็นวัตร (๓) ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร (๔) ถือการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร (๕) ถือการไม่นอนเป็นวัตรทุกเมื่อให้ได้ บุคคลบางคนต้องการผลไม้ ปลูกไม้ผลไว้แล้วไม่ได้รับผล ประสงค์จะโค่นต้นไม้นั้นเสียฉันใด จิต ท่านทําเรา ที่ท่านชักนําให้หวั่นไหวในความไม่เที่ยง ให้เป็นเหมือนบุคคลผู้ปลูกต้นไม้ฉันนั้น

   จิต ที่ไม่มีรูปร่าง ไปได้ไกล เที่ยวไปแต่ผู้เดียว บัดนี้ เราจะไม่ทำตามคำของท่าน เพราะกามทั้งหลายล้วนก่อทุกข์ ให้ผลเผ็ดร้อน มีภัยใหญ่หลวง เราจะประพฤติมุ่งมั่นเฉพาะ นิพพาน เราไม่ได้ออกบวชเพราะไม่มีบุญ เพราะหมดความกระดากอาย เพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจจิต เพราะทำผิดต่อชาติบ้านเมือง หรือเพราะเหตุแห่งอาชีพ

   จิต ท่านได้รับรองกับเราไว้ว่า จะอยู่ในอำนาจเรามิใช่หรือ ท่านแนะนำเราไว้ว่า ความเป็นผู้มักน้อย การละความลบหลู่คุณท่าน และความสงบทุกข์ สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ มาบัดนี้ ท่านกลับประพฤติเช่นเดิม เราไม่อาจกลับไปหาตัณหา อวิชชา ความรัก ความชัง รูปอันสวยงาม สุขเวทนา และกามคุณที่น่าชอบใจ ซึ่งคายได้แล้ว

   จิต เราได้ทำตามคำของท่านมาทุกภพ ทุกชาติ ทุกคติ และทุกวิญญาณฐิติ เราไม่ได้ ขุ่นเคืองท่านในหลายชาติ เพราะความที่ท่านเป็นคนกตัญญู จึงเกิดมีอัตภาพนี้ขึ้น ทั้งเราก็ได้เร่ร่อนไปในทุกข์ ที่ท่านทำให้มาช้านาน

   จิต ท่านทำเราให้เป็นพราหมณ์บ้าง ให้เป็นกษัตริย์บ้าง เป็นพระราชาบ้าง เพราะอำนาจแห่งท่านนั่นแหละ บางคราวเราเป็นแพศย์บ้าง เป็นศูทรบ้าง เป็นเทพบ้าง เพราะเหตุแห่งท่าน เพราะอำนาจแห่งท่าน มีท่านเป็นมูลเหตุ บางคราวเราเป็นอสูรบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง ท่านประทุษร้ายเรามาแล้วบ่อยครั้ง มิใช่หรือ ท่านแสดงน้ำใจเหมือนจะห้ามเรา ครู่เดียวท่านก็ล่อลวงเหมือนคนบ้า

    จิต เราทำผิดอะไรต่อท่านบ้าง แต่ก่อนท่านท่องเที่ยวไปในอารมณ์ต่างๆ ตามปรารถนา ตามต้องการ ตามสบาย วันนี้ เราจะข่มท่านโดยอุบายอันแยบคาย เหมือนควาญช้างปราบพยศช้างตกมัน

   จิต เชิญท่านพาเราบ่ายหน้าไปในศาสนาของพระชินเจ้า ช่วยเราให้ข้ามโอฆะใหญ่ที่ข้ามได้แสนยาก

   จิต เรือนคืออัตภาพนี้ไม่ใช่ของท่านเหมือนเมื่อก่อน เราจะไม่กลับไปอยู่ในอำนาจท่าน จะบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาค ธรรมดาสมณะทั้งหลายไม่ประสบความเสียหาย เหมือนเรา ภูเขา มหาสมุทร แม่น้ำคงคาเป็นต้น แผ่นดิน ทิศใหญ่ทั้ง ๔ ทิศน้อยทั้ง 4 ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง และภพทั้ง ๓ ล้วนเป็นสภาพไม่เที่ยง มีแต่ถูกเบียดเบียนอยู่เสมอ

   จิต ท่านไปที่ไหนเล่าจึงจะยินดีความสุข เรามั่นคงแล้ว ท่านจะทำอะไรได้ เราไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจท่าน คนไม่พึงแตะต้องถุงหนังมีปากสองข้าง น่าตินัก ร่างกายที่เต็มไปด้วยของ ไม่สะอาด หลั่งของไม่สะอาดออกจากปากแผล ท่านเข้าเรือนคือที่เอื้อมเขาและยอดเขาที่สวยงามตามธรรมชาติ ซึ่งฝูงหมูป่าและฝูงกวางอาศัยอยู่ และป่าที่ฝนตกรดใหม่ จะยินดี ภาวนา ณ ที่นั้น ฝูงนกยูงมีขนคอเขียวสวยงาม มีหงอนงาม มีปีกงาม ปกคลุมด้วยขนปีก สวยงาม ส่งสําเนียงเสียงร้องก้องกังวานไพเราะจับใจนั้นจะช่วยท่านผู้บำเพ็ญฌานในป่าให้ รื่นรมย์ได้ เมื่อฝนตก หญ้างอกยาวประมาณ 4 นิ้ว เมื่อป่าไม้ผลิดอกออกช่อ งามคล้ายก้อนเมฆ เราเป็นเหมือนต้นไม้จะนอนบนยอดหญ้าระหว่างภูเขา เครื่องลาดหญ้าอ่อนนุ่มจะเป็นเหมือนที่นอนสําลีสําหรับเรา เราจะทำท่านไว้ในอำนาจให้ได้เหมือนคนผู้เป็นใหญ่ จะพอใจด้วยปัจจัยตามที่ได้ จะทำท่านไว้ในอำนาจให้ได้ เหมือนคนไม่เกียจคร้าน เหมือนกระสอบใส่แมวที่มัดไว้ดีแล้ว จะนำท่านมาไว้ในอำนาจให้ได้ เหมือนนายควาญช้างผู้ชาญฉลาด ใช้ขอสับช้างตกมันให้อยู่ในอำนาจ เรากับท่านผู้ฝึกฝนดีแล้ว ผู้มั่นคง สามารถดำเนินไปถึงทางที่ปลอดโปร่ง ที่ท่านผู้รักษาจิตทั้งหลายดำเนินไปแล้วทุกสมัย เหมือนนายสารถีผู้ฝึกม้าสามารถดำเนินไปถึงภูมิภาคที่ปลอดภัยได้ด้วยม้าอาชาไนยที่ใจซื่อตรง เราจะผูกท่านไว้ที่อารมณ์ กรรมฐานด้วยกำลังภาวนา เหมือนนายควาญช้างใช้เชือกที่เหนียวผูกช้างไว้ที่เสาตะลุง จิตที่เราคุ้มครองดี อบรมดีด้วยสติ จะเป็นจิตไร้ตัณหา ท่านตัดเหตุเกิดคืออายตนะที่แล่นไปผิดทางด้วยปัญญา ข่มมันเสียด้วยความเพียร ให้ตั้งมั่นอยู่ในทางถูก เห็นแจ้งทั้งความเกิด และความดับ แล้วจะเป็นทายาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

   จิต ท่านชักนำเราให้หลงเข้าใจผิด เหมือนคนจูงเด็กชาวบ้านวิ่งวนไปฉะนั้น ท่านน่าจะคบหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เพียบพร้อมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ผู้ตัดเครื่องผูกคือสังโยชน์เสียได้ เป็นพระมหามุนีมฤคชาติเข้าไปยังภูเขาอันน่ารื่นรมย์ ประกอบด้วยน้ำและดอกไม้ เที่ยวไปในป่าอันงดงามอย่างเสรี

   จิต ท่านจะรื่นรมย์ในภูเขาที่ไม่เกลื่อนกล่นด้วยผู้คนตามลำพังใจ เมื่อท่านไม่ยินดีที่ภูเขานั้น ท่านก็จะต้องเสื่อมโดยไม่ต้องสงสัย ชายและหญิงเหล่าใดประพฤติตามความพอใจ ตามอำนาจของท่าน จะเสวยความสุข ชายหญิงเหล่านั้นโง่เขลา ประพฤติไปตามอำนาจมาร เพลิดเพลินในภพน้อยภพใหญ่ เป็นสาวกของท่าน

   เนื้อความในคาถาที่ท่านพระตาลปุฏเถระพรรณานี้ เป็นการกระตุ้นเตือนตนเองให้ โอกัปปนะศรัทธาเกิดขึ้นเพื่อบรรลุอรหัตตมรรคไม่ใช่ สัททหนศรัทธา ซึ่งศรัทธาทั้งสอง มีลักษณะและรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้ :-

   ศรัทธา ในค้มภีร์ทั้งหลาย  มักจะกล่าวถึงวิเสสลักษณ์(ลักษณ์จำเพาะ) 2 ประการ ซึ่งปกติวิเสสสลักษณ์ประจำธรรมะนั่นๆจะมีเฉพาะประการเดียว เพื่อแสดงให้รู้ว่าธรรมะนี้ต่างกับธรรมะนั้น ส่วนศรัทธา มี 2 ประการ คือ 

   1.) สทฺทหนลกฺขณา

       มีความเชื่อเป็นลักษณะ

       ปสาทนรสา

       มีความเลื่อมใสเป็นกิจ

       อกาฬุสฺสิยปจฺจุปฏ ฐานา

       มีความไม่ขุ่นมัวเป็นผลปรากฏ

       สทเธยฺยวตฺถุปทฏฺฐานา

       มีวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อเป็นเหตุใกล้

   2.) โอกปฺปนลกฺขณา

       มีการปักใจเชื่อด้วยปัญญาเป็นลักษณะ

       ปกฺขนฺทนรสา

       มีการทำให้สัมปยุตตธรรมที่เกิดพร้อมกับตนโลดแล่นไปโดยไม่ติดขัดเป็นกิจ

       อธิมุตฺติปจฺจุปฏฺฐานา

       มีการน้อมไปสู่เป้าหมายเป็นผลปรากฏ

       สทฺธมฺมสฺสวนาทิโสตาปตฺติยงฺคปทฏฺฐานา

       มีองค์ประกอบที่ทำให้เข้าถึงกระแสธรรม เช่นการฟังพระสัทธรรมเป็นเหตุใกล้

   เหตุที่วิเสสลักษณะของศรัทธามี 2 ประเภท ก็เป็นไปตามธรรมชาติ ของศรัทธาเจตสิกที่เป็นสัพพสาธารณโสภณเจตสิก ดังนั้นประเภทที่ 1 จึงหมายถึงวิเสสลักษณะของศรัทธาทั่วๆไป ส่วนประเภทที่ 2 เพราะแม้ปัญญาจะเป็นโสภณเจตสิกแต่ก็ไม่เป็นสาธารณะแก่จิตทั่วไปเหมือนศรัทธาเจตสิก เฉพาะที่เป็นจิตสัมปยุตต์กับปัญญาเจตสิกเท่านั้น ดังนั้นวิเสสลักษณ์ของศรัทธาประเภทที่ 2 จึงเป็นประเภท

ที่ประกอบด้วยปัญญา สมดัง คาถาสังคหะกล่าวไว้ว่า

   อนุตตเร ฌานธมฺมา   อปฺปมญฺญา จ มชฺฌิเม

   วิรติ ฌานปีติ จ            ปริตฺเตสุ วิเสสกา ฯ

แปลว่า :-

   ในโลกุตตรจิต ฌานธรรม คือ ฌาน 5 และเจตสิกธรรม 5 คือ วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข(โสมนัส)เวทนา, และ อุเบกขาเวทนา ย่อมทำให้โลกุตตรจิตต่างกัน

   ในมหัคคตจิต อัปปมัญญาเจตสิก 2 ฌานธรม คือ เจตสิกธรรม 5 มีวิตก, วิจาร,ปีติ,สุข(โสมนัส)เวทนา, อุเบกขาเวทนา ย่อมทำให้มหัคคตจิตต่างกัน

   ในกามาวจรโสภณจืต ปีติเจตสิก 1, วิรตีเจตสิก 3, อัปปมัญญาเจตสิก 2, และปัญญาเจตสิก 1 ย่อมทำให้กามาวจรโสภณจิตต่างกัน

(เหตุผลว่าทำไมศรัทธาเจตสิกจึงมีวิเสสลักษณะ 2 ประเภทจากคัมภึร์นิสสยะอักษรปัลลวะ)

----------///-----------


[full-post]

ตาลปุฏเถรคาถา

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.