บทความชุด “ทำบุญวันพระ” (๒๑)

------------------------------

ถวายสังฆทาน (๓)

------------------------------

ของที่ถวายเป็นสังฆทานแล้ว ไปไหน?

ทบทวนกันก่อนว่า ของที่เราถวายพระนั้นมี ๒ สถานะ คือ ถวายเป็นของส่วนตัว เรียกว่า “บุคลิกทาน” และถวายเป็นของส่วนรวม เรียกว่า “สังฆทาน” จะเป็นทานแบบไหน ตัดสินกันที่เจตนา ไม่ใช่ตัดสินกันที่สิ่งของ

สิ่งของชนิดเดียวกัน หรือแม้แต่ชิ้นเดียวกันนั่นเอง เอาไปถวายพระให้เป็นของส่วนตัวของท่าน ก็เป็น “บุคลิกทาน” เอาไปถวายให้เป็นของสงฆ์ ก็เป็น “สังฆทาน” 

ขอย้ำตรงนี้ เพื่อถอนรากเหง้าของความวิปริตที่คิดว่า “สังฆทาน” คือถังหรือชุดที่มีผู้ผลิตขึ้นเพื่อให้คนซื้อเอาไปถวายพระ แล้วก็พากันเข้าใจผิดไปทั่วโลกว่านั่นคือถวายสังฆทาน

ของที่ถวายเป็น “บุคลิกทาน” พระรับไปแล้วไม่ต้องทำอะไร ของฉันก็ฉันได้เลย ของใช้ก็ใช้ได้เลย จะไม่ฉันไม่ใช้ เอาไปให้ใครต่อไปอีก ก็ทำได้เลย เพราะเป็นของส่วนตัว เป็นสิทธิ์ขาด

แต่ของที่ถวายเป็น “สังฆทาน” ทำเช่นนั้นไม่ได้ รับไปแล้วต้องทำกรรมวิธีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดเสียก่อนจึงจะฉันจะใช้ได้

ตรงนี้แหละที่ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้

ไม่รู้ยังพอว่า ไม่รับรู้และไม่ปรารถนาจะรับรู้เรียนรู้ นี่สิน่าอนาถใจ

ตัวเองถวายให้เป็นของสงฆ์เองแท้ๆ มิหนำซ้ำยังเชื่ออีกด้วยว่าถวายสังฆทานแล้วได้กุศลแรง แต่กลับไม่รู้ว่าสงฆ์จะต้องเอาของที่ตัวถวายนั้นไปทำอะไร

นี่คือศรัทธาที่ขาดปัญญา-เวลานี้เป็นอย่างนี้ทั่วไปหมด

มีแต่ศรัทธาที่จะทำบุญ

แต่ไม่มีปัญญาแม้ในเรื่องบุญที่ตนกำลังทำนั่นเอง

ฝ่ายชาววัดที่ควรจะถือโอกาสนี้ให้ปัญญาแก่ชาวบ้าน แต่ก็ไม่ทำอะไร-นอกจากทำพิธี

ขอประทานโทษที่บ่นบ่อย อยากจะให้อะไรๆ มันดีขึ้นมาบ้างน่ะขอรับ

ของที่ชาวบ้านถวายเป็นสังฆทานอยู่ในฐานะเป็น “ของสงฆ์” เป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดชน่าอัศจรรย์มาก ยากที่จะอธิบายได้ว่าเป็นเพราะอะไร

กินของสงฆ์ โกงของสงฆ์ วิบัติทุกราย ช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่วิบัติทุกรายจริงๆ

สมด้วยพุทธพจน์ในธัมมปทคาถาที่ตรัสไว้ว่า -

.........................................................

ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ       ยาว ปาปํ น ปจฺจติ 

ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ        อถ ปาโป ปาปานิ ปสฺสติ ฯ 

เมื่อบาปยังไม่ส่งผล  คนชั่วก็เห็นว่าเป็นของดี 

ต่อเมื่อมันเผล็ดผลเมื่อใด  เมื่อนั้นแหละเขาจึงรู้พิษสงของบาป 

For the evil-doer all is well, 

While the evil ripens not; 

But when his evil yields its fruit, 

He sees the evil results.

ที่มา: ปาปวรรค ธัมมปทคาถา พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๙

สำนวนแปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ:

หนังสือ “พุทธวจนะในธรรมบท” โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

.........................................................

เพราะฉะนั้น คนเก่าจึงถือกันมาก-ของสงฆ์อย่าทำเป็นเล่น

ทำความเข้าใจกับของสงฆ์ต่อไปครับ

ของที่มีผู้ถวายเป็น “ของสงฆ์” มี ๒ ประเภท คือ ของที่เป็นครุภัณฑ์ กับของที่เป็นลหุภัณฑ์ 

นี่ก็เป็นหลักวิชาอีกอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านไม่รู้

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกความหมายของ “ครุภัณฑ์” และ “ลหุภัณฑ์” ไว้ดังนี้ - 

....................................................

(๑) ครุภัณฑ์ : ของหนัก เช่น กุฎี ที่ดิน เตียง ตั่ง เป็นต้น; คู่กับ ลหุภัณฑ์

(๒) ลหุภัณฑ์ : ของเบา เช่น บิณฑบาต เภสัชและของใช้ประจำตัว มีเข็ม มีดพับ มีดโกน เป็นต้น; คู่กับ ครุภัณฑ์

....................................................

อาจจำเป็นหลักไว้ว่า - 

ครุภัณฑ์ : ของส่วนกลางหรือของสงฆ์ที่ภิกษุใช้ร่วมกัน

ลหุภัณฑ์ : ของฉันของใช้ส่วนตัวของภิกษุ

..................

ศึกษาหาความรู้เรื่อง “ครุภัณฑ์” ต่อไปอีกหน่อย รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม

ในคัมภีร์ระบุรายชื่อสิ่งที่เรียกว่า “ครุภัณฑ์” ไว้ดังนี้ - 

.........................................................

 (๑) อาราโม = สวน (หมายถึงพืชผลในสวน)

(๒) อารามวตฺถุ = ที่ดินที่ตั้งสวน

(๓) วิหาโร = วิหาร (หมายถึงอาคาร สิ่งปลูกสร้าง)

(๔) วิหารวตฺถุ = ที่ดินที่ตั้งอาคาร

(๕) มญฺโจ = เตียง 

(๖) ปีฐํ = ตั่ง 

(๗) ภิสี = ฟูก 

(๘ ) พิมฺโพหนํ = หมอน 

(๙) โลหกุมฺภี = หม้อโลหะ 

(๑๐) โลหภาณกํ = อ่างโลหะ 

(๑๑) โลหวารโก = กระถางโลหะ 

(๑๒) โลหกฏาหํ = กระทะโลหะ 

(๑๓) วาสี = มีด 

(๑๔) ผรสุ = ขวาน 

(๑๕) กุฐารี = ผึ่ง 

(๑๖) กุทฺทาโล = จอบ 

(๑๗) นิขาทนํ = สว่าน 

(๑๘) วลฺลี = เถาวัลย์ 

(๑๙) เวฬุ = ไม้ไผ่ 

(๒๐) มุญฺชํ = หญ้ามุงกระต่าย 

(๒๑) ปพฺพชํ = หญ้าปล้อง 

(๒๒) ติณํ = หญ้าสามัญ 

(๒๓) มตฺติกา = ดินเหนียว 

(๒๔) ทารุภณฺฑํ = เครื่องไม้ 

(๒๕) มตฺติกาภณฺฑํ = เครื่องดิน 

ที่มา: วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๑ ข้อ ๒๓๐

.........................................................

ของอื่นๆ นอกรายการที่ระบุไว้นี้ คือ “ลหุภัณฑ์”

จะปฏิบัติอย่างไรกับครุภัณฑ์และลหุภัณฑ์?

ในพระวินัยปิฎก มีพระพุทธพจน์ตรัสไว้ดังนี้ -

.........................................................

ยํ  ตตฺถ  ลหุภณฺฑํ  ลหุปริกฺขารํ  ตํ  สมฺมุขีภูเตน  สงฺเฆน  ภาเชตุํ  

บรรดาสิ่งของเหล่านั้น สิ่งใดเป็นลหุภัณฑ์ลหุบริขาร สิ่งนั้นเราอนุญาตให้สงฆ์พร้อมเพรียงกันแบ่ง

ยํ  ตตฺถ  ครุภณฺฑํ  ครุปริกฺขารํ  ตํ  อาคตานาคตสฺส  จาตุทฺทิสสฺส  สงฺฆสฺส  อวิสฺสชฺชิกํ  อเวภงฺคิกนฺติ  ฯ

บรรดาสิ่งของเหล่านั้น สิ่งใดเป็นครุภัณฑ์ครุบริขาร สิ่งนั้นเป็นของสงฆ์ผู้อยู่ในจตุรทิศทั้งที่มาแล้วและยังไม่มา ไม่ควรแบ่งไม่ควรแจก.

ที่มา: วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๑๖๗

.........................................................

ได้หลักว่า ครุภัณฑ์ สงฆ์ได้รับแล้วไม่ต้องแจก ใครมีหน้าดูแลก็รับเอาไปดูแลต่อไป จะเก็บเข้าคลังหรือเอาไว้ที่ไหนก็บริหารจัดการไป

ลหุภัณฑ์ สงฆ์ได้รับแล้วต้องแบ่งแจกกันไป จะแจกกันอย่างไร แจกให้ใคร ก็ตกลงกันตามที่เห็นสมควร

เมื่อได้หลักดังนี้แล้ว ต่อไปก็ไปดูของที่ญาติโยมถวายเป็นของสงฆ์ที่นิยมถวายกันในทุกวันนี้-ที่เรียกรู้กันว่า “ถวายสังฆทาน” ของที่ว่านี้เป็นครุภัณฑ์หรือลหุภัณฑ์

เปิดถัง-แกะกล่อง เทของออกมาดู จะเห็นว่า ของในถังในกล่องเป็นลหุภัณฑ์เป็นส่วนมาก จะว่าทั้งหมดเลยก็ว่าได้

และเมื่อจำแนกดู ของที่ถวายเป็นสังฆทานก็มี “ของฉัน” (ของกิน) กับ “ของใช้” ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นของใช้ประจำตัว ก็เป็นอันแน่นอนว่าของที่เราถวายเป็นสังฆทานกันทุกวันนี้เป็นลหุภัณฑ์ทั้งสิ้น 

ของที่เป็นลหุภัณฑ์ เมื่อรับแล้วต้องแจกกันตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดเสียก่อนจึงจะฉันจะใช้ได้

อันที่จริง การแบ่งแจกลหุภัณฑ์นั้น ใครไปทำบุญวันพระที่วัดย่อมจะต้องเคยเห็น สงฆ์ท่านทำให้เห็นทุกวันพระ แต่คนส่วนมากไม่รู้ไม่เข้าใจ นั่นก็คือที่เราเรียกกันว่า “อปโลกน์” นั่นเอง

อปโลกน์คืออะไร ตอนหน้ามาว่ากันครับ

--------------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

๑๕:๑๘

[full-post]

ทำบุญวันพระ

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.