การศึกษาเพื่อใช้งาน (๒)
---------------------
เฉพาะมหาวิทยาลัยสงฆ์ซึ่งมีอยู่ ๒ แห่ง คือมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) และมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) คณะสงฆ์เป็นผู้จัดขึ้นมาแต่เดิม ด้วยวัตถุประสงค์จะให้พระภิกษุสามเณรเรียนรู้วิชาการต่าง ๆ เท่าทันกับที่ชาวบ้านเขารู้ เพื่อที่ว่าชาวบ้านจะได้ไม่ดูถูกพระว่าโง่ ๆ เซ่อ ๆ ดังที่มักจะดูถูกกันอยู่ในสมัยนั้น (แม้ในสมัยนี้!) เมื่อดูถูกพระไม่ได้ ก็จะยอมรับฟังคำสั่งสอนของพระโดยเต็มใจ-นี่คือเป้าหมายของการตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ ซึ่งก็คือเพื่อให้พระสามารถเผยแผ่พระศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
แต่ปัจจุบันนี้ มจร และ มมร ถูกนำเข้าไปอยู่ในอำนาจการบริหารจัดการของรัฐบาล เกือบจะเต็มรูปแล้ว กำลังแปรสภาพเป็นมหาวิทยาลัยทั่วไปของชาวโลก มีฆราวาสเข้ามาเรียนเหมือนมหาวิทยาลัยทั่วไป มีฆราวาสดำรงตำแหน่งผู้บริหาร แม้ว่าขณะนี้ตำแหน่งอธิการบดียังเป็นของพระภิกษุอยู่ แต่เชื่อได้แน่ว่าอีกไม่นาน ฆราวาสจะดำรงตำแหน่งอธิการบดี ผู้บริหารและคณะอาจารย์จะเป็นฆราวาสทั้งหมด นั่นคือ มจร และ มมร เป็นมหาวิทยาลัยทางโลกเต็มตัว
นี่คือภาพรวมของสิ่งที่เราเรียกกันว่า “ระบบการศึกษา” ที่จัดอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อมาถึงขั้นนี้ จะเห็นได้ว่า ระบบการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่-ศึกษาเพื่อใช้งานอย่างที่เป็นมาแต่เดิม หากแต่เบี่ยงเบนไปอยู่ที่-ศึกษาเพื่อจบการศึกษา เพราะจบการศึกษาหมายถึงการมีศักดิ์และได้สิทธิ์ตามที่กำหนด
.........................................................
ศักดิ์และสิทธิ์เป็นสิ่งที่ต้องการ
เอาความรู้ไปใช้งานไม่มีใครคิดคำนึง
.........................................................
เพราะเป้าหมายของการศึกษามุ่งไปที่ “จบการศึกษา” และเกณฑ์จบการศึกษาก็มีกำหนดไว้แน่นอน นักเรียนนักศึกษาตามระบบนี้จึงมุ่งไปที่-ทำอะไรอย่างไรก็ได้ให้ได้ตามเกณฑ์ เพราะนั่นหมายถึงจะได้จบการศึกษา และนั่นหมายถึงจะได้ศักดิ์และมีสิทธิ์
ที่ว่า “ทำอะไรอย่างไรก็ได้ให้ได้ตามเกณฑ์” นั้น แม้-ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ก็ทำกันมาแล้วและยังทำกันอยู่ ดังที่รู้กันว่ามีการรับจ้างเรียน รับจ้างสอบ รับจ้างทำวิทยานิพนธ์ รวมความว่า-รับจ้างทำให้จบการศึกษา ยังทำกันอยู่จนทุกวันนี้
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อก็คือ การ “ทำอะไรอย่างไรก็ได้ให้ได้ตามเกณฑ์” นี้ เกิดขึ้นแม้กระทั่งในการศึกษาของคณะสงฆ์ นั่นคือ การทำทุจริตในการสอบนักธรรม-บาลี
โปรดเข้าใจว่า การศึกษาของคณะสงฆ์เป็นการศึกษาพระธรรมวินัย หัวใจของพระธรรมวินัยคือการไม่ทำทุจริต
การเรียนพระธรรมวินัยก็คือการเรียนวิธีไม่ทำทุจริต
ที่ว่านี้ไม่ได้ว่าเอาเอง แต่ว่าตามหลักพระธรรมวินัยที่ปรากฏอันเป็นที่รู้ทั่วกัน นั่นคือ “โอวาทปาติโมกข์”
ตรงนี้ขออนุญาตขยายความ-อาจจะยาวหน่อย
........................
โอวาทปาติโมกข์นั้นเป็นหัวใจของคำสอนในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาแล้วกี่พระองค์ และที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้าอีกกี่พระองค์ มีหัวใจของคำสอนที่เรียกว่า “โอวาทปาติโมกข์” ตรงกันหมดทุกพระองค์
ขออนุญาตยกข้อความจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “โอวาทปาติโมกข์” มาเสนอไว้ในที่นี้เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้
.........................................................
โอวาทปาติโมกข์ [โอ-วา-ทะ-ปา-ติ-โมก]
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (อรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ เป็นเวลา ๒๐ พรรษาก่อนที่จะโปรดให้สวดปาติโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),
คาถาโอวาทปาติโมกข์ มีดังนี้
สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ฯ
อนูปวาโท อนูปฆาโต
ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ
ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ
แปล:
การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑
การบำเพ็ญแต่ความดี ๑
การทำจิตต์ของตนให้ผ่องใส ๑
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพานเป็นบรมธรรม
ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
ผู้เบียดเบียนคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑
ความสำรวมในปาติโมกข์ ๑
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑
ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิตต์ ๑
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
(จบข้อความจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ฯ)
.........................................................
(ยังมีต่อ)
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗
๑๕:๓๖
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ