อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ชื่อสัทธรรมปกาสินี ในขุททกนิกาย (ตอนที่ ๖/๗) 
 


๔๑. อรรถกถาขันติญาณุทเทส               

               ว่าด้วยขันติญาณ               

               บัดนี้ เพื่อจะแสดงวิปัสสนาญาณ ๒ ประการอันให้สำเร็จทัสนวิสุทธิ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรจึงยกขันติญาณและปริโยคาหณญาณขึ้นแสดงต่อจากทัสนวิสุทธิญาณนั้น.

               ในขันติญาณนั้น คำว่า วิทิตตฺตา ปญฺญา - ปัญญาในความที่ธรรมปรากฏ.

               ความว่า ปัญญาอันเป็นไปแล้ว เพราะรู้แจ้งซึ่งธรรมมีรูปขันธ์เป็นต้น โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น.

               คำว่า ขนฺติ ญาณํ - ขันติญาณ ความว่า ธรรมชาติใดย่อมรู้ธรรมโดยความเป็นของไม่เที่ยงนั่นเอง ฉะนั้นจึงชื่อว่าขันติ,

               ญาณคือขันติ ชื่อว่าขันติญาณ. ด้วยขันติญาณนี้ ย่อมห้ามอธิวาสนขันติ. ขันติญาณนี้เป็นตรุณวิปัสสนาญาณอันเป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งสัมมสนญาณ มีการพิจารณาสังขารธรรมโดยความเป็นกลาป๑- เป็นต้น.

____________________________

๑- คือยังทำลายฆนสัญญาไม่ได้.


               ๔๒. อรรถกถาปริโยคาหณญาณุทเทส               

               ว่าด้วยปริโยคาหณญาณ               

               คำว่า ผุฏฺฐตฺตา ปญฺญา - ปัญญาอันถูกต้องซึ่งธรรม.

               ความว่า ปัญญาอันเป็นไปแล้วเพราะความที่แห่งธรรมทั้งหลายมีรูปขันธ์เป็นต้น เป็นธรรมอันญาณผัสสะถูกต้องแล้วด้วยสามารถแห่งการพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น.

               คำว่า ปริโยคาหเณ ญาณํ - ญาณในการหยั่งลง.

               ความว่า ญาณใดย่อมหยั่งลง ย่อมเข้าไปสู่ธรรมอันญาณผัสสะถูกต้องแล้วนั่นเอง ฉะนั้น ญาณนั้นจึงชื่อว่าปริโยคาหณญาณ.

               อาจารย์บางพวกทำรัสสะ คาอักษรเสียบ้างแล้วสวด.

               ปริโยคาหณญาณนี้เป็นติกขวิปัสสนาญาณ เป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งภังคานุปัสนา.

               แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า วิปัสสนาญาณนั่นแหละเป็นขันติญาณสำหรับผู้มีสัทธาเป็นพาหะ, เป็นปริโยคาหณญาณสำหรับผู้มีปัญญาเป็นพาหะ. เมื่อเป็นเช่นนี้ ญาณทั้ง ๒ นี้ย่อมไม่เกิดพร้อมกันแก่คนๆ หนึ่ง, ญาณที่สาธารณะแก่พระสาวก ๖๗ ย่อมไม่เกิดขึ้นพร้อมกันแก่พระสาวกรูปหนึ่งในการเกิดขึ้นพร้อมกันแห่งญาณนั้น, เพราะฉะนั้น คำของอาจารย์บางพวกนั้น จึงไม่ถูก.


               ๔๓. อรรถกถาปเทสวิหารญาณุทเทส               

               ว่าด้วยปเทสวิหารญาณ               

               ประเทสวิหารญาณอันให้สำเร็จทัสนวิสุทธิญาณของพระอรหันต์ อันพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวญาณอันเป็นเหตุให้สำเร็จทัสนวิสุทธิญาณว่า ปุถุชนและพระเสกขบุคคลทั้งหลายพิจารณาอยู่ซึ่งธรรมทั้งสิ้นมีขันธ์เป็นต้นอันเข้าถึงวิปัสสนา, ไม่พิจารณาเอกเทสแห่งธรรมเหล่านั้น, เพราะฉะนั้น ปเทสวิหารญาณย่อมไม่ได้แก่ปุถุชนและพระเสกขบุคคลเหล่านั้น แต่ย่อมได้ตามชอบใจแก่พระอรหันต์เท่านั้นดังนี้ แล้วจึงยกขึ้นแสดงต่อจากปริโยคาหณญาณ.

               ในปเทสวิหารญาณ คำว่า สโมทหเน ปญฺญา - ปัญญาในการประมวลมา.

               ความว่า ปัญญาในการประมวลมา คือปัญญาในการรวบรวมมา ได้แก่ปัญญาในการกระทำซึ่งธรรมคือเวทนาอันเป็นธรรมพวกเดียวกันให้เป็นกอง บรรดาธรรมมีขันธ์เป็นต้น.

               ปาฐะว่า สโมธาเน ปญฺญา - ปัญญาในการประชุมดังนี้ก็มี.

               ใจความก็อันนั้นนั่นแหละ.

               คำว่า ปเทสวิหาเร ญาณํ - ญาณในวิหารธรรมส่วนหนึ่ง.

               ความว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ด้วยอังคาพยพส่วนหนึ่ง โดยส่วนแห่งธรรมมีขันธ์เป็นต้น ชื่อว่าปเทสวิหาระ - ธรรมเป็นเครื่องอยู่ส่วนหนึ่ง, ญาณในปเทสวิหารธรรมนั้น.

               ในคำว่า ปเทสวิหาระนั้น ปเทสะมีอย่างต่างๆ คือ ขันธปเทสะ, อายตนปเทสะ, ธาตุปเทสะ, สัจจปเทสะ, อินทริยปเทสะ, ปัจจยาการปเทสะ, สติปัฏฐานปเทสะ, ฌานปเทสะ, นามรูปปเทสะ, ธัมมปเทสะ ชื่อว่าปเทสะ.

               ก็ปเทสะมีอย่างต่างๆ อย่างนี้ ก็คือเวทนานั่นเอง.

               อย่างไร? เวทนานั่นเองเป็นปเทสะแห่งธรรมมีขันธ์เป็นต้น อย่างนี้คือ

                         ขันธ์ ๕ เอกเทสแห่งขันธ์ คือเวทนาขันธ์,

                         อายตนะ ๑๒ เอกเทสแห่งธรรมายตนะ คือเวทนา,

                         ธาตุ ๑๘ เอกเทสแห่งธรรมธาตุ คือเวทนา,

                         สัจจะ ๔ เอกเทสแห่งทุกขสัจ คือเวทนา,

                         อินทรีย์ ๒๒ เอกเทสแห่งอินทรีย์ คือเวทนินทรีย์ ๕,

                         ปฏิจจสมุปปาทังคะ ๑๒ เอกเทสแห่งปัจจยาการ คือเวทนามีผัสสะเป็นปัจจัย,

                         สติปัฏฐาน ๔ เอกเทสแห่งสติปัฏฐาน คือเวทนานุปัสสนา,

                         ฌาน ๔ เอกเทสแห่งฌาน คือสุขเวทนาและอุเบกขาเวทนา,

                         นามรูป เอกเทสแห่งนามรูป คือ เวทนาเจตสิก.

               ธรรมทั้งปวงมีกุศลธรรมเป็นต้น, เอกเทสแห่งธรรมคือเวทนา ชื่อว่าปเทสวิหาระ ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเวทนานั้นนั่นแล.


               ๔๔. อรรถกถาสัญญาวิวัฏญาณุทเทส               

               ว่าด้วยสัญญาวิวัฏญาณ               

               เพราะเหตุที่ปุถุชนและพระเสกขบุคคลทั้งหลาย เมื่อเจริญญาณอันสำเร็จแล้วด้วยสมาธิภาวนา กระทำภาวนาธรรมที่ควรเจริญนั้นๆ ให้เป็นอธิบดี ให้เป็นใหญ่ พิจารณาธรรมทั้งหลายที่ตรงกันข้ามกับภาวนาธรรมนั้นมีสภาวะต่างๆ มีโทษเป็นเอนก โดยความเป็นธรรมมีโทษ แล้วตั้งจิตไว้ด้วยสามารถแห่งภาวนาธรรมนั้นๆ ก็ย่อมละปัจนิกธรรมเหล่านั้นๆ เสียได้.

               และเมื่อละก็เห็นสังขารธรรมทั้งปวงโดยความเป็นของว่างในกาลแห่งวิปัสสนาภายหลัง ย่อมละได้ด้วยสมุจเฉทปหาน.

               ก็แลเมื่อละอยู่อย่างนั้น ย่อมแทงตลอดสัจจะทั้งหลายละได้ด้วยการตรัสรู้ในขณะเดียว.

               พระอริยะทั้งหลายแม้ทั้งปวงย่อมปฏิบัติตามควรด้วยอาการทั้งหลายตามที่กล่าวแล้วนั่นแล, ฉะนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรจึงยกญาณทั้ง ๖ มีสัญญาวิวัฏญาณเป็นต้นขึ้นแสดงต่อจากปเทสวิหารญาณตามลำดับ ณ บัดนี้.

               ในสัญญาวิวัฏญาณนั้น คำว่า อธิปตตฺตา ปญฺญา - ปัญญามีกุศลเป็นอธิบดี.

               ความว่า ปัญญาที่กระทำกุศลธรรมมีเนกขัมมะเป็นต้น ให้เป็นธรรมอันยิ่งโดยความเป็นแห่งอธิบดีแห่งกุศลธรรมทั้งหลายมีเนกขัมมะเป็นต้น แล้วเป็นไปโดยความเป็นธรรมอันยิ่งในกุศลธรรมมีเนกขัมมะเป็นต้นนั้น.

               คำว่า สญฺญาวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในความหลีกออกจากนิวรณ์ด้วยสัญญา.

               ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า การหลีกออก การหมุนออก ความเป็นผู้หันหลังให้นิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้นได้ด้วยสัญญา ฉะนั้นจึงชื่อว่าสัญญาวิวัฏฏะ, ญาณในการหลีกออกจากนิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้นนั้นๆ ด้วยสัญญาที่กระทำภาวนาธรรมนั้นๆ ให้เป็นอธิบดี เป็นเหตุ เป็นกรณะ.

               สัญญา แม้จะมิได้กล่าวไว้ว่า เอตฺโต วิวฏฺโฏ - หมุนกลับจากภาวนาธรรมนี้ แต่ก็เป็นเหตุให้สัญญาหมุนกลับ เหมือนอย่างวิวัฏนานุปัสสนา.

               ก็สัญญานั้นมีความจำอารมณ์เป็นลักษณะ,

               มีการจำอารมณ์ได้และทำนิมิตไว้เป็นกิจ เหมือนช่างไม้ทำเครื่องหมายไว้ที่ไม้เป็นต้น.

               มีความจำได้ในสิ่งที่หมายไว้เป็นปัจจุปัฏฐาน เหมือนคนตาบอดคลำช้าง.

               อีกอย่างหนึ่ง มีการตั้งอยู่ไม่นานเพราะหยั่งลงในอารมณ์เป็นปัจจุปัฏฐาน เหมือนสายฟ้าแลบ,

               มีอารมณ์ที่กำหนดไว้เป็นปทัฏฐาน เหมือนสัญญาในหุ่นที่ทำด้วยหญ้าเกิดแก่ลูกเนื้อว่าเป็นบุรุษ.


               ๔๕. อรรถกถาเจโตวิวัฏญาณุทเทส               

               ว่าด้วยเจโตวิวัฏญาณ               

               คำว่า นานตฺเต ปญฺญา - ปัญญาในนานัตตธรรม.

               ความว่า ปัญญาที่เป็นไปแล้วในสภาวธรรมต่างๆ โดยความเป็นภาเวตัพพธรรม - ธรรมที่ควรเจริญ และในสภาวธรรมอื่นมีกามฉันทะเป็นต้น โดยเห็นว่าเป็นธรรมมีโทษ.

               และคำว่า นานตฺเต เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งนิมิตตสัตตมี.

               อีกอย่างหนึ่ง ละความเป็นต่างๆ ชื่อว่านานัตตะ,

               อธิบายว่า เหตุแห่งการละนานัตตธรรม เป็นนิมิตแห่งการละนานัตตธรรม เป็นปัญญาในกุศลธรรมมีเนกขัมมะเป็นต้น.

               คำว่า เจโตวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการหลีกออกจากนิวรณ์ด้วยใจ.

               ความว่า การออกจากนิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้นได้ด้วยใจเป็นญาณในกุศลธรรมมีเนกขัมมะเป็นต้น.

               ก็ในคำว่า เจโต นี้ ท่านประสงค์เอาเจตนา.

               เจตนานั้นมีการชักชวน เป็นลักษณะ

               อีกอย่างหนึ่ง มีการไหลออกแห่งผล เป็นลักษณะ,

               มีการรวบรวมมา เป็นกิจ,

               มีการจัดแจง เป็นปัจจุปัฏฐาน เหมือนนายช่างใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าศิษย์ ทำกิจของตนและกิจของคนอื่นให้สำเร็จฉะนั้น.

               ก็และเจตนานี้ย่อมปรากฏโดยความยกสัมปยุตธรรมทั้งหลายในกิจมีการระลึกถึงการงานอันเร่งรีบ.


               ๔๖. อรรถกถาจิตวิวัฏญาณุทเทส               

               ว่าด้วยจิตวิวัฏญาณ               

               คำว่า อธิฏฺฐาเน ปญญฺา - ปัญญาในการอธิฏฐาน.

               ความว่า ปัญญาในการตั้งมั่นแห่งจิตด้วยสามารถแห่งคุณมีเนกขัมมะเป็นต้น.

               คำว่า จิตฺตวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการออกไปแห่งจิต.

               ความว่า ญาณในการหลีกออกแห่งจิตด้วยสามารถแห่งการละนิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้น.

               ก็ในที่นี้ จิต

                         มีการรู้นิวรณ์ เป็นลักษณะ,

                         มีการเกิดก่อนและเป็นประธานในธรรมทั้งปวง เป็นกิจ,

                         มีการเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย เป็นปัจจุปัฏฐาน,

                         มีนามรูป เป็นปทัฏฐาน.


               ๔๗. อรรถกถาญาณวิวัฏญาณุทเทส               

               ว่าด้วยญาณวิวัฏญาณ               

               คำว่า สุญฺญเต ปญฺญา - ปัญญาในความว่าง.

               ความว่า ปัญญาเป็นเครื่องตามความเห็นโดยความเป็นอนัตตาอันเป็นไปแล้วในอนัตตธรรมและธรรมอันเนื่องด้วยอนัตตะ เพราะอัตตะและธรรมะอันเนื่องด้วยอัตตะเป็นของว่าง.

               คำว่า ญาณวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในความหลีกออกด้วยญาณ.

               ความว่า ญาณนั่นแหละย่อมหลีกออกจากความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นจึงชื่อว่าวิวัฏฏะ - ญาณอันเป็นเหตุแห่งการหลีกออกด้วยญาณนั้น.


               ๔๘. อรรถกถาวิโมกขวิวัฏญาณุทเทส               

               ว่าด้วยวิโมกขวิวัฏญาณ               

               ในคำนี้ว่า โวสฺสคฺเค ปญฺญา - ปัญญาในการสละ.

               พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

               ธรรมใดย่อมสลัดออก ฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่าโวสสัคคะ - การสลัดออก, การสละเสียได้ซึ่งกามฉันทะเป็นต้น เป็นปัญญาในคุณมีเนกขัมมะเป็นต้น.

               คำว่า วิโมกฺขวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการหลีกออกแห่งจิตด้วยวิโมกข์.

               ความว่า ธรรมใดย่อมพ้นจากนิวรณ์ทั้งหลายมีกามฉันทะเป็นต้น ฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่าวิโมกข์, การหลีกออกคือวิโมกข์ ชื่อว่าวิโมกขวิวัฏฏะ, วิโมกขวิวัฏฏะนั้นนั่นแหละเป็นญาณ.


               ๔๙. อรรถกถาสัจวิวัฏญาณุทเทส               

               ว่าด้วยสัจวิวัฏญาณ               

               คำว่า ตถฏฺเฐ ปญฺญา - ปัญญาในสภาวะที่เป็นจริง.

               ความว่า ปัญญาที่เป็นไปโดยไม่หลงด้วยสามารถแห่งกิจในสภาวธรรมอันไม่วิปริตในสัจจะหนึ่งๆ สัจจะละ ๔ๆ .

               คำว่า สจฺจวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการหลีกออกด้วยสัจจะ.

               ความว่า ธรรมใดย่อมหลีกออกด้วยสามารถแห่งการออกจากส่วนสุดทั้ง ๒ ในสัจจะทั้ง ๔ ฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่าสัจวิวัฏฏะ, สัจวิวัฏฏะนั่นแหละเป็นญาณ.

               ญาณเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวไว้ถึง ๔ ประการอย่างนี้ คือ

                         ๑. สัญญาวิวัฏฏะ ด้วยสามารถแห่งกุศลธรรมเป็นอธิบดี,

                         ๒. เจโตวิวัฏฏะ ด้วยสามารถแห่งธรรมที่ควรประหาณ,

                         ๓. จิตวิวัฏฏะ ด้วยสามารถแห่งการตั้งมั่นแห่งจิต,

                         ๔. วิโมกขวิวัฏฏะ ด้วยสามารถแห่งการละปัจนิกธรรม.

               อนัตตานุปัสนาแล ท่านกล่าวว่า ญาณวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการหลีกออกด้วยญาณ ด้วยสามารถแห่งอาการอันว่างจากอัตตา, ภายหลังท่านก็กล่าวมรรคญาณไว้ ๒ อย่างคือ มคฺเค ญาณํ - ญาณในมรรค และ อานนฺตริกสมาธิมฺหิ ญาณํ - ญาณในอานันตริกสมาธิ, ท่านกล่าวคำว่า สจฺจวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการหลีกออกด้วยสัจจะ.


               ๕๐. อรรถกถาอิทธิวิธญาณุทเทส               

               ว่าด้วยอิทธิวิธญาณ               

               บัดนี้ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรยกอภิญญา ๖ ที่เป็นไปด้วยสามารถแห่งญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เป็นไปด้วยอำนาจสัจวิวัฏญาณนั้นขึ้นแสดงโดยลำดับ.

               ในอภิญญา ๖ แม้นั้น ท่านยกอิทธิวิธญาณแสดงก่อน คือความแปลกประหลาด เพราะเป็นอานุภาพอันปรากฏแก่โลก, ยกทิพโสตญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๒ คือ ทิพโสตญาณอันเป็นโอฬาริกวิสัย เพราะเป็นอารมณ์ของเจโตปริยญาณ, ยกเจโตปริยญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๓ เพราะเป็นสุขุมวิสัย.

               บรรดาวิชชา ๓ ท่านยกบุพเพนิวาสานุสติญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๑ เพราะบรรเทาความมืดในอดีตที่ปกปิดบุพเพนิวาสคือการเกิดในชาติก่อน, ยกทิพจักขุญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๒ เพราะบรรเทาความมืดทั้งในปัจจุบันและอนาคต, ยกอาสวักขยญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๓ เพราะตัดความมืดทั้งหมดเสียได้เด็ดขาด.

               บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า กายมฺปิ - แม้กาย ซึ่งได้แก่ แม้ซึ่งรูปกาย.

               คำว่า จิตฺตมฺปิ - แม้ซึ่งจิต ได้แก่ แม้ซึ่งจิตอันมีฌานเป็นบาท.

               คำว่า เอกววตฺถานตา - เพราะการกำหนดเข้าเป็นอันเดียวกัน.

               มีคำอธิบายว่า ด้วยทิสมานกายหรืออทิสมานกาย เพราะตั้งไว้โดยความเป็นอันเดียวกันกับบริกรรมจิต และเพราะกระทำกายและจิตให้ระคนกันตามที่จะประกอบได้ ในคราวที่ประสงค์จะไป.

               ก็คำว่า กาโย - กาย ในที่นี้ ได้แก่ สรีระ.

               จริงอยู่ สรีระ ท่านเรียกว่ากาย เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งอวัยวะทั้งหลายมีเกสา - ผม เป็นต้นอันน่าเกลียดเพราะสั่งสมไว้ซึ่งอสุจิ และเป็นบ่อเกิดแห่งโรคหลายร้อย มีโรคทางจักษุเป็นต้น.

               จ ศัพท์ ท่านประกอบไว้ในคำนี้ว่า สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ - ซึ่งสุขสัญญาด้วย ซึ่งลหุสัญญาด้วย เป็นสมุจจยัตถะ ควบสัญญาศัพท์เดียวเท่านั้น อันสัมปยุตกับจตุตถฌานให้เป็น ๒ บทเพราะต่างกันโดยอาการ.

               จริงอยู่ อุเบกขาในจตุตถฌาน ท่านกล่าวว่า สนฺตํ - สงบ สุขํ - เป็นสุข, สัญญาที่สัมปยุตกับอุเบกขานั้น ชื่อว่าสุขสัญญา. สุขสัญญานั่นแหละ ชื่อว่าลหุสัญญา เพราะพ้นนิวรณ์ทั้งหลายและปัจนิกธรรมมีวิตกเป็นต้น.

               คำว่า อธิฏฺฐานวเสน - ด้วยสามารถแห่งการตั้งไว้.

               ความว่า ด้วยสามารถแห่งการตั้งไว้อย่างยิ่ง.

               อธิบายว่า ด้วยสามารถแห่งการเข้าไป.

               จ ศัพท์ในคำว่า อธิฏฺฐานวเสน จ ท่านนำมาเชื่อมเข้าไว้. เหตุตามที่ประกอบได้ของอิทธิวิธมีประการทั้งปวง ท่านกล่าวไว้แล้วเพียงเท่านี้.

               คำว่า อิชฺฌนฏฺเฐ ปญฺญา - ปัญญาในการสำเร็จ. ความว่า ปัญญาในสภาวะคือการสำเร็จ.

               คำว่า อิทฺธิวิเธ ญาณํ - ญาณในการแสดงฤทธิได้ต่างๆ

               มีคำอธิบายท่านกล่าวไว้ว่า ชื่อว่า อิทฺธิ - ฤทธิ ในอรรถว่าสำเร็จ, และในอรรถว่าได้เฉพาะ เพราะอรรถว่าสำเร็จ.

               จริงอยู่ สิ่งใดจะเกิดขึ้น และจะได้เฉพาะ สิ่งนั้นท่านเรียกว่า อิชฺฌติ - ย่อมสำเร็จ.

               สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑-

                         ถ้าว่า เมื่อบุคคลปรารถนากามอยู่

                         และกามก็ย่อมสำเร็จแก่ผู้นั้น ดังนี้.

____________________________

๑- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๔๐๘


               อนึ่ง ดุจดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

                                   เนกขัมมะย่อมสำเร็จ ฉะนั้นจึงชื่อว่า อิทฺธิ - ฤทธิ

                         เนกขัมมะย่อมกำจัดกามฉันทะ ฉะนั้นจึงชื่อว่าปาฏิหาริย์,

                                   อรหัตมรรคย่อมสำเร็จ ฉะนั้นจึงชื่อว่า อิทฺธิ 2- ฤทธิ,

                         อรหัตมรรคนั้นย่อมทำลายกิเลสทั้งหมดได้ ฉะนั้นจึงชื่อว่า

                         ปาฏิหาริย์ ดังนี้.

____________________________

๒- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๗๒๒


               นัยอื่นอีก

               ชื่อว่า อิทฺธิ - ฤทธิ เพราะอรรถว่าสำเร็จ, คำนี้เป็นชื่อของอุบายสัมปทา.

               จริงอยู่ อุบายสัมปทาย่อมสำเร็จ เพราะประสบผลที่ตนประสงค์.

               สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๒-

                                   จิตตคฤหบดีนี้แล เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม,

                         ถ้าเธอจักปรารถนาว่า ขอให้เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ

                         ราชในอนาคตกาลไซร้ ความปรารถนาด้วยใจของเธอผู้

                         มีศีล จักสำเร็จ เพราะความปรารถนานั้นบริสุทธิ์ ดังนี้.

____________________________

๒- สํ. สฬา. เล่ม ๑๘/ข้อ ๕๘๔


               นัยอื่นอีก

               สัตว์ทั้งหลายย่อมสำเร็จได้ด้วยธรรมชาตินั้น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่า อิทฺธิ - ฤทธิ คือธรรมชาติเป็นเหตุให้สำเร็จ.

               คำว่า อิชฺฌนฺติ - ย่อมสำเร็จ.

               มีคำอธิบายว่า สำเร็จ คือเจริญ คือย่อมถึงความโด่งดัง.

               วิธะ คือ อิทฺธิ - ฤทธิ นั่นแหละชื่อว่าอิทธิวิธะ - แสดงฤทธิต่างๆ.

               อธิบายว่า อิทธิโกฏฐาสะ - ส่วนแห่งฤทธิ อิทธิวิกัปปะ - ฤทธิสำเร็จได้ต่างๆ.

               มีคำอธิบายท่านกล่าวไว้ว่า อิทธิวิธญาณ - ญาณในการแสดงฤทธิได้ต่างๆ .


               ๕๑. อรรถกถาโสตธาตุวิสุทธิญาณุทเทส               

               ว่าด้วยโสตธาตุวิสุทธิญาณ               

               คำว่า วิตกฺกวิปฺผารวเสน - ด้วยสามารถแห่งการแผ่วิตกไป.

               ความว่า ด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปคือด้วยกำลังแห่งวิตกของตน ในสัททนิมิตในเวลาทำบริกรรมเพื่อให้เกิดทิพโสตธาตุ

               ก็ในคำว่า วิตกฺโก นี้มีวิเคราะห์ว่า ธรรมชาติใดย่อมตรึก ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่าวิตก.

               อีกอย่างหนึ่ง ความตรึกชื่อว่าวิตก, มีคำอธิบายท่านกล่าวไว้ว่า การพิจารณา.

               วิตกนี้นั้น-

                         มีการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เป็นลักษณะ,

                         มีการประคองจิตไว้ในอารมณ์ เป็นกิจ.

               จริงอย่างนั้น ท่านกล่าวว่า พระโยคีบุคคลย่อมกระทำอารมณ์ให้ถูกกระทบด้วยวิตก.

                         มีจิตที่ทรงอยู่ในอารมณ์ เป็นปัจจุปัฏฐาน,

               และท่านกล่าวว่า มีอารมณ์อันมาถึงซึ่งคลอง เป็นปทัฏฐาน เพราะเกิดขึ้นโดยอินทรีย์ที่มาประชุมพร้อมซึ่งอารมณ์นั้น และโดยไม่มีอันตรายในอารมณ์อันแวดล้อมแล้ว.

               คำว่า นานตฺเตกตฺตสทฺทนิมิตฺตานํ - ซึ่งเสียงเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียว. ความว่า ซึ่งเสียงเป็นนิมิตมีสภาวะต่างๆ และมีสภาวะเดียว.

               ก็ในคำว่าสัททนิมิตนี้ สัททะคือเสียงนั่นแหละเป็นนิมิต เพราะเป็นเหตุแห่งการเกิดขึ้นแห่งวิตก และเพราะเป็นนิมิตแห่งสังขาร. เสียงที่กลมกล่อมเป็นอันเดียวกัน เช่นเสียงกลอง หรือหลายเสียงมากมาย, เสียงในทิศต่างๆ หรือเสียงสัตว์ต่างๆ ชื่อว่านานัตตสัททา - เสียงต่างๆ, เสียงในทิศเดียว, หรือเสียงสัตว์ตัวเดียว, หรือเสียงแต่ละเสียงเช่นเสียงกลองเป็นต้น ชื่อว่าเอกัตตสัททา - เสียงเดียว.

               ก็ในคำว่า สทฺโท นี้มีวิเคราะห์ว่า ธรรมชาติใดย่อมแผ่ไป ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่าสัททะ - เสียง.

               อธิบายว่า เสียงที่เปล่งว่าออก

               คำว่า ปริโยคาหเณ ปญฺญา - ปัญญาในการกำหนด.

               ความว่า ปัญญาเป็นเครื่องเข้าถึง. อธิบายว่า ปัญญาเป็นเครื่องรู้.

               คำว่า โสตธาตุวิสุทฺธิญาณํ - ญาณในโสตธาตุอันบริสุทธิ์

               ความว่า ชื่อว่าโสตธาตุ เพราะอรรถว่าได้ยิน และเพราะอรรถว่ามิใช่ชีวะ, และชื่อว่าโสตธาตุเพราะปัญญาทำกิจดุจโสตธาตุด้วยสามารถแห่งการทำกิจของโสตธาตุ, ชื่อว่าวิสุทธิ เพราะโสตธาตุนั้นหมดจดแล้ว เพราะปราศจากอุปกิเลส, โสตธาตุนั่นแหละบริสุทธิ์ ชื่อว่าโสตธาตุวิสุทธิ, ญาณคือความรู้ในโสตธาตุวิสุทธินั่นแหละ ชื่อว่าโสตธาตุวิสุทธิญาณ.


               ๕๒. อรรถกถาเจโตปริยญาณุทเทส               

               ว่าด้วยเจโตปริยญาณ               

               คำว่า ติณฺณํ จิตฺตานํ - แห่งจิต ๓ ดวง.

               ความว่า แห่งจิต ๓ ดวง คือ โสมนัสสหคตจิต ๑ โทมนัสสสหคตจิต ๑ อุเปกขาสหคตจิต ๑.

               คำว่า วิปฺผารตฺตา - ด้วยความแผ่ไป.

               ความว่า ด้วยความเป็นแห่งความแผ่ไป. อธิบายว่า ด้วยความเร็ว.

               คำว่า วิปฺผารตฺตา นี้เป็นปัญจมีวิภัตติลงในอรรถแห่งเหตุ.

               ความว่า เพราะเหตุแห่งความแผ่ไปแห่งจิต ๓ ดวงของบุคคลเหล่าอื่น ในกาลเป็นที่กระทำบริกรรมเพื่อให้เจโตปริยญาณเกิดขึ้น.

               คำว่า อินฺทฺริยานํ ปสาทวเสน - ด้วยสามารถแห่งความผ่องใสของอินทรีย์ทั้งหลาย.

               ความว่า ด้วยสามารถความผ่องใสของอินทรีย์ ๖ มีจักขุนทรีย์เป็นต้น,

               ก็ในที่นี้โอกาสเป็นที่ตั้งแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ท่านกล่าวด้วยคำว่า อินฺทฺริยานํ โดยผลูปจารนัย๑- ดุจคำว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง๒- ดังนี้.

               หทัยวัตถุนั่นแหละ ท่านประสงค์แล้วในที่นี้ แม้ในโอกาสแห่งอินทรีย์ประดิษฐานแล้ว.

____________________________

๑- ผลูปจารนัย - พูดเหตุแต่หมายถึงผล.

๒- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๑


               คำว่า ปสาทวเสน - ด้วยสามารถแห่งความผ่องใส.

               ความว่า ด้วยสามารถแห่งความไม่ขุ่นมัว.

               เมื่อกล่าวว่า ปสาทปฺปสาทวเสน - ด้วยสามารถแห่งความเลื่อมใสและเลื่อมใสยิ่ง คำนี้พึงทราบว่า ท่านทำการลบ อปฺปสาท ศัพท์เสีย.

               อีกอย่างหนึ่ง คำนี้พึงทราบว่า แม้ความไม่เลื่อมใส เป็นอันท่านกล่าวแล้วด้วยคำว่า ปสาทวเสน - ด้วยสามารถแห่งความเลื่อมใส นั่นเอง เพราะศัพท์ว่า อปฺปสนฺนํ - ไม่ผ่องใสแล้ว เป็นศัพท์ที่ไม่เพ่งถึงความเลื่อมใส.๓-

____________________________

๓- เลื่อมใสกินความถึงไม่เลื่อมใสด้วย แต่ไม่ผ่องใส ไม่กินความถึงความเลื่อมใส.


               คำว่า นานตฺเตกตฺตวิญฺญาณจริยาปริโยคาหเณ ปญฺญา - ปัญญาในการกำหนดจริยา คือวิญญาณหลายอย่างหรืออย่างเดียว.

               ความว่า ปัญญาในการรู้ความเป็นไปของจิต ๘๙ อันมีสภาวะต่างๆ กันและที่มีสภาวะเดียวกัน ตามสมควรแก่การเกิดขึ้น.

               ในวิญญาณจริยาทั้ง ๒ นี้ วิญญาณจริยาของผู้ไม่ได้สมาธิ เป็นนานัตตวิญญาณจริยา, วิญญาณจริยาของผู้ได้สมาธิ เป็นเอกัตตวิญญาณจริยา.

               อีกอย่างหนึ่ง จิตมีราคะเป็นต้นเป็นนานัตตวิญญาณจริยา, จิตปราศจากราคะเป็นต้นเป็นเอกัตตวิญญาณจริยา.

               ชื่อว่าปริยะ ในคำนี้ว่า เจโตปริยญาณํ นี้ เพราะอรรถว่ากำหนด. อธิบายว่า กำหนดรอบ.

               การกำหนดด้วยใจ ชื่อว่าเจโตปริยะ - กำหนดด้วยใจ,

               เจโตปริยะนั้นด้วย ญาณด้วย ฉะนั้นชื่อว่าเจโตปริยญาณ - ญาณในการกำหนดด้วยใจ. ปาฐะว่า วิปฺผารตา ดังนี้ก็มี. มีความว่าด้วยการแผ่ไป.


               ๕๓. อรรถกถาบุพเพนิวาสานุสติญาณุทเทส               

               ว่าด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ               

               คำว่า ปจฺจยปฺปวตฺตานํ ธมฺมานํ - ซึ่งธรรมทั้งหลายอันเป็นไปตามปัจจัย.                ความว่า ซึ่งปัจจยุปบันธรรมอันเป็นไปแล้วจากปัจจัยด้วยสามารถแห่งการอาศัยกันเกิดขึ้น.

               อกุศลกรรม ชื่อว่านานัตตะ - หลายอย่าง, กุศลกรรม ชื่อว่าเอกัตตะ - อย่างเดียว ในคำว่า นานตฺเตกตฺตกมฺมวิปฺผารวเสน นี้.

               อีกอย่างหนึ่ง กามาจวรกรรม ชื่อว่านานัตตะ - หลายอย่าง, รูปาวจรและอรูปาวจรกรรม ชื่อว่าเอกัตตะ - อย่างเดียว.

               สัมพันธ์ความว่า

               ปัญญาในการกำหนดธรรมอันเป็นไปแต่ปัจจัยด้วยสามารถการแผ่ไปแห่งกรรมหลายอย่างหรืออย่างเดียว.

               คำว่า ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณํ - ญาณเป็นเครื่องระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้.

               ความว่า ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในก่อนคือในอดีตชาติ ชื่อว่าบุพเพนิวาสะ - ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในชาติก่อน.

               คำว่า นิวุตฺถา - ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่.

               ความว่า ขันธ์ที่เคยอยู่คือที่มีแล้ว เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปในสันดานของตน. หรือธรรมที่เคยอยู่แล้วในก่อนคือในอดีตชาติ ชื่อว่าบุพเพนิวาสะ - ธรรมที่เคยอาศัยอยู่ในก่อน.

               บทว่า นิวุตฺถา - ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่.

               ความว่า อยู่แล้วด้วยการอยู่เพราะอาศัยธรรมดังกล่าวแล้วเป็นอารมณ์ คือรู้แจ้งได้ด้วยจิตของตน ชื่อว่าการกำหนด ถึงแม้ว่ารู้แจ้งซึ่งจิตของคนอื่น ก็ชื่อว่าการกำหนด แต่ผู้ที่ทรงคุณอย่างหลังนี้ ย่อมมีแก่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ในบรรดาการระลึกถึงการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งขาดเป็นตอนๆ เป็นต้น.

               คำว่า ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติ - ตามระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้

               ความว่า ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในครั้งก่อนได้ด้วยสติใด สตินั้นชื่อว่าบุพเพนิวาสานุสติ.

               คำว่า ญาณํ - ญาณ ได้แก่ ญาณอันสัมปยุตด้วยสตินั้น.

               -------------------------

[full-post]

สุตตันตปิฎก,ปฏิสัมภิทามรรค,อรรถกถา,ขันติญาณ

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.