ทองย้อย แสงสินชัย

 

วิธีรักษาพระศาสนา (๑๔)

.........................................................

คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน 

แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา

.........................................................

ปัจจัยสี่แบบดั้งเดิมของพระได้มาจากไหน ได้มาอย่างไร (ต่อ)

..................

๓ ที่อยู่อาศัย 

..................

รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา - วิถีชีวิตนักบวชในพระพุทธศาสนา อาศัยโคนไม้เป็นที่พำนัก

โคนไม้หาได้ทั่วไป ที่ไหนมีต้นไม้ ที่ไหนมีป่า ที่นั่นมีที่พักอาศัย 

ถ้ายึดเอาข้อนี้เป็นแบบแผน ก็ควรทำวัดต่างๆ ให้ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ 

วัดในชนบท สบายอยู่แล้ว เสริมอีกเล็กน้อย บางวัด-หลายวัดแทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ร่มรื่นอยู่แล้ว เพียงแต่กำหนดเป็นหลักการว่า-ถ้าเห็นวัดต้องเห็นความร่มรื่นทุกวัดไป

ต้นไม้ในวัด ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าตัด มีแต่จะปลูกเพิ่มให้มากขึ้น

.........................................................

มีเรื่องบันทึกไว้ว่า พระอารามหลวงแห่งหนึ่ง ถึงฤดูกฐิน เจ้าหน้าที่มาตรวจความเรียบร้อย เห็นว่าต้นไม้ในวัดกีดขวางพระกลดพระวอในเวลาเสด็จ จะตัด เจ้าอาวาสบอกว่าต้นไม้ในวัดนี้ตัดไม่ได้ ถ้าเสด็จไม่ได้ก็ไม่ต้องเสด็จ ความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัว ทรงอนุโมทนากับเจ้าอาวาส

.........................................................

วัดในเมือง บางวัดมีทุนดีอยู่แล้ว ต้นไม้เยอะ หลายวัดพอฟื้นฟูได้ แต่แทบทุกวัดต้องเสริมและต้องสร้างใหม่-หมายถึงต้องสร้างต้นไม้ขึ้นมาใหม่

วัดในตัวเมืองหรือวัดในกรุง ลำบากหน่อย ที่จริงลำบากเยอะ ถ้ามีพื้นที่จำกัดก็ยิ่งลำบากมาก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวคิด นโยบาย และอุดมคติ

ลองคิดดู บ้านของชาวบ้าน มีที่เท่าแมวดิ้นตาย เขายังพยายามสร้างบรรยากาศให้มีสีเขียวเท่าที่จะทำได้

วัดมีที่มากกว่า แม้บางวัดจะจำกัดอยู่บ้าง แต่ถ้ามีนโยบายที่จะทำ ก็คงมีทางหรือหาทางทำจนได้

สายงานของคณะสงฆ์ที่มีมานานแล้วคือ สาธารณูปการ นี่แหละคือสายงานที่กำหนดให้มีขึ้นมาเพื่อการนี้โดยตรง-ทำวัดให้ร่มรื่น

แต่เชื่อหรือไม่ คณะสงฆ์หลงทางกับงานสายนี้มาตลอด คือเข้าใจไปว่า สาธารณูปการคืองานก่อสร้าง สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างกุฏิ สร้างโรงเรียน สารพัดสร้าง สร้างจนเต็มวัด พระสังฆาธิการรูปไหนเก่งในการก่อสร้างจะได้รับการยกย่อง ได้รับสมณศักดิ์

แต่อันที่จริง หัวใจของงานสาธารณูปการคือการวางผังวัด โบสถ์ควรอยู่ทิศไหน วิหารควรอยู่ตรงไหน กุฏิควรอยู่ตรงไหน ศาลาการเปรียญควรอยู่ตรงไหน เมรุควรอยู่ทิศไหน สิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างควรใหญ่-เล็กขนาดไหนจึงจะคุ้มค่ากับการใช้งาน สิ่งก่อสร้างอะไรบ้างที่มีมาแต่เดิมที่ควรจะอนุรักษ์ไว้ พื้นที่ภายในวัดควรปลูกไม้อะไรอย่างไรวัดจึงจะร่มรื่น

เพราะหลงทางงานสาธารณูปการ จึงปรากฏว่า มากมายหลายวัดรื้อโบสถ์เก่า+วิหารเก่า+ศาลาเก่า ที่มีคุณค่าทางสถาปัตย์ลงหมดสิ้น แล้วสร้างของใหม่ขึ้นแทน

วัดในตัวเมืองหรือวัดในกรุงหลายวัด สูญเสียพื้นผิวหน้าดินสำหรับไก่วัดคุ้ยเขี่ยหากิน เนื่องจากเทคอนกรีตหรือปูกระเบื้องเต็มพื้นที่วัด

หน้าฝนเดินสบาย แต่ทำลายบรรยากาศวัดๆ หมดสิ้น

ชีวิตนักบวชในพระพุทธศาสนามีกำเนิดจากป่า-อยู่กับโคนไม้ จึงควรทำวัดให้ร่มรื่น จำลองบรรยากาศป่ามาไว้ในวัด

ส่งเสริมพระให้เรียนวิชาภูมิสถาปัตย์ หรือภูมิทัศนวิทยา แล้วเอาความรู้มาทำวัดให้เป็นป่า จน-แม้แต่วัดในตัวเมืองหรือวัดในกรุงก็สารถเนรมิตให้ร่มรื่นเหมือนป่าได้ 

ผู้บริหารการพระศาสนา โดยเฉพาะผู้บริหาร มจร มมร เคยคิดบ้างหรือไม่

..................

๔ ยารักษาโรค 

..................

ท่านว่าให้ใช้ “ปูติมุตฺตเภสชฺช” คำนี้แปลกันว่า “ยาดองน้ำมูตรเน่า” 

ข้อชวนคิดของผมคือ “ปูติมุตฺตเภสชฺช” คืออะไร?

หนังสือนวโกวาท พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เริ่มต้นวินัยบัญญัติ ว่าด้วยนิสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ แปล “ปูติมุตฺตเภสชฺช” ว่า “ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า” ไม่พบคำอธิบายว่าทำอย่างไร

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปลคำว่า “ปูติมุตฺต” ว่า strong-smelling urine, usually urine of cattle used as medicine by the bhikkhu (มูตรมีกลิ่นแรง, โดยปกติมูตรโคที่ภิกษุใช้เป็นยา)

สมัยผมเป็นเด็กวัดหนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี (๒๔๙๖-๒๕๐๐) เคยเห็นพระท่านใช้ผลสมอและมะขามป้อมแช่ปัสสาวะของตัวเอง เข้าใจกันว่านั่นคือ “ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า” เวลาฉันก็ฉันเนื้อผลสมอหรือมะขามป้อม ไม่ได้ฉันน้ำปัสสาวะ

เรื่องนี่ควรเป็นหน้าที่ของนักเรียนบาลีช่วยกันสืบค้นว่า “ปูติมุตฺตเภสชฺช - ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า” คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้างและทำอย่างไร

.........................................................

งานบาลี ถ้ามองหาก็จะมองเห็น

แต่ถ้าไม่มีความคิดที่จะทำ 

แม้เห็นอยู่ตำตาก็เหมือนไม่เห็น

.........................................................

ผมเข้าใจว่า เรื่องยาดองด้วยน้ำมูตรเน่านี้คงมีผู้ศึกษาค้นคว้าทางการแพทย์กันมาแล้ว อาจมีงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ที่มีผู้ทำไว้แล้วด้วยซ้ำ

แต่ปัญหาก็คือ เราไม่รู้ว่าผลการศึกษาค้นคว้าหรืองานวิจัยนั้นอยู่ในตู้หนังสือของมหาวิทยาลัยไหน จะหามาศึกษา หรือสำนวนสมัยใหม่ว่า “เข้าถึง” ได้อย่างไร

เรื่องนี้จะมีใครคิดอย่างไรไม่ทราบ แต่ผมคิดว่า สรรพวิทยาการที่มีผู้ศึกษาคิดค้นขึ้นไว้เรามีอยู่พร้อม แต่ถูกเก็บไว้นิ่งๆ ผู้สนใจใคร่รู้ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นๆ เก็บไว้ที่ไหน ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงได้สะดวก แบบว่า-คลิกเดียวก็อ่านได้แล้ว

ยกตัวอย่าง วิทยานิพนธ์สารพัดสาขาวิชาการซึ่งมีอยู่ท่วมโลก เอาเฉพาะในประเทศไทยเรานี่แหละ มีใครเคยคิดสร้างระบบให้เพื่อนร่วมชาติเข้าถึงได้อย่างสะดวกดายบ้างไหม (๑) อยากอ่านวิทยานิพนธ์สาขาไหน คลิกตรงนี้ รายชื่อวิทยานิพนธ์ในสาขานั้นของทุกสถาบันการศึกษาขึ้นมาให้ดูทั้งหมด (๒) อยากอ่านเล่มไหน คลิกตรงนี้ ไฟล์อีบุ๊กขึ้นมาให้เปิดอ่านได้ทันที ไฟล์ PDF ขึ้นมาให้ดาวน์โหลดเอาไปอ่านได้ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนกรอกนั่นนี่โน่นให้คนแก่งุ่มง่ามทำไม่เป็น

ใครคิดอย่างนี้และทำได้อย่างนี้ ผมจะกราบอนุโมทนาไปทั้งสามโลก

เมื่อวันก่อน ญาติมิตรท่านหนึ่งโพสต์ความเห็นว่า ควรแยกศาสนาออกจากอำนาจรัฐ ผมสนใจมากเพราะกระทบกับพระพุทธศาสนาโดยตรง ขอให้แสดงวิธีปฏิบัติ แยกศาสนาออกจากอำนาจรัฐทำอย่างนี้ ๑... ๒... ท่านบอกว่าเรื่องนี้มีคนทำวิจัยไว้มากแล้ว หาอ่านได้ทั่วไป 

จนวันนี้ผมก็ยังคลำทางไม่เจอว่าจะไปหาอ่านงานวิจัยที่มีคนทำไว้มากแล้วนั้นได้ที่ไหน 

อยากโง่เอง เนอะ ช่วยไม่ได้

ถ้ามีระบบในฝันที่ว่าไว้ข้างต้น ก็สบายไปแล้ว

เราอยากให้คนของเราฉลาด แต่ไม่คิดจะทำให้คนของเราเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างง่ายดาย แก่ขนาดไหน งุ่มง่ามขนาดไหน จนขนาดไหนก็เข้าถึงได้แค่คลิกเดียว

เวลานี้เรายังยึดอยู่กับลิขสิทธิ์ ติดอยู่กับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินตรา เห็นสิ่งเหล่านี้มีค่ามากกว่าความฉลาดของคนในชาติ

จบเรื่องแทรกครับ

.......................

ขออนุญาตลงท้ายด้วยเรื่องยาดอง

พูดถึงยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ทำให้นึกถึงยาดองใส่กระถางที่พระท่านทำเป็นทาน เคยเห็นสมัยเป็นเด็กวัด

คือที่วัดหนองกระทุ่ม มีพระที่พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง-จำชื่อท่านไม่ได้-ท่านทำยาดองใส่กระถางแบบกระถางบัวหรือกระถางมังกรตั้งตากแดดไว้ที่นอกชานข้างหอฉัน ตัวยาที่จำได้แม่นคือลูกมะกรูดผ่าซีก และจะมีอะไรผสมอีกบ้างไม่ทราบ แต่น่าจะมีเกลือด้วย เพราะรสเปรี้ยวๆ เค็มๆ เป็นหลัก มีขมเล็กน้อย วิธีดองคือเอาน้ำสะอาดใส่กระถางตั้งไว้กลางแจ้ง ใส่เครื่องยาลงไป การที่ตั้งกลางแจ้งความประสงค์ก็คือตั้งตากแดด คงเป็นสูตรของยาดองชนิดนี้คือตากแดดแล้วมีสรรพคุณดีขึ้น 

ฝนตกหรือกลางคืนก็เอาถาดใบใหญ่ปิดปากกระถาง กลางวันก็เปิดปากกระถางให้น้ำยาโดนแดด 

มีตะแกรงสานม้วนเป็นวงกลมเสียบลงไปกลางกระถางเพื่อกันหรือกรองเม็ดมะกรูดและส่วนผสมอื่นๆ ไม่ให้ปนกับน้ำยา เวลาตักกินก็ตักน้ำยาตรงกลางตะแกรง 

ลงมือดอง ตากแดดไว้กี่วันจึงกินได้ คงมีสูตร ยาหมดกระถางก็ดองอีก มีกินไม่ขาด

ชาวบ้านหรือใครไปมาที่วัดสามารถตักยาดองกินได้ตามต้องการ ได้ยินพูดกันว่ายาดองขนานนี้เป็น “ยาคุมธาตุ” ไม่ใช่แก้โรคหรือรักษาอาการเจ็บป่วยอะไร แต่มีสรรพคุณในทางปรับระบบต่างๆ ในร่างกายให้เป็นปกติ คนที่กินเสมอๆ มักจะบอกว่า กินยาดองนี้แล้ว “กินข้าวได้” คือช่วยเจริญอาหาร

นี่น่าจะเป็นการกุศลชนิดหนึ่งที่ชาววัดสมัยนั้นทำขึ้นเพื่อบริการชาวบ้านและชาววัดด้วยกัน

บริการการกุศลแบบนี้หรือทำนองนี้ ยังนึกไม่ออกว่าวัดทุกวันนี้มีทำกันบ้างหรือไม่ 

ถ้าไม่มี น่าคิดว่าวัดต่างๆ ควรจะคิดทำกันบ้างหรือไม่?

หรือว่า-แค่บอกเท่านี้ก็ร้อง-โอย สมัยนี้มันทำไม่ได้หรอก ไร้สาระ

ถ้าวัดไหนมีบริการสาธารณกุศล-ไม่ว่าจะอะไรในรูปแบบใด-ขอกราบอนุโมทนาสาธุขอรับ 

รับรองได้ว่า ไม่ไร้สาระแน่นอน

ตอนหน้า เอา “อติเรกลาโภ” มาคลี่ดูกันว่า สิทธิพิเศษที่มีขึ้นนี้มีผลกระทบต่อนิสัยสี่แบบเดิมอย่างไรบ้างหรือไม่

----------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๖

๑๓:๔๓

[full-post]

วิธีรักษาพระศาสนา,

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.