อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ชื่อสัทธรรมปกาสินี ในขุททกนิกาย (ตอนที่ ๗/๗)  


๕๔. อรรถกถาทิพจักขุญาณุทเทส               

               ว่าด้วยทิพจักขุญาณ               

               คำว่า โอภาสวเสน - ด้วยสามารถแสงสว่าง.

               ความว่า ด้วยอำนาจแสงสว่างแห่งกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง คือเตโชกสิณ โอทาตกสิณ อาโลกกสิณอันเป็นอารมณ์แห่งจตุตถฌานอันแผ่ไปเพื่อเห็นรูปด้วยทิพยจักษุ.

               คำว่า นานตฺเตกตฺตรูปนิมิตฺตานํ - นิมิตคือรูปต่างกันและอย่างเดียวกัน.

               ความว่า รูปแห่งสัตว์ต่างๆ หรือรูปสัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในจำพวกที่มีกายต่างกัน หรือรูปทั้งหลายในทิศต่างๆ หรือรูปทั้งหลายที่ไม่ระคนกัน ชื่อว่า นานตฺตรูป - รูปต่างกัน.

               รูปแห่งสัตว์ผู้เดียว หรือรูปแห่งสัตว์ผู้เกิดในจำพวกที่มีกายอย่างเดียวกัน หรือรูปทั้งหลายในทิศเดียว หรือรูปทั้งหลายเข้ากันได้แห่งทิศต่างๆ เป็นต้น ชื่อ เอกตฺตรูป - รูปอย่างเดียวกัน.

               ก็ในคำว่า รูปํ นี้ ได้แก่ วัณณายตนะ (สี) เท่านั้น. เพราะวัณณายตนะนั้นย่อมแตกดับไป ฉะนั้นจึงชื่อว่ารูป.

               อธิบายว่า วัณณายตนะนั้น เมื่อถึงซึ่งวรรณวิการ - ความเปลี่ยนไปแห่งวรรณะ ก็ย่อมประกาศความถึงซึ่งหทัย. รูปนั่นแหละชื่อว่านิมิตคือรูป. แห่งนิมิตคือรูปต่างกันและอย่างเดียวกันเหล่านั้น.

               คำว่า ทสฺสนฏฺเฐ ปญฺญา - ปัญญาในอรรถว่าเห็น ได้แก่ปัญญาในการเห็นเป็นสภาวะ.

               คำว่า ทิพฺพจกฺขุญาณํ - ญาณในทิพจักขุ ชื่อว่าทิพย์ เพราะเป็นเช่นกับด้วยของทิพย์.

               ปสาทจักขุอันเป็นทิพย์ของทวยเทพอันเกิดขึ้นด้วยสุจริตกรรม อันไม่แปดเปื้อนด้วยมลทินทั้งหลายมีน้ำดีเสมหะและโลหิตเป็นต้น สามารถรับอารมณ์แม้ในที่ไกลได้เพราะพ้นจากมลทินเครื่องเศร้าหมอง.

               ญาณจักขุแม้นี้อันเกิดเพราะกำลังแห่งวีริยภาวนา ก็เป็นเช่นนั้นนั่นเอง ฉะนั้นจึงชื่อว่าทิพย์ เพราะเป็นเช่นกับของทิพย์,

               ชื่อว่าทิพย์ แม้เพราะเป็นธรรมอันตนอาศัยทิพวิหารธรรม เพราะได้เฉพาะด้วยอำนาจทิพวิหารธรรม, ชื่อว่าทิพย์ เพราะเป็นของรุ่งเรืองมากด้วยการกำหนดอาโลกะ - แสงสว่าง, ชื่อว่าทิพย์ แม้เพราะมีทางไปมาก ด้วยการเห็นรูปภายในฝาเรือนเป็นต้นได้.

               คำทั้งหมดนั้น พึงทราบตามครรลองแห่งคัมภีร์ศัพทศาสตร์.

               เพราะอรรถว่าเห็น จึงชื่อว่าจักขุ, ญาณนั้นเหมือนกับจักขุ แม้เหตุนั้นจึงชื่อว่าจักขุ, จักขุนั้นด้วยเป็นเพียงดังทิพย์ด้วย ฉะนั้นจึงชื่อว่าทิพจักขุ. ทิพจักขุนั้นด้วย ญาณด้วย รวมกันเป็นทิพจักขุญาณ - ญาณในทิพจักขุ.


               ๕๕. อรรถกถาอาสวักขยญาณุทเทส               

               ว่าด้วยอาสวักขยญาณ               

               คำว่า จตุสฏฺฐิยา อากาเรหิ - ด้วยอาการ ๖๔.

               ความว่า ด้วยอาการแห่งอินทรีย์อย่างละ ๘ ในมรรคผลหนึ่งๆ ทั้ง ๘ ในมรรคผลละ ๘ ละ ๘ จึงรวมเป็น ๖๔.

               คำว่า ติณฺณนฺนํ อินฺทฺริยานํ - อินทรีย์ ๓.

               ความว่า ในอินทรีย์ ๓ เหล่านี้คือ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์.

               คำว่า วสิภาวตา ปญฺญา - ปัญญาคือความเป็นผู้มีความชำนาญ.

               ความว่า ปัญญาอันเป็นไปแล้วโดยความเป็นผู้มีความชำนาญ, ปัญญาอันเป็นไปแล้วโดยความเป็นผู้มีความชำนาญแห่งอัญญาตาวินทรีย์นั่นแหละด้วยอาการ ๘ ด้วยสามารถแห่งอินทรีย์ ๘ ในอรหัตผล.

               คำนี้พึงทราบว่าท่านกล่าวแล้ว เพราะความสำเร็จผลนั้นด้วยสามารถแห่งการสำเร็จเหตุ แม้เพราะความไม่มีในขณะแห่งอรหัตมรรค.

               บทว่า อาสวานํ ขเย ญาณํ - ญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย.

               ความว่า อรหัตมรรคญาณอันกระทำความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอันตนฆ่าเสียแล้ว.


               ๔๖-๕๙. อรรถกถาทุกขสมุทยนิโรธมรรคญาณุทเทส               

               ว่าด้วยญาณในอริยสัจ               

               บัดนี้ เพื่อแสดงความตรัสรู้ด้วยญาณอันเดียวกันแห่งมรรคญาณหนึ่งๆ บรรดามรรคญาณทั้ง ๔ ด้วยการเกี่ยวเนื่องกับด้วยอรหัตมรรคญาณกล่าวคืออาสวักขยญาณ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรจึงได้ยกญาณทั้ง ๔ มีคำว่า ปริญฺญฏฺเฐ ปญฺญา - ปัญญาในอรรถว่ารู้รอบเป็นต้นขึ้นแสดง.

               บรรดาสัจจะทั้ง ๔ นั้น ทุกขสัจจะ ท่านกล่าวก่อน เพราะทุกขสัจจะเป็นของหยาบ เพราะมีอยู่ทั่วไปแก่สัตว์ทั้งปวงและเป็นของที่รู้ได้โดยง่าย, แล้วแสดงสมุทยสัจจะต่อจากทุกขสัจจะนั้น เพื่อแสดงเหตุแห่งทุกขสัจจะนั้น, ต่อจากนั้นก็แสดงนิโรธสัจจะ เพื่อจะให้รู้ว่า ผลดับก็เพราะเหตุดับ แล้วแสดงมรรคสัจจะในที่สุด เพื่อจะแสดงอุบายเป็นเครื่องบรรลุถึงซึ่งนิโรธสัจจะนั้น.

               อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวทุกข์ก่อนก็เพื่อจะให้เกิดความสังเวชแก่สัตว์ทั้งหลายผู้ติดอยู่ด้วยความยินดีสุขในภพ, ทุกข์นั้นมิใช่มีมาโดยไม่มีเหตุ มิใช่มีเพราะพระอิศวรนิรมิตเป็นต้น, แต่มีมาจากสมุทัยนี้ ฉะนั้น ท่านจึงได้กล่าวสมุทยสัจจะไว้ในลำดับแห่งทุกข์นั้น เพื่อจะให้รู้เนื้อความนี้, แล้วกล่าวนิโรธไว้เพื่อให้เกิดความยินดีแก่สัตว์ทั้งหลายผู้มีใจสลดแล้ว ผู้แสวงหาธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์ เพราะถูกทุกข์อันเป็นไปกับด้วยเหตุ คือสมุทัยครอบงำ, แล้วกล่าวมรรคอันให้ถึงนิโรธเพื่อให้บรรลุนิโรธ. ท่านได้ยกญาณทั้งหลายอันเป็นวิสัยแห่งสัจจะทั้ง ๔ นั้นขึ้นแสดงตามลำดับ ณ บัดนี้.

               บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ปริญฺญฏฺเฐ - ในอรรถว่ารู้รอบ.

               ความว่า ในสภาวะที่ควรรู้รอบ ๔ อย่างมีการเบียดเบียนเป็นต้นแห่งทุกข์.

               คำว่า ปหานฏฺเฐ - ในอรรถว่าละ.

               ความว่า ในสภาวะที่ควรละ ๔ อย่างมีการประมวลมาเป็นต้นแห่งสมุทัย.

               คำว่า สจฺฉิกิริยฏฺเฐ - ในอรรถว่ากระทำให้แจ้ง.

               ความว่า ในสภาวะที่ควรทำให้แจ้ง ๔ อย่าง มีการออกจากทุกข์เป็นต้นแห่งนิโรธ.

               คำว่า ภาวนฏฺเฐ - ในอรรถว่าเจริญ.

               ความว่า ในสภาวะที่ควรเจริญ ๔ อย่างมีการนำออกเป็นต้นแห่งมรรค.


               ๖๐-๖๓. อรรถกถาทุกขทุกขสมุทัยทุกขนิโรธ               

               ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณุทเทส               

               ว่าด้วยทุกขทุกขสมุทัยทุกขนิโรธทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ               

               บัดนี้ เพื่อจะแสดงสัจญาณเป็นแผนกๆ ไปด้วยสามารถแห่งการพิจารณาถึงมรรคที่ได้เจริญแล้วก็ดี ด้วยอำนาจการได้ยินได้ฟังของผู้ไม่ได้อบรมมรรคก็ดี พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรจึงยกเอาญาณ ๔ มีทุกขญาณเป็นต้นขึ้นแสดง.

               บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ทุกฺเข - ในทุกข์.

               ทุ ศัพท์ ในคำนี้ย่อมปรากฏในอรรถว่าน่าเกลียด. ชนทั้งหลายย่อมเรียกบุตรน่าเกลียดว่า ทุปุตตะ - บุตรชั่ว.

               ข ศัพท์นั้นย่อมปรากฏในอรรถว่าว่างเปล่า.

               จริงอยู่ ท่านเรียกอากาสที่ว่างว่า ขํ.

               ก็สัจจะที่ ๑ นี้ชื่อว่าน่าเกลียด เพราะเป็นที่ตั้งแห่งอุปัทวะเป็นอเนก, ชื่อว่าว่างเปล่า เพราะเว้นจากความยั่งยืน, ความงาม, ความสุขและอัตตาอันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาของพาลชน. เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าทุกข์ เพราะความเป็นของน่าเกลียดและเพราะเป็นความว่างเปล่า.

               ในคำว่า ทุกฺขสมุทเย - ในทุกขสมุทัยนี้

               สํ ศัพท์นี้แสดงถึงสังโยคะ - การประกอบพร้อมกัน ดุจในคำเป็นต้นว่า สมาคโม - มาประชุมพร้อมกัน สเมตํ - มาถึงพร้อมกัน.

               อุ ศัพท์นี้แสดงถึงการอุบัติ ดุจในคำเป็นต้นว่า อุปฺปนฺนํ - เกิดขึ้นแล้ว อุทิตํ - ตั้งขึ้นแล้ว.

               อย ศัพท์ก็ย่อมแสดงถึงการณะ - เหตุ.

               ก็สัจจะที่ ๒ นี้ เมื่อการประชุมพร้อมแห่งปัจจัยที่เหลือมีอยู่ก็เป็นเหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าทุกขสมุทัย เพราะเหตุที่สัจจะที่ ๒ เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ในเมื่อมีการประกอบ.

               ในคำว่า ทุกฺขนิโรเธ - ในความดับแห่งทุกข์นี้ นิศัพท์แสดงถึงอภาวะ - ความไม่มี, และโรธศัพท์ แสดงถึงการเที่ยวไปในวัฏสงสาร. เพราะฉะนั้น ความไม่มีแห่งการเที่ยวไปแห่งทุกข์ กล่าวคือการเที่ยวไปในสังสารทุกข์ เพราะว่างจากคติทั้งปวง,

               อีกอย่างหนึ่ง เมื่อบรรลุนิโรธนั้นแล้ว ทุกขนิโรธอันท่องเที่ยวไปในสงสารย่อมไม่มี เพราะความที่ทุกขนิโรธเป็นปฏิปักษ์ต่อการท่องเที่ยวไปในสังสาร แม้เพราะเหตุนี้ ก็เรียกว่าทุกขนิโรธ.

               อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าทุกขนิโรธ เพราะเป็นปัจจัยแก่การดับไม่เกิดแห่งทุกข์.

               ในคำว่า ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฏิปทาย - ในปฏิปทาเป็นเหตุถึงซึ่งทุกขนิโรธนี้ มรรคมีองค์ ๘ นี้ย่อมถึงซึ่งทุกขนิโรธ เพราะมุ่งหน้าต่อทุกขนิโรธนั้น โดยการกระทำให้เป็นอารมณ์ และเป็นปฏิปทาแห่งการบรรลุทุกขนิโรธ ฉะนั้นท่านจึงเรียกว่าทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

               มรรคญาณ ๔ เท่านั้น ในเบื้องต้นท่านกล่าวว่า มรรคญาณด้วยสามารถแห่งการแสดงอาการคือการออก, ท่านกล่าวว่า อานันตริกสมาธิญาณด้วยสามารถแห่งการแสดงเหตุแห่งการให้ผลในลำดับ, ท่านกล่าวสัจวิวัฏญาณด้วยอำนาจการแสดงซึ่งการหลีกออกจากวัฏฏะด้วยสัจจะ, ท่านกล่าวอาสวักขยญาณเพื่อแสดงความเกิดขึ้นแห่งอรหัตมรรคญาณตามลำดับแห่งมรรค และเพื่อแสดงความรู้ยิ่งแห่งญาณนั้น,

               ท่านแสดงญาณ ๔ เป็นต้นว่า ปัญญาในปริญเญยยธรรม ชื่อว่าทุกขญาณ เพื่อแสดงความที่มรรคญาณทั้ง ๔ เป็นญาณที่ตรัสรู้ โดยความเป็นอันเดียวกันซ้ำอีก ท่านยกญาณทั้ง ๔ มีทุกขญาณเป็นต้นด้วยสามารถแห่งการแสดงการเกิดขึ้นแยกกันในสัจจะหนึ่งๆ อีก ฉะนั้น พึงทราบความต่างกันทั้งในเบื้องต้นและเบื้องปลาย ดังแสดงมาด้วยประการฉะนี้แล.


               ๖๕-๖๗. อรรถกถาอัตถปฏิสัมภิทาธัมมปฏิสัมภิทา               

               นิรุตติปฏิสัมภิทาปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณุทเทส               

               ว่าด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔               

               บัดนี้ เพื่อจะแสดงว่า ปฏิสัมภิทาญาณสำเร็จแก่พระอริยบุคคลทั้งปวงได้ด้วยอานุภาพแห่งอริยมรรคเท่านั้น ท่านจึงยกปฏิสัมภิทาญาณ ๔ มีอรรถปฏิสัมภิทาญาณเป็นต้นขึ้นแสดงอีก.

               ก็ปฏิสัมภิทาญาณเหล่านี้เป็นสุทธิกปฏิสัมภิทาญาณทั่วไปแก่พระอริยบุคคลทั้งปวง แม้ในเมื่อไม่มีการแตกฉานในปฏิสัมภิทาด้วยกัน, แต่ที่ท่านยกขึ้นแสดงในภายหลัง พึงทราบว่าเป็นปฏิสัมภิทาญาณอันถึงความแตกฉานของผู้มีปฏิสัมภิทาแตกฉานแล้ว นี้เป็นความต่างกันของอรรถวจนะทั้ง ๒ แห่งคำเหล่านั้น.

               หรือญาณที่ท่านแสดงในลำดับมีทุกข์เป็นอารมณ์และมีนิโรธเป็นอารมณ์ เป็นอรรถปฏิสัมภิทา, ญาณมีสมุทัยเป็นอารมณ์และมีมรรคเป็นอารมณ์ เป็นธรรมปฏิสัมภิทา, ญาณในโวหารอันแสดงอรรถและธรรมนั้นเป็นนิรุตติปฏิสัมภิทา, ญาณในญาณทั้ง ๓ เหล่านั้นเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา.

               เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ท่านยกสุทธิกปฏิสัมภิทาญาณขึ้นแสดง เพื่อจะชี้แจงความแปลกกันแห่งเนื้อความแม้นั้น. ก็เพราะเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าวให้แปลกกันด้วยนานัตตศัพท์ในภายหลัง, ในที่นี้จึงไม่กล่าวให้แปลกกันเหมือนอย่างนั้นดังนี้.


               ๖๘. อรรถกถาอินทริยปโรปริยัตตญาณุทเทส               

               ว่าด้วยอินทริยปโรปริยัตตญาณ               

               พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ครั้นยกญาณอันทั่วไปแก่พระสาวก ๖๗ ญาณขึ้นแสดงตามลำดับอย่างนี้แล้ว เพื่อจะแสดงญาณอันมีเฉพาะพระตถาคตเจ้าเท่านั้นไม่ทั่วไปแก่พระสาวกทั้งหลาย จึงได้ยกอสาธารณญาณ ๖ มีอินทริยปโรปริยัตตญาณขึ้นแสดง ณ บัดนี้.

               แม้บรรดาอสาธารณญาณทั้ง ๖ นั้น พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเมื่อจะทรงตรวจดูความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีภาชนะเป็นเครื่องรองรับพระธรรมเทศนา ก็ย่อมตรวจดูด้วยพุทธจักษุ. อินทริยปโรปริยัตตญาณและอาสยานุสยญาณทั้ง ๒ นี้เท่านั้น ชื่อว่าพุทธจักษุ.

               สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๑-

                                   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรวจดูสัตว์โลกด้วย

                         พุทธจักษุได้ทรงเห็นแล้วแล ซึ่งสัตว์ทั้งหลาย

                         บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย บางพวกมีธุลี

                         คือกิเลสในจักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า

                         บางพวกมีอินทรีย์อ่อน ดังนี้เป็นต้น.

____________________________

๑- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๙


               และเมื่อตรวจดูสัตว์โลกทั้งหลาย ก็ทรงตรวจดูความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ในสันดานของสัตว์ก่อน. ครั้นทรงทราบความแก่กล้าแห่งอินทรีย์แล้ว ต่อแต่นั้นก็ทรงตรวจดูอาสยานุสัยและจริต เพื่อแสดงธรรมตามสมควรแก่อาสยะเป็นต้น, แม้เพราะเหตุนั้น ท่านจึงยกอินทริยปโรปริยัตตญาณขึ้นแสดงก่อน, ในลำดับต่อจากนั้นก็ยกอาสยานุสยญาณขึ้นแสดง.

               ก็เมื่อจะทรงแสดงธรรม ย่อมทรงกระทำปาฏิหาริย์แก่ผู้ควรแนะนำด้วยปาฏิหาริย์, เพราะเหตุนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรจึงยกญาณในยมกปาฏิหาริย์ขึ้นแสดงในลำดับต่อจากอาสยานุสยญาณ, เพื่อจะแสดงเหตุแห่งญาณทั้ง ๓ เหล่านี้จึงยกมหากรุณาญาณขึ้นแสดง แล้วยกสัพพัญญุตญาณขึ้นแสดงเป็นลำดับต่อไป เพื่อแสดงความบริสุทธิ์แห่งมหากรุณาญาณ.

               พึงทราบว่า พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้ยกอนาวรณญาณขึ้นแสดงในลำดับแห่งสัพพัญญุตญาณนั้น เพื่อแสดงความที่พระสัพพัญญุตญาณเป็นญาณที่เนื่องด้วยการระลึกถึงธรรมทั้งปวง และเพื่อแสดงความที่พระสัพพัญญุตญาณเป็นอนาวริยภาพ คือไม่มีอะไรขัดข้อง.

               ในคำว่า อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณํ - ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายนี้.

               บทว่า สตฺตานํ - แห่งสัตว์ทั้งหลาย.

               ข้างหน้าพึงนำมาประกอบในที่นี้ด้วยเป็น สตฺตานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณํ.

               เมื่อควรจะกล่าวว่า ปรานิ จ อปรานิ จ ปราปรานิ ท่านก็เรียกเสียว่า ปโรปรานิ เพราะทำให้เป็น โรอักษรด้วยสนธิวิธี.

               ภาวะแห่งปโรประ ชื่อว่าปโรปริยะ, ปโรปริยะนั่นแหละชื่อว่าปโรปริยัตตะ, ความอ่อนและความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ ๕ มีสัทธาเป็นต้นของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าอินทริยปโรปริยัตตะ, ญาณในอินทริยปโรปริยัตตะ ชื่อว่าอินทริยปโรปริยัตตญาณ.

               อธิบายว่า ญาณในความที่อินทรีย์ทั้งหลายเป็นคุณสูงและต่ำ

               ปาฐะว่า อินฺทฺริยวโรวริยตฺตญาณํ - ญาณในความที่อินทรีย์เป็นคุณประเสริฐและไม่ประเสริฐ ดังนี้ก็มี.

               พึงประกอบคำว่า วรานิ จ อวริยานิ จ วโรวริยานิ - ประเสริฐด้วย ไม่ประเสริฐด้วย ชื่อว่าประเสริฐและไม่ประเสริฐ, ภาวะแห่งวโรวริยะ ชื่อว่าวโรวริยัตตะ.

               คำว่า อวริยานิ - ไม่ประเสริฐ. ความว่า ไม่สูงสุด.

               อีกอย่างหนึ่ง ปร-อินทรีย์ที่ใช้ได้ด้วย, โอปร-อินทรีย์ที่ใช้ไม่ได้ด้วย ชื่อว่าปโรประ.

               พึงประกอบความว่า ภาวะแห่งปโรประ ชื่อว่าปโรปริยัตตะ - ความเป็นแห่งอินทรีย์ที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้ดังนี้.

               คำว่า โอปรานิ - อินทรีย์ที่ใช้ไม่ได้. มีคำอธิบายว่า ต่ำทราม.

               ความว่า ลามก ดุจในคำเป็นต้นว่า๑- พิจารณาธรรมอันลามกของผู้ใดอยู่ ดังนี้.

               ท่านตั้งปาฐะไว้เป็นสัตตมีวิภัตติว่า อินฺทฺริยปโรปริยตฺเตญาณํ ดังนี้ก็มี.

____________________________

๑- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๕๙


               ๖๙. อรรถกถาอาสยานุสยญาณุทเทส               

               ว่าด้วยอาสยานุสยญาณ               

               สัตว์ทั้งหลายข้องอยู่ด้วยฉันทราคะในขันธ์ทั้งหลายมีรูปขันธ์เป็นต้น เรียกว่า สตฺตา - สัตว์ทั้งหลาย ในคำนี้ว่า สตฺตานํ อาสยานุสเย ญาณํ - ญาณในอาสยานุสัยของสัตว์ทั้งหลาย.

               สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑-

                                   ดูก่อนราธะ เพราะเหตุที่ความพอใจ ความ

                         กำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากใน

                         รูปแล เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น

                         ฉะนั้นจึงเรียกว่าสัตว์ เพราะเหตุที่ความพอใจ

                         ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยาน

                         อยากในเวทนา... ในสัญญา... ในสังขาร... ใน

                         วิญญาณ เป็นผู้ข้องในวิญญาณ เป็นผู้เกี่ยวข้อง

                         ในวิญญาณนั้น ฉะนั้นจึงเรียกว่าสัตว์ ดังนี้เป็นต้น.

____________________________

๑- สํ. ขนฺธ. ๑๗/๓๖๗


               ส่วนอาจารย์ผู้เพ่งเฉพาะตัวอักษร ไม่ใคร่ครวญถึงอรรถะ ก็ลงความเห็นว่า คำนี้เป็นเพียงคำนามเท่านั้น.

               ฝ่ายอาจารย์เหล่าใดใคร่ครวญถึงอรรถะ, อาจารย์เหล่านั้นก็ย่อมประสงค์ความว่า ชื่อว่าสัตว์ เพราะประกอบกับสิ่งทั้งปวง. สิ่งใดอาศัยอยู่ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งสัตว์เหล่านั้น ฉะนั้นสิ่งนั้นจึงชื่อว่าอาสยะ,

               คำนี้เป็นชื่อของสันดานอันมิจฉาทิฏฐิ หรือสัมมาทิฏฐิอบรมแล้ว, หรือว่าอันโทษทั้งหลายมีกามเป็นต้น หรือคุณทั้งหลายมีเนกขัมมะเป็นต้น อบรมแล้ว.

               กิเลสใดๆ ที่นอนเนื่องเป็นไปตาม อยู่ในสันดานของสัตว์ ฉะนั้น กิเลสนั้นๆ จึงชื่อว่าอนุสยา. คำนี้เป็นชื่อของกิเลสทั้งหลายมีกามราคะเป็นต้นอันมีกำลัง.

               อาสยะด้วย อนุสยะด้วย ชื่อว่าอาสยานุสยะ. พึงทราบว่าเป็นเอกวจนะ โดยชาติศัพท์และด้วยสามารถแห่งทวันทวสมาส.

               อธิมุติกล่าวคือจริต สงเคราะห์เข้าในอาสยานุสยะ เพราะเหตุนั้น ในอุทเทสท่านจึงสงเคราะห์ญาณในจริตาธิมุติ เข้าด้วยอาสยานุสยญาณแล้วจึงกล่าวว่า อาสยานุสเย ญาณํ - ญาณในอาสยานุสยะ.

               ก็ท่านทำอุทเทสไว้ด้วยประสงค์ใด, นิทเทสท่านก็ทำไว้ด้วยประสงค์นั้นนั่นแล.


               ๗๐. อรรถกถายมกปาฏิหีรญาณุทเทส               

               ว่าด้วยยมกปาฏิหีรญาณ               

               พึงทราบคำวินิจฉัยในคำว่า ยมกปาฏิหีเร ญาณํ - ญาณในยมกปาฏิหีระ นี้ดังต่อไปนี้.

               ชื่อว่ายมกะ เพราะทำกองไฟและท่อธารแห่งน้ำเป็นต้น ให้เป็นไปในคราวเดียวกันไม่ก่อนไม่หลังทีเดียว, ชื่อว่าปาฏิหีระ เพราะกำจัดเสียซึ่งปฏิปักขธรรมทั้งหลายมีความไม่เชื่อเป็นต้น, ยมกะนั้นด้วย ปาฏิหีระด้วย ฉะนั้นจึงชื่อว่ายมกปาฏิหีระ.


               ๗๑. อรรถกถามหากรุณาสมาปัตติญาณุทเทส               

               ว่าด้วยมหากรุณาสมาปัตติญาณ               

               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า มหากรุณาสมาปตฺติยา ญาณํ - ญาณในมหากรุณาสมาบัติ นี้ดังต่อไปนี้.

               ธรรมชาติใด ครั้นเมื่อทุกข์ของผู้อื่นมีอยู่ ย่อมทำความหวั่นใจแก่สาธุชนทั้งหลาย หรือว่าย่อมรื้อคือย่อมเบียดเบียนทำลายทุกข์ของผู้อื่น ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่ากรุณา.

               อีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาติใดย่อมเรี่ยไร คือย่อมแผ่ไปด้วยอำนาจการแผ่ไปในเหล่าทุกขิตสัตว์ - สัตว์ผู้มีทุกข์ ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่ากรุณา.

               กรุณาใหญ่ ชื่อว่ามหากรุณา ด้วยอำนาจกรรมคือการแผ่ไปและด้วยอำนาจกรรมอันเป็นคุณ.

               พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณา ย่อมเข้าสู่สมาบัตินี้ได้ ฉะนั้นจึงชื่อว่าสมาปัตติ - สมาบัติ. พระมหากรุณานั้นด้วย เป็นสมาบัติด้วย ฉะนั้นจึงชื่อว่ามหากรุณาสมาบัติ. ในมหากรุณาสมาบัตินั้น, ญาณอันสัมปยุตกับด้วยมหากรุณาสมาบัตินั้น.


               ๗๒-๗๓. อรรถกถาสัพพัญญุตญาณอนาวรณญาณุทเทส               

               ว่าด้วยสัพพัญญุตญาณอนาวรณญาณ               

               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สพฺพญฺญุตญาณํ อนาวรณญาณํ - ญาณเป็นเครื่องรู้ธรรมทั้งปวง ญาณอันไม่มีอะไรติดขัด นี้ดังต่อไปนี้

               พระพุทธะพระองค์ใดทรงรู้ธรรมทั้งปวงมีประเภทแห่งคลองอันจะพึงแนะนำ ๕ ประการ ฉะนั้น พระพุทธะพระองค์นั้น ชื่อว่าสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวง, ความเป็นแห่งพระสัพพัญญู ชื่อว่าสัพพัญญุตา,

               ญาณคือพระสัพพัญญุตาญาณนั้น ควรกล่าวว่าสัพพัญญุตาญาณ ท่านก็กล่าวเสียว่า สัพพัญญุตญาณ.

               จริงอยู่ ธรรมทั้งปวงต่างโดยเป็นสังขตธรรมเป็นต้น เป็นครรลองธรรมที่จะพึงแนะนำมี ๕ อย่างเท่านั้น#- คือสังขาร ๑, วิการ ๑, ลักขณะ ๑, นิพพาน ๑ และบัญญัติ ๑.

____________________________

#- ในคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกาเรียกธรรม ๕ มีสังขารเป็นต้นนี้ว่าไญยธรรม.


               คำว่า สพฺพญฺญู - รู้ธรรมทั้งปวง ความว่า สัพพัญญูมี ๕ อย่างคือ

               ๑. กมสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงตามลำดับ,

               ๒. สกิงสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงในคราวเดียวกัน,

               ๓. สตตสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงติดต่อกันไป,

               ๔. สัตติสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงด้วยความสามารถ,

               ๕. ญาตสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงที่รู้แล้ว.

               กมสัพพัญญุตาย่อมมีไม่ได้ เพราะกาลเป็นที่รู้ธรรมทั้งปวงไม่เกิดขึ้น ตามลำดับ,

               สกิงสัพพัญญุตาก็มีไม่ได้ เพราะไม่มีการรับอารมณ์ทั้งปวงได้ในคราวเดียวกัน,

               สตตสัพพัญญุตาก็มีไม่ได้ เพราะความเกิดขึ้นแห่งจิตในอารมณ์ตามสมควรแก่จิต มีจักขุวิญญาณจิตเป็นต้น และเพราะไม่มีการประกอบในภวังคจิต,

               สัตติสัพพัญญุตาพึงมีได้ เพราะสามารถรู้ธรรมทั้งปวงโดยการแสวงหา,

               ญาตสัพพัญญุตาก็พึงมีได้ เพราะธรรมทั้งปวงรู้แจ่มแจ้งแล้ว.

               ข้อว่าความรู้ธรรมทั้งปวงไม่มีในสัตติสัพพัญญุตาแม้นั้นย่อมไม่ถูกต้อง เพราะท่านกล่าวไว้ว่า๑-

                         อะไรๆ อันพระตถาคตเจ้านั้นไม่เห็นแล้วไม่มีในโลกนี้

                         อนึ่ง อะไรๆ ที่ไม่รู้แจ้งและไม่ควรรู้ก็ไม่มี, สิ่งใดที่ควร

                         แนะนำมีอยู่ พระตถาคตเจ้าได้รู้ธรรมทั้งหมดนั้นแล้ว

                         เพราะเหตุนั้น พระตถาคตเจ้าจึงชื่อว่าสมันตจักขุ.

               ฉะนั้น ญาตสัพพัญญุตาเท่านั้น ย่อมถูกต้อง.

____________________________

๑- ขุ. มหา. เล่ม ๒๙/ข้อ ๗๒๗


               ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ สัพพัญญุตญาณนั่นแลย่อมมีได้โดยกิจ โดยอสัมโมหะ โดยการสำเร็จแห่งเหตุ โดยเนื่องกับอาวัชชนะ ด้วยประการฉะนี้.

               อารมณ์เป็นเครื่องกั้นญาณนั้นไม่มี เป็นญาณที่เนื่องด้วยอาวัชชนะนั่นเอง ฉะนั้น ญาณนั้นจึงชื่อว่าอนาวรณะ - ไม่มีการติดขัด, อนาวรณะนั้นนั่นแหละ ท่านเรียกว่าอนาวรณญาณ ด้วยประการฉะนี้.

               คำว่า อิมานิ เตสตฺตติ ญาณานิ - ญาณ ๗๓ เหล่านี้.

               ความว่า ญาณทั้ง ๗๓ เหล่านี้ ท่านยกขึ้นแสดงด้วยสามารถแห่งญาณอันทั่วไปและไม่ทั่วไปแก่พระสาวกทั้งหลาย.

               คำว่า อิเมสํ เตสตฺตติยา ญาณานํ - แห่งญาณ ๗๓ เหล่านี้.

               ความว่า แห่งญาณทั้งหลาย ๗๓ ญาณเหล่านี้อันท่านกล่าวแล้วตั้งแต่ต้น.

               ก็คำนี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถว่าเป็นกลุ่ม.

               ปาฐะว่า เตสตฺตตีนํ ดังนี้ก็มี.

               เมื่อกล่าวว่า เตสตฺตติยา พึงทราบว่าเป็นพหุวจนะในรูปเอกวจนะ

               คำว่า สตฺตสฏฺฐิ ญาณานิ - ญาณ ๖๗ ได้แก่ ญาณ ๖๗ นับตั้งแต่ต้นมา.

               คำว่า สาวกสาธารณานิ - ทั่วไปแก่พระสาวก.

               ความว่า ชื่อว่าสาวก เพราะเกิดโดยชาติแห่งอริยะในที่สุดแห่งการฟัง, ชื่อว่าสาธารณะ เพราะการทรงไว้มีอยู่แก่ญาณเหล่านั้น,

               ญาณ ๖๗ นั้นเป็นญาณที่ทั่วไปแก่พระสาวกของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าสาวกสาธารณะ - ทั่วไปแก่พระสาวกทั้งหลาย.

               คำว่า ฉ ญาณานิ - ญาณ ๖ ได้แก่ ๖ ญาณที่ท่านยกขึ้นแสดงในที่สุด.

               คำว่า อสาธารณานิ สาวเกหิ - ไม่ทั่วไปแก่พระสาวก.

               ความว่า ญาณทั้งหลาย ๖ ญาณเฉพาะของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ไม่ทั่วไปแก่พระสาวกทั้งหลาย ฉะนี้แล.


อรรถกถาญาณกถามาติกุทเทส               

ในอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ชื่อสัทธัมมปกาสินีจบ               

----------------------


[full-post]

สุตตันตปิฎก,ปฏิสัมภิทามรรค,อรรถกถา,ทิพพจักขุญาณ

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.