สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ

ทานกับการรบเสมอกันอย่างไร

   ถาม ที่ปราชญ์กล่าวกันว่า ทานกับการรบเสมอกันนั้น ช่วยอธิบายให้แจ่มแจ้งด้วย

   ตอบ ในเรื่องนี้ลองคิดกันอย่างธรรมดาก็ได้ว่า ในการรบ คือเวลามีศึกสงครามนั้น ทหารที่ออกไปรบต้องมีกำลังเข้มแข็ง มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ไม่ขลาดกลัว จึงจะสามารถเอาชนะข้าศึกได้ การรบต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ไม่กลัวตายฉันใด

การให้ทานก็ฉันนั้น คือผู้ที่จะสละสื่งของออกให้ทานแก่ผู้อื่นได้นั้น ต้องกล้าหาญ มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่เสียดายข้าวของ ชนะความตระหนี่ได้ จึงจะสามารถให้ทานได้ ลองฟังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้แล้วท่านจะทราบว่า การให้ทานนั้นให้ยากเพียงไร

   ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เศรษฐีกรุงสาวัตถีคนหนึ่งตายลง โดยไม่มีบุตรหรือทายาทที่จะรับช่วงทรัพย์สมบัติ พระราชาปเสนทิโกศลจึงทรงให้ ราชบุรุษขนทรัพย์สมบัติทั้งหมดเข้ามาไว้ในพระราชวัง แล้วพระองค์เสด็จไปเฝ้าพระ ผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ พร้อมทั้งกราบทูลว่า เศรษฐีผู้นี้มีเงินถึง ๑๐ ล้าน โดยมิต้องพูดถึงสมบัติอย่างอื่น ถึงกระนั้นเศรษฐีนั้นก็บริโภคปลายข้าวกับน้ำผักดอง ใช้เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าเนื้อหยาบที่ตัดเป็นสามชิ้นเย็บติดกัน ใช้ยานพาหนะคือ รถเก่าๆ กั้นร่มทำด้วยใบไม้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสเล่าถึงชีวิตของเศรษฐีผู้นี้ในอดีตให้ทราบว่า ในอดีตชาติท่านผู้นี้เป็นเศรษฐี มีใจตระหนี่ ไม่ยินดีในการให้ทาน วันหนึ่งได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า ตคระสิขี ผู้เป็นบุตรของนางปทุมวดี มาจากภูเขาคันธมาทน์เพื่อบิณฑบาต ท่านเดินมาจนถึงประตูเรือนของท่านเศรษฐีด้วยอากัปกิริยา ที่น่าเลื่อมใส วันนั้นเศรษฐีตื่นแต่เช้า บริโภคอาหารอันประณีตแต่เช้าแล้วบ้วนปากล้างฟันอยู่ เมื่อเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เกิดจิตคิดจะให้ทาน จึงสั่งภรรยาให้ถวายบิณฑบาตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น แล้วตนเองก็หลีกไป คือสั่งภรรยาให้ถวาย ตนเองมิได้ ถวายเอง

   ฝ่ายภรรยาท่านเศรษฐีก็คิดว่า ตั้งนานมาแล้วยังไม่เคยได้ยินท่านเศรษฐีสั่งให้ถวายทานเลย แต่วันนี้ท่านเศรษฐีแม้จะสั่งให้ถวายทานก็มิได้สั่งให้ถวายแก่ผู้นั้นผู้นี้ แต่สั่งให้ ถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ แล้ว เพราะฉะนั้นเราจะต้อง จัดบิณฑบาตอันประณีตถวาย ภรรยาท่านเศรษฐีคิดดังนั้นแล้วก็ออกไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์ รับบาตรมาแล้วนิมนต์ให้นั่งบนอาสนะที่จัดไว้ในเรือน ปรุงอาหารอย่างดี มีข้าวสารข้าวสาลีที่มีเมล็ดงาม ที่หุงดีแล้ว พร้อมกับกับข้าวที่มีรสอร่อย อบด้วยของหอม บรรจงวางลงในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วไหว้โดยเคารพ พระปัจเจกพุทธเจ้าคิดจะสงเคราะห์พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์อื่นๆด้วย จึงยังมิได้ฉัน แต่ได้กระทำอนุโมทนาแล้วหลีกไป ฝ่ายเศรษฐีกำลังเดินมาแต่ข้างนอก เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงถามว่า ข้าพเจ้าสั่งให้เขาถวายอาหารบิณฑบาตแก่ท่านแล้วก็หลีกไป ท่านได้ บิณฑบาตแล้วหรือขอรับ พระปัจเจกพุทธเจ้ารับว่า ได้แล้วท่านเศรษฐี เศรษฐีใคร่จะรู้ว่า เขาเอาอาหารอะไรถวาย จึงชะโงกดูที่บาตร ขณะนั้นกลิ่นอาหารหอมฟุ้งกระทบจมูกท่านเศรษฐี เขาเกิดความเสียดายว่า บิณฑบาตนี้ ถ้าให้ทาสหรือกรรมกรบริโภคยังจะดีกว่า มีประโยชน์กว่า

    ยิ่งกว่านั้น เศรษฐีนั้นเมื่อสมัยที่ยังมิได้แบ่งทรัพย์สมบัติกันกับพี่ชาย พี่ชายตายไป เขาได้ภรรยาพี่ชายเป็นภรรยา ก็พี่ชายมีบุตรชายคนหนึ่ง ด้วยความโลภอยากได้สมบัติทั้งหมดคนเดียว จึงคิดอุบายพาหลานชายไปป่าแล้วฆ่าเสีย ขุดหลุมฝังไว้ ด้วยกรรมทั้งที่เป็นบุญที่มีจิตคิดถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวนั้นกับการฆ่าหลานชายด้วยกรรมอันลามก เขาจึงเกิดในสวรรค์ ๗ ครั้ง เกิดในตระกูลเศรษฐี ๗ ครั้ง ด้วยอำนาจของกรรมดีนั้น ส่วนกรรมลามกที่เขาฆ่าหลานชาย ทำให้ถูกเผาอยู่ในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากที่เหลือของกรรมชั่วนั้น ทรัพย์สมบัติของเขาที่ไม่มีบุตรรับมรดก จึงต้องถูกขนเข้าท้องพระคลังเป็นครั้งที่ ๗ คือถูกขนเข้าท้องพระคลังถึง ๗ ครั้งแล้ว

   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าต่อไปว่า บุญเก่าของเศรษฐีนั้นหมดแล้ว บุญใหม่ ก็มิได้สะสมไว้ ในวันนี้เขาถูกไฟเผาอยู่ในมหาโรรุวนรก แล้วตรัสพระคาถาว่า ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทอง หรือข้าวของที่หวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่งที่อยู่ ทาส กรรมกร คนใช้ และผู้อาศัยของเขา เขาจึงพาเอาไปไม่ได้ทั้งหมด จะต้องละไว้ทั้งหมด ก็บุคคลใดทำกรรมใดด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ กรรมนั้นแหละเป็นของเขา และเขาย่อมพาเอากรรมนั้นไป อนึ่ง กรรมนั้นย่อมติดตามเขาไปเหมือนเงาตามตนฉะนั้น เพราะฉะนั้นบุคคลควรทำกรรมดี สั่งสมไว้สำหรับภายหน้า บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก (จากทุติยาปุตตกสูตร สัง. สคาถวรรค ข้อ ๓๙๐)

   จากเรื่องที่ยกมาเล่านี้ก็คงจะเห็นว่า การที่จะมีจิตเลื่อมใสใคร่จะสละทรัพย์สิ่งของเป็นทานนั้นแสนยาก อย่างเศรษฐีผู้นี้ไม่เคยให้ทานเลย เพิ่งจะเกิดศรัทธาใคร่จะถวายทาน เมื่อได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้มีอากัปกิริยาที่น่าเลื่อมใส จึงสั่งภรรยาให้ถวายทาน แต่ ภรรยาเป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใส ยิ่งทราบว่าผู้รับทานคือพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสทั้งปวงแล้ว ก็ปีติโสมนัส หาอาหารที่ประณีตทั้งเลิศด้วยรส อบด้วยของหอม เรียกว่าทําอย่างดีจริงๆ นํามาถวายด้วยมือเองด้วยความเคารพ

   จริงอยู่แม้ของที่นำมาถวายทานจะเป็นของท่านเศรษฐี แต่นางเป็นผู้ตระเตรียม และจัดหาถวายด้วยความนอบน้อมเลื่อมใส ผลานิสงส์ที่นางจะได้รับย่อมมีมากแน่นอน ส่วน เศรษฐีนั้นแม้เพียงมีบุพเจตนาที่จะถวายทานเพียงอย่างเดียว เพราะเกิดเสียดายในภายหลัง ก็ยังได้รับผลานิสงส์ใหญ่ คือเกิดในสวรรค์ ๗ ครั้ง เกิดเป็นเศรษฐี ๗ ครั้ง ลองคิดดูว่า ถ้าเขาไม่เกิดเสียดายของที่ให้ไปแล้ว แต่เกิดกุศลจิตชื่นชมอนุโมทนาในภายหลัง เขาจะได้ รับผลานิสงส์มหาศาลสักเพียงไหน   

   จากเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ไม่ง่ายเลยที่จะให้ทาน คือยากนักที่จะเกิดเจตนาเสียสละข้าวของเงินทองให้แก่ผู้อื่น บางทีให้ไปแล้วก็ยังเกิดเสียดาย อย่างเศรษฐีผู้นี้ในอดีตชาติ ทานกับการรบจึงยากเสมอกัน เพราะต้องอาศัยความกล้าหาญ คือต้องมีศรัทธากล้า ความเลื่อมใสกล้า เห็นประโยชน์ในการบริจาค คือเห็นว่าผู้รับจะได้ประโยชน์มีความสุข เป็นต้น จากการบริจาคของเราและเห็นว่าแม้เราก็ได้รับประโยชน์ เพราะได้ให้ความสุขแก่ผู้อื่น และได้สละความตระหนี่หวงแหนออกไปจากใจ แม้จะ สละได้บางครั้งบางคราวก็ดีกว่าไม่ทำเลย คนที่สามารถบริจาคได้จึงควรแก่การอนุโมทนา ยกย่องสรรเสริญ ยิ่งบริจาคโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่บริจาคเพราะต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ ยิ่งควรยกย่องเป็นพิเศษ

   คนเราส่วนมากนั้นทำอะไรมักจะหวังผลตอบแทนอยู่เสมอ ลองทำความดีมีการ ให้ทาน เป็นต้น โดยไม่หวังผลตอบแทน แล้วท่านจะเกิดความสุขใจยิ่งกว่าการหวังผลตอบแทนเสียอีก เพราะว่าถ้าเราหวังผลตอบแทนแล้ว เราไม่ได้รับผลนั้นในเวลาที่เราหวังไว้ ก็จะเกิดความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ แต่ถ้าเราไม่หวังผลตอบแทนเลย เราก็ไม่นึกรอ หรือหวังจะได้อะไร เราทำความดีเพราะรู้ว่าเป็นความดี สมควรทำจึงทำ ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วผลดีมีแน่ ไม่ต้องหวังไม่ต้องรอ ถึงเวลาเราก็ได้รับ ถ้าทำความดีอย่างนี้แล้วท่านจะสบายใจ

   ขอโอกาสพูดถึงการให้ทานแล้วเกิดเสียดายในภายหลังสักนิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า การที่ท่านเศรษฐีนั้นแม้ตั้งใจให้ทานแล้วถวายไปแล้ว ภายหลังเกิดความเสียดายว่า บิณฑบาตนี้ให้ทาสหรือกรรมกรบริโภาคยังจะดีกว่า เพราะคนเหล่านั้นบริโภคไปแล้วก็จะมีกำลังวังชาทำงานให้เรา วิบากคือผลที่เขาได้รับจากอกุศลจิตที่คิดเสียดายนั้น ก็คือ จิตของเขาน้อมไปเพื่อบริโภคใช้สอยแต่ของที่เลวๆ ไม่ประณีต กล่าวคือ เขาเป็น เศรษฐีในชาตินี้ แต่กินข้าวกับน้ำผักดอง ใช้เสื้อผ้าเนื้อหยาบตัดเป็นสามชิ้นเย็บติดกัน ใช้รถก็เป็นรถเก่าๆ ใช้ร่มก็ใช้ร่มที่ทำด้วยใบไม้ทั้งๆ ที่เขามีเงินทองมากมาย จะใช้ ให้เลอเลิศอย่างไรก็ได้ บุตรหรือก็ไม่มี ถึงอย่างนั้นก็ยังเสียดาย ไม่ยอมใช้ ใช้ก็ใช้ แต่น้อย ใช้แต่ของไม่มีค่า เก็บงำสมบัติไว้ บุญก็ไม่ทำ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ สมบัติทั้งหมดไม่มีใครรับมรดกก็ตกเป็นของหลวง นี่เป็นผลที่เกิดจากความเสียดายของที่บริจาคไปแล้ว จิตจึงไม่น้อมไปเพื่อจะได้กามคุณห้าที่ดีที่ประณีต สมกับฐานะเศรษฐีของตน

   คนสมัยนี้ที่เป็นอย่างนี้ก็คงมี แต่คงจะมีน้อย มีแต่คนที่ยากจนแล้วไม่ทำตนให้สมฐานะ คือฟุ้มเฟือย ใช้จ่ายเกินตัว ต้องเป็นหนี้ ครอบครัวเดือดร้อน อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้อีกเหมือนกัน ทุกอย่างควรจะเป็นไปอย่างพอเหมาะพอดี สมแก่ฐานะความเป็นอยู่ของตนจึงจะถูกต้อง


[full-post]

ปกิณกธรรม,ทาน,การรบ

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.