วิธีรักษาพระศาสนา (๑๒)

.........................................................

คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน 

แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา

.........................................................

บทความชุดนี้เริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึง-ผมไปจัดรายการที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดราชบุรี ผมจะทักถามท่านผู้ฟังทุกครั้งว่า วันนี้ท่านใส่บาตรหรือเปล่า ถ้าใส่ ผมขออนุโมทนา

ผมจะพูดต่อไปว่า-แต่ถ้าท่านเอาสตางค์ใส่บาตร ผมขออนุญาต-ไม่อนุโมทนา เพราะเป็นการทำให้พระผิดวินัย

แล้วผมก็บอกว่า ชาวบ้านเขาใส่บาตรกันทุกวัน จึงขออาราธนาพระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตทุกวันด้วย

ผมบอกว่า-แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้มีพระจำนวนหนึ่งไม่ได้ออกบิณฑบาต โดยมากเป็นพระที่มีตำแหน่งบริหารหรือพระที่เราเรียกว่า “พระผู้ใหญ่” มักจะไม่ได้ออกบิณฑบาต

ผมบอกว่า ในพุทธกิจ ๕ ประการ แสดงไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงออกบิณฑบาตทุกวัน ดังนั้น พระจึงควรออกบิณฑบาตทุกวันด้วย

การออกบิณฑบาตเป็นการครองชีพตามหลักปฏิบัติเพื่อการขัดเกลาของพระในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า “นิสัยสี่” คือ สิ่งจำเป็นเพื่อการดำรงชีพของพระตามที่พระพุทธเจ้าทรงวางหลักไว้มี ๔ อย่าง คือ -

๑ อาหาร ได้จากการออกบิณฑบาต

๒ เครื่องนุ่งห่ม ใช้ผ้าที่เขาทิ้งแล้วนำมาซักเย็บย้อมพอให้นุ่งห่มได้

๓ ที่อยู่อาศัย ใช้โคนไม้เป็นที่พำนัก

๔ ยารักษาโรค ใช้น้ำมูตรดอง

เพราะฉะนั้น การออกบิณฑบาตจึงเป็นกิจที่ควรทำ

เรื่องที่พูดแทรกเข้ามาคือ ชาวบ้านเมื่อเห็นพระใช้ปัจจัยสี่อย่างจำกัดขัดเกลาเช่นนั้น ประสงค์จะสงเคราะห์พระมิให้ต้องฝืดเคือง จึงถวายโอกาสให้พระออกปากขอปัจจัยสี่ได้ นี่คือที่เรียกว่า “ปวารณา”

พอมีโยมปวารณา บุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็คือ “ไวยาวัจกร” เป็นผู้ช่วยทั้งฝ่ายโยมปวารณาและช่วยทั้งฝ่ายพระ

ช่วยฝ่ายโยมปวารณา คือช่วยจัดหาปัจจัยสี่ตามที่โยมปวารณาต้องการถวายพระ เป็นการอำนวยความสะดวกให้โยมปวารณา

ช่วยฝ่ายพระ คือกิจสิ่งใดที่พระทำเองไม่ได้เพราะผิดวินัย ผิดสมณวิสัย หรือเสียสมณสารูป ไวยาวัจกรจะเป็นผู้ทำให้ เป็นการอำนวยความสะดวกให้พระ

ไวยาวัจกรจึงเป็นคนกลางระหว่างโยมปวารณากับพระ และระหว่างพระกับวินัยของพระ

ย้อนไปที่ปัจจัยสี่ เช่นเรื่องอาหาร ตามแบบแผนดั้งเดิม อาหารของพระได้มาด้วยการออกบิณฑบาต พระที่ยึดแบบแผนดั้งเดิมท่านจะออกบิณฑบาตไม่ขาด

แล้วพระบางส่วนในปัจจุบันที่ไม่ออกบิณฑบาต จะไม่เป็นการกระทำผิดแบบแผนของพระดอกหรือ

ตรงนี้แหละที่ต้องเรียนรู้เรื่อง “อติเรกลาภ” รู้เรื่องนี้แล้วก็จะได้คำตอบ

.......................

ในหลักพระธรรมวินัย “อติเรกลาภ” (คำบาลีประกอบวิภัตติปัจจัยได้รูปเป็น “อติเรกลาโภ”) หมายถึงปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้บริโภคใช้สอยเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้เดิม 

ขอยกข้อความในคำบอกอนุศาสน์ทั้งภาษาบาลีและคำแปลมาแสดงในที่นื่เพื่อเป็นการศึกษา ดังนี้ -

(๑) ปิณฑิยาโลปโภชนะ : โภชนะที่ได้มาด้วยกำลังปลีแข้ง คือเที่ยวบิณฑบาต

.........................................................

ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ  นิสฺสาย  ปพฺพชฺชา  ตตฺถ  เต  ยาวชีวํ  อุสฺสาโห  กรณีโย  อติเรกลาโภ  สงฺฆภตฺตํ  อุทฺเทสภตฺตํ  นิมนฺตนํ  สลากภตฺตํ  ปกฺขิกํ  อุโปสถิกํ  ปาฏิปทิกํ. 

บรรพชาอาศัยโภชนะคือคำข้าวอันหาได้ด้วยกำลังปลีแข้ง เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภคือ ภัตถวายสงฆ์ ภัตเฉพาะสงฆ์ การนิมนต์ ภัตถวายตามสลาก ภัตถวายในปักษ์ ภัตถวายในวันอุโบสถ ภัตถวายในวันปาฏิบท

.........................................................

หมายความว่าถ้ามีภัตเหล่านี้เกิดขึ้น จะไม่ต้องออกบิณฑบาตก็ได้ 

(๒) บังสุกุลจีวร : ผ้านุ่งห่มที่ทำจากของเขาทิ้ง = ผ้าบังสุกุล

.........................................................

ปํสุกูลจีวรํ  นิสฺสาย  ปพฺพชฺชา  ตตฺถ  เต  ยาวชีวํ  อุสฺสาโห  กรณีโย  อติเรกลาโภ  โขมํ  กปฺปาสิกํ  โกเสยฺยํ  กมฺพลํ  สาณํ  ภงฺคํ. 

บรรพชาอาศัยบังสุกุลจีวร เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อติเรกลาภคือ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าเจือกัน (เช่นผ้าด้ายแกมไหม)

.........................................................

หมายความว่าถ้ามีผู้ถวายผ้าเหล่านี้ จะใช้สอยแทนผ้าบังสุกุลก็ได้

(๓) รุกขมูลเสนาสนะ : ที่อยู่อาศัยคือโคนไม้ 

.........................................................

รุกฺขมูลเสนาสนํ  นิสฺสาย  ปพฺพชฺชา  ตตฺถ  เต  ยาวชีวํ  อุสฺสาโห  กรณีโย  อติเรกลาโภ  วิหาโร  อฑฺฒโยโค  ปาสาโท  หมฺมิยํ  คุหา. 

บรรพชาอาศัยโคนไม้เป็นเสนาสนะ เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภคือ วิหาร เรือนมุงแถบเดียว เรือนชั้น เรือนโล้น ถ้ำ 

.........................................................

หมายความว่าถ้าได้ที่อยู่เช่นนี้ หรือมีผู้ทำที่อยู่เช่นนี้ถวาย จะอาศัยอยู่แทนโคนไม้ก็ได้

(๔) ปูติมุตตเภสัช : ยาดองน้ำมูตรเน่า 

.........................................................

ปูติมุตฺตเภสชฺชํ  นิสฺสาย  ปพฺพชฺชา  ตตฺถ  เต  ยาวชีวํ  อุสฺสาโห  กรณีโย  อติเรกลาโภ  สปฺปิ  นวนีตํ  เตลํ  มธุ  ผาณิตํ. 

บรรพชาอาศัยมูตรเน่าเป็นยา เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภคือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย.

.........................................................

หมายความว่าถ้ามีผู้ถวายเภสัชเหล่านี้ จะบริโภคแทนยาดองมูตรเน่าก็ได้

.........................................................

ที่มา: คัมภีร์มหาขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑

พระไตรปิฎกเล่ม ๔ ข้อ ๘๗

.........................................................

จะเห็นได้ว่า แม้จะกำหนดปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตเพื่อความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายมุ่งความขัดเกลา แต่ก็มิได้จำกัดตัดสิทธิ์ที่จะบริโภคใช้สอยสิ่งของที่เป็น “อติเรกลาโภ” เพียงแต่จำกัดว่าต้องเป็นของที่ “สมควรแก่สมณบริโภค”

.......................

ผมได้ใส่คำสรุปสั้นๆ แทรกไว้ทุกปัจจัยเพื่อให้เข้าใจชัด เฉพาะอาหารบิณฑบาตก็บอกไว้ว่า “หมายความว่าถ้ามีภัตเหล่านี้เกิดขึ้น จะไม่ต้องออกบิณฑบาตก็ได้”

เป็นอันได้คำตอบชั้นหนึ่งแล้วว่า ถ้ามี “ภัตเหล่านี้” เกิดขึ้น-พูดง่ายๆ ถ้ามีผู้ถวาย “ภัตเหล่านี้” อย่างใดอย่างหนึ่ง-พระก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องออกบิณฑบาต

แต่นี่เป็นเพียง “คำตอบชั้นหนึ่ง” เท่านั้น ยังจะต้องมีคำอธิบายขยายความอีกชั้นหนึ่งอีก ซึ่งจะได้ว่ากันต่อไป

-------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖

๑๖:๔๒ 

[full-post]

วิธีรักษาพระศาสนา

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.