คำว่า “แพะรับบาป” ไม่มีในพุทธศาสนา
โดยหลักการของพุทธศาสนาแล้ว ไม่มีอะไรเป็นแพะ…มันมีเหตุ-ผลของมันมาแล้ว…เพียงแต่เราตามหาเหตุ มันไม่พบเท่านั่นเอง…เพราะเหตุมันอาจอยู่ไกล (ทูเรนิทาน..อดีตชาติ) …หรือเหตุไม่ไกล (อวิทูเรนิทาน) แต่เราลืมไปแล้ว…ว่าเราได้ทำกรรมอันเป็นอกุศลอะไรไว้…//
แต่เรื่องนี้ในทางพุทธศาสนา จะไม่นำมากล่าวลอย ๆ เพราะจะเป็นเหตุถกเถึยงกัน…และผลกรรม ก็เป็นอจินไตย คือไม่สามารถรู้อย่างถ่องแท้ได้ด้วยการคิดนึกเอา ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า “อจินไตย” (ไม่ควรคิด)
เรื่องทำนองนี้…พระพุทธเจ้าจะตรัส ต่อเมื่อมีคนถาม อย่างเช่น ผลกรรมของพระจักขุบาล…ทำไมเป็นพระอรหันต์ถึงตองตาบอด, ผลกรรมของพระพุทธเจ้าเอง ทำไมเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงต้องโดนสะเก็ดหินที่พระบาท…ผลกรรมของอุบาสกคนหนึ่ง ไปจำศีลอุโบสถในวัด แต่พอรุ่งเช้าเดินทางกลับบ้าน กลับถูกโจรฆ่าตายกลางทาง…. ฯลฯ และเรื่องอื่น ๆ อีกเยอะแยะ… พระพุทธเจ้าจะตรัสบอกต่อเมื่อมีภิกษุมาถาม… และคำถามนี่เอง จึงเป็นเหตุเกิดแห่งพระสูตรต่าง ๆ
(เหตุเกิดแห่งพระสูตร มี ๔ อย่าง) คือ
๑. เกิดเพราะอัธยาศัยของพระองค์เอง คือพระพุทธเจ้าตรัสขึ้นมาเอง
๒. เกิดเพราะอัธยาศัยของบุคคลอื่น คือตรัสยกเรื่องราวของบุคคลอื่น
๓. เกิดด้วยอำนาจของคำถาม อย่างเช่นผลกรรมของบุคคลต่าง ๆ หรืออย่างมงคลสูตร
๔. เกิดเพราะเกิดเรื่องขึ้น คือมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นก็ทรงแสดงธรรม
สพฺพสุตฺตานญฺหิ อตฺตชฺฌาสยา ปรชฺฌาสยา อตฺถุปฺปตฺติกา ปุจฺฉาวสิกา จาติ จตุพฺพิธา อุปฺปตฺติ โหติ ฯ (อรรถกถา มงคลสูตร)
อีกประการหนึ่ง
คำพูดที่ว่า “คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่า” นั้น // ความหมายลึก ๆ ก็คือว่า ร่างกายและจิตใจของมนุษย์นี้ เกิดมาด้วยอำนาจผลของกรรมในอดีตชาติ … หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่า เพราะมีอดีตเหตุ จึงมีปัจจุบันผล (มีอดีตกรรม จึงมีปัจจุบันผล)
(อดีตเหตุ คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน + สังขาร และกัมมภวะ) จริง ๆ แล้ว อดีตเหตุ ได้แก่ อวิชชา และ สังขาร แต่เวลาเรากระทำกรรมจริงๆ จะมีตัณหานุสัย และทิฏฐานุสัย ซึ่งก็ได้แก่ ตัณหาและอุปาทานนั่นเองเป็นแรงผลักดันร่วมด้วยเสมอ (สังขาร ก็คือ เจตนาในกุศลและอกุศลจิต)
เมื่อมีอดีตเหตุแล้ว ก็ต้องมีปัจจุบันผล ซึ่งก็ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตน ผัสสะ เวทนา ฯ วิญญาณ แบ่งเป็นสองอย่าง คือ ปฏิสนธิวิญญาณ และปวัตติวิญญาณ
– ปฏิสนธิวิญญาณ เป็นตัวทำให้สัตว์เกิดขึ้นในภพภูมิต่าง ๆ
– ส่วนปวัตติวิญญาณ ก็คือจิตดวงต่อ ๆ มา มีภวังคจิตเป็นต้น… คือเป็นจิตที่เกิดหลังจากปฏิสนธิวิญญาณจิต ดับลงไปแล้ว…
วิญญาณทั้งสองอย่างนี้ แบ่งออกเป็น ๒ อย่างอีก คือ
– ที่เป็นผลของอกุศลกรรม อย่างหนึ่ง
– และที่เป็นผลของกุศลกรรมอย่างหนึ่ง
* การเกิดมาเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ก็คือปฏิสนธิวิญญาณที่เป็นผลมาจากกุศลกรรมในอดีต นั่นเอง
ในที่นี้จะกล่าวถึงการเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น
เมื่อปฏิสนธิวิญญาณ ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมในอดีตทำหน้าที่ปฏิสนธิในท้องของแม่แล้ว มนุษย์ก็ได้ชื่อว่า เกิด หรือกำเนิดขึ้น ซึ่งปฏิสนธิวิญญาณนี้ ในทางพระสูตรเรียกว่า คันธัพพะถือปฏิสนธิ อย่างที่ท่านกล่าวว่า สัตว์ถือเอากำเนิดในครรภ์มารดา เพราะ
– บิดามารดาอยู่ร่วมกัน ๑
– มารดามีระดู (ไข่ที่สุกพร้อม) ๑,
– คันธัพพะ (ปฏิสนธิวิญญาณ) หยั่งลง ๑
เมื่อว่าโดยหลักของปฏิจจสมุปบาท เหต-ผล จะเป็นไปในลักษณะ ๔ อย่าง (สนธิ ๔ ) คือ
๑) อดีตเหตุ ได้แก่ อวิชชา, สังขาร
๒) ปัจจุบันผล ได้แก่ วิญญาณ, นาม-รูป, สฬายตนะ, ผัสสะ, เวทนา
๓) ปัจจุบันเหตุ ได้แก่ ตัณหา, อุปาทาน ภวะ (กัมมภวะ)
๔) อนาคตผล ได้แก่ ภวะ (อุปปัตติภวะ) ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เมื่อว่าโดย วัฏฏะ ๓ แล้ว ก็จะได้ดังนี้
๑) อวิชชา, ตัณหา, อุปาทาน เป็นกิเลสวัฏฏ์
๒) สังขาร, กัมมภวะ เป็น กัมมวัฏฏ์
๓) วิญญาณ, นาม-รูป, สฬายตนะ, ผัสสะ, เวทนา, อุปปัตติภวะ, ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จัดเป็น วิปากวัฏฏ์
เมื่อเวลาเราได้รับความทุกข์ และความสุข หรือเฉย ๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตที่เกิดขึ้นทำหน้าที่รับรู้ เป็นจิตที่เป็นวิบาก (ผล) เป็นส่วนมาก เช่นวิบากจิตที่เกิดทางทวารทั้ง ๕ ถ้าเกิดพ้นจากการเป็นวิบาก คือเป็นโสมนัสบ้าง เป็นโทมนัสบ้าง และอุเบกขาบ้าง ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมด้วยกุศลจิต อกุศลจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง ผลนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นเหตุ ซึ่งเรียกว่าปัจจุบันเหตุ อันจะส่งผลให้เกิดอนาคตผลต่อไปอีก…. เช่น เกิดโทสะขึ้นในจิตใจแล้วกระทำกรรม คือการฆ่าสัตว์ (กระบวนการจะเป็นไปทำนองนี้…)
– จิตซึ่งเป็นวิบากจิต (ภวังค์) เกิดขึ้นกระทบกับอารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนา) ทางปัญจทวาร แล้วไปกระตุ้นเตือนปฏิฆานุสัย (อนุสัยกิเลส)
– วิบากจิตนั้นนั่นเองซึ่งถูกปฏิฆานุสัยซึ่งนอนเนื่องในขันธสันดานถูกกระตุ้นด้วยอนิฏฐารมณ์อย่างแรงได้แปรเปลี่ยนเป็น โทสะจิต หรือโทสมูลจิต (ทางมโนทวาริกวิถีจิต) (ปริยุฏฐานกิเลส)
– และในขณะที่โทสะมูลจิตเกิดขึ้น ในขณะนั้น เวทนาจัดเป็น โทมนัสสเวทนา คือความทุกข์ทางใจ (ปริยุฏฐานกิเลส)
– ในขณะเกิดโทสะนั้น มีเจตนาในการฆ่าสัตว์ เจตนานั้น จัดเป็นอกุศลกรรม (เจตะนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ) (ปริยุฏฐานกิเลส)
– ถ้าทำการฆ่าสัตว์สำเร็จลง ก็ถือว่า ทำปาณาติบาตสำเร็จครบองค์ประกอบจัดเป็นอกุศลกรรมบถ (วีติกกมกิเลส) ก็จะก่อให้เกิดวิบาก คือปฏิสนธิวิญญาณ ที่รอจะส่งผลให้เกิดในภพต่อไป ซึ่งเป็น อนาคตผล …(ดูคำว่า อนาคตผล)
จะเห็นได้ว่า (กล่าวโดยปุคคลาธิษฐาน)
– ตัวตนของมนุษย์นั้น เป็นทั้ง ปัจจุบันผล คือเป็นผลที่มาจากเหตุในอดีต , และขณะเดียวกันก็เป็นปัจจุบันเหตุ คือจะก่อผลในอนาคตอีก ซึ่งเรียกว่า “อนาคตผล”
– ที่กล่าวว่า เป็นปัจจุบันเหตุ ก็เพราะว่า มนุษย์จะอาศัยร่างกาย และจิตใจนั้นนั่นเอง ทำกุศลกรรมบ้าง และอกุศลกรรมบ้าง นั่นเอง ฯ
มีผู้ถามว่า :-
ถาม “คันธัพพะ” มาจากไหน ? ตอบว่า ก็มาจาก สังขาร (เจตนาใน กุศลจิต,อกุศลจิต)
สังขาร มาจากไหน ? ก็มาจาก อวิชชา ฯ
อวิชชา มาจากไหน ? ก็มาจากอาสวะ (โลภะ ทิฏฐิ)
โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ท่านจัดเป็นอาสวะ สิ่งที่หมักดองอยู่ในขันธสันดานของสัตวท์ทั้งหลาย …. ที่ท่านกล่าวว่า หาเบื้องต้น (อาทิ) และเบื้องปลาย (ปริโยสาน) ไม่พบ ฯ
โลภะ ทิฏฐิ มาจากไหน ? ก็มาจาก อวิชชา (โมหะ) คือความหลง ไม่รู้ // ถ้ารู้เมื่อไร (ปัญญาในอรหัตตมรรค) โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ก็จะหายไป เมื่อนั้น ฯฯฯ
ปัญหาโลกแตก –
อวิชชา มาจากไหน ? ตอบ โลภะ ทิฏฐิ
โลภะ ทิฏฐิ มาจากไหน ? ตอบ อวิชชา
----------------
VeeZa
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ