ทำบุญให้ถึงปลายทาง
---------------------
คน “หัวก้าวหน้า” มักจะวิจารณ์พระพุทธศาสนาว่า ชอบเอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่
แต่ความจริง แนวการสอนที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เสมอก็คือ “อนุปุพพิกถา” เป็นพระธรรมเทศนาที่แสดงเนื้อความลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ เพื่อขัดเกลาอัธยาศัยของผู้ฟังให้ประณีตขึ้นไปเป็นชั้น ๆ จนพร้อมที่จะทำความเข้าใจในธรรมส่วนปรมัตถ์
“อนุปุพพิกถา” มีหัวข้อธรรม ๕ ข้อ ดังนี้ -
.........................................................
๑. ทานกถา (เรื่องทาน, กล่าวถึงการให้ การเสียสละเผื่อแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือกัน
๒. สีลกถา (เรื่องศีล, กล่าวถึงความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม
๓. สัคคกถา (เรื่องสวรรค์, กล่าวถึงความสุขความเจริญ และผลที่น่าปรารถนาอันเป็นส่วนดีของกาม ที่จะพึงเข้าถึง เมื่อได้ประพฤติดีงามตามหลักธรรมสองข้อต้น
๔. กามาทีนวกถา (เรื่องโทษแห่งกาม, กล่าวถึงส่วนเสีย ข้อบกพร่องของกาม พร้อมทั้งผลร้ายที่สืบเนื่องมาแต่กาม อันไม่ควรหลงใหลหมกมุ่นมัวเมา จนถึงรู้จักที่จะหน่ายถอนตนออกได้
๕. เนกขัมมานิสังสกถา (เรื่องอานิสงส์แห่งความออกจากกาม, กล่าวถึงผลดีของการไม่หมกมุ่นเพลิดเพลินติดอยู่ในกาม และให้มีฉันทะที่จะแสวงความดีงามและความสุขอันสงบที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่านั้น
ตามปกติ พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่คฤหัสถ์ ผู้มีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ ทรงแสดงอนุปุพพิกถานี้ก่อน แล้วจึงแสดงอริยสัจ ๔ เป็นการทำจิตให้พร้อมที่จะรับธรรมะ ดุจผ้าที่ซักฟอกสะอาดแล้วควรรับน้ำย้อมต่าง ๆ ได้ด้วยดี
(เก็บความจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [246])
.........................................................
จะเห็นได้ว่า นรก-สวรรค์ที่พระพุทธเจ้านำมาสอนนั้นไม่ใช่จุดหมายปลายทางในพระพุทธศาสนา
ประเดี๋ยวจะติดอยู่แค่-อยากหนีนรกไปอยู่สวรรค์-ติดอยู่แค่นี้
อย่างที่บางสำนักนิยมเน้นอยู่
หลักธรรมที่ยกมาอ้างก็บอกไว้ชัดแล้วว่า ท่านสอนให้เห็นโทษของสวรรค์ด้วย สอนให้เห็นอานิสงส์ของการหลีกเร้นออกจากความติดความอยากต่าง ๆ ด้วย
อีกประการหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ การปฏิบัติขัดเกลาเพื่อพ้นทุกข์ตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น ท่านไม่ได้สอนให้บริจาคทรัพย์สมบัติมาก ๆ เพื่อจะได้เสวยผลบุญในสวรรค์
บริจาคตามกำลังก็พอ
นอกจากนั้น การทำบุญก็มีอีกตั้งหลายวิธี ไม่ใช่ว่ามุ่งแต่สอนให้เขาบริจาค ๆๆๆ ซึ่งเป็น “ทานมัย” อย่างเดียว
ยังมีสีลมัย ภาวนามัย ... ไปจนถึงการทำความเห็นความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง ๆ ซึ่งท่านถือว่าเป็นการทำบุญที่สำคัญที่สุด
แต่นักสอนของเรามักไม่เอามาเน้นเอามาสอน
เน้นอยู่แต่บริจาคทรัพย์อย่างเดียว
แล้วก็ย้ำอยู่แต่ว่า บริจาคมาก ๆ จะได้บุญมาก ๆ
คนมีทรัพย์น้อยก็เลยไม่กล้าทำบุญ
ทั้งที่หลักก็มีอยู่ว่า -
.........................................................
อปฺปกมฺปิ กตํ เทยฺยํ
ปุญฺญํ โหติ มหปฺผลํ
นตฺถิ จิตฺเต ปสนฺนมฺหิ
อปฺปกา นาม ทกฺขิณา
ที่มา: ปีตวิมาน วิมานวัตถุ พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๔๗
แปล:
ของถวายที่ทำไปแล้วแม้จะน้อย
บุญก็มีผลมาก
เมื่อจิตเลื่อมใส (ในพระรัตนตรัย)
ทักษิณา (คือของถวายและผลบุญ) ชื่อว่าน้อยย่อมไม่มี
.........................................................
ถ้าเน้นกันที่บุญบริจาค พระภิกษุสามเณรที่เข้าไปครองเพศสมณะก็หมดโอกาสที่จะทำบุญ เพราะจะไปทำการงานหาทรัพย์ที่ไหนมาบริจาคได้เล่า
แต่การครองเพศสมณะท่านก็สรรเสริญว่าเป็นทางตรงสู่ความพ้นทุกข์ ก็เท่ากับยืนยันว่า แม้ไม่มีทรัพย์จะบริจาคก็ปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ได้
ผมมิได้มีเจตนาจะโต้แย้งหรือขัดขวางศรัทธาของท่านผู้ใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะทำบุญในทางใด ๆ ที่ชอบธรรม ก็ขออนุโมทนาด้วยทั้งสิ้น
เพียงแต่อยากชวนให้ตรึกตรองตามหัวข้อธรรมที่ยกมา (อนุปุพพิกถา) ให้ตลอดสาย และปฏิบัติตามหัวข้อนั้น ๆ ให้สอดคล้องกันตลอดสาย
การปฏิบัติธรรมให้สอดคล้องกันตลอดสายนั้น ท่านเรียกว่า "ธรรมานุธรรมปฏิบัติ" คนเก่าท่านแปลว่า "ปฏิบัติธรรมน้อยคล้อยธรรมใหญ่"
หมายความว่า ธรรมที่ปฏิบัติแต่ละหัวข้อต้องนำไปสู่เป้าหมายของการสอนธรรมข้อนั้น ๆ
เช่นในกรณีอนุปุพพิกถาที่ยกมาแสดงนั้น เป้าหมายก็คือหลีกออกจากกาม (ความติด ความอยากต่าง ๆ แม้แต่อยากไปเกิดในสวรรค์นั้นเอง)
ถ้าให้ทานรักษาศีลกันเพื่อไปเกิดในสวรรค์แค่นั้น ก็แปลว่าปฏิบัติไม่ถึงเป้าหมาย ก็คือผิดเป้าหมายนั่นเอง
ขออนุโมทนาต่อทุกท่านที่เข้าใจเป้าหมายของการศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม ขอให้มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องโดยทั่วกันเทอญ
----------------
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
๑๑:๕๗
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ