สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ
ในสติปัฏฐาน บัพพะที่มีแต่รูป เช่น อิริยาบถพัพพะ มี รูปยืน เป็นต้น ผู้ปฏิบัติ จะมีโอกาศเห็นนามได้ชัดเหมือนเห็นรูปหรือไม่?
ความข้อนี้หาเป็นไปอย่างที่พากันคลางแคลงใจนั้นไม่ เพราะถ้าหากผู้ปฏิบัติกำหนดรูปได้ด้วยความชำนาญ จนกรรมฐาน คือ รูปปรากฏชัดเจนดีแล้ว แม้กรรมฐาน คือ นาม ผู้ปฏิบัติก็ย่อมถึงความชำนาญและปรากฏชัดเจนด้วย ด้วยว่าธรรมทั้งสองนี้ เนื่องกันอยู่ คือรูปเป็นสิ่งที่ถูกกำหนด ถูกรู้ ส่วนนามอันมีสติสัมปชัญญะเป็นประธาน เป็นผู้กำหนด ผู้รู้ ฉะนั้น เมื่อสิ่งที่ถูกรู้ คือรูป ปรากฏชัดเจน คือ เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์หมดจดจากอัตตาด้วยดีแล้ว สิ่งที่เป็นผู้รู้คือนาม ซึ่งเนื่องกันอยู่ ก็ย่อมปรากฏชัดเจนหมดจดไปด้วยเป็นธรรมดา
เปรียบเหมือนว่า เมื่อกระจกเงาไม่สะอาดหมดจด เพราะมีคราบมลทินต่างๆ มีคราบฝุ่นละอองเป็นต้น เกาะติดเปื้อนอยู่ บุคคลผู้ใช้กระจกเงานั้นส่องดูเงาหน้าของตน เงาหน้านั้นย่อมไม่ปรากฏชัด เมื่อขจัดปัดเป่าเช็ดถูคราบมลทินต่างๆเหล่านั้นออกไปจากพื้นผิวกระจกเงา จนกระจกเงาสะอาดหมดจดดีแล้ว เงาหน้าก็ย่อมปรากฏชัดขึ้นไ้ด้เอง
ทำนองเดียวกัน เมื่อผู้ปฏิบัติกำหนดรูปได้ชำนาญ รูปปรากฏชัดเจนหมดจดจากอัตตาด้วยดีแล้ว นามซึ่งเป็นผู้กำหนดรู้ ก็ย่อมปรากฏชัดเจนขึ้นมา โดยที่ผู้ปฏิบัติไม่ต้องใช้ความพยายามกำหนด เพื่อให้นามปรากฏชัดเจน เป็นอีกกิจหนึ่งต่างหากเช่นกันแล ขอเพื่อนสหธรรมิกผู้ใคร่ในการปฏิบัติพึงสิ้นความคลางแคลงด้วยอุปมาดังกล่าวเถิด พึงเพียรพยามต่อไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อเกิดญาณที่เห็นว่า มีแต่รูปมีแต่นามไม่มีอัตตา สัตว์ บุคคล หญิง ชาย ได้แล้ว นามและรูปนั้นนั่นแหละจะแสดงความจริงให้เห็นยิ่งๆขึ้นไป อันเป็นเหตุปัจจัยให้ญาณแก่กล้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆจนบรรลุที่สุดแห่งทุกข์ คือ พระนิพพานได้แล.
(นิสสยอักษรปัลลวะ อักษรสิงหล)
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ