สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ


ควรถวายดอกไม้ของหอมพระหรือไม่

   ถาม มีหนังสือของสำนักหนึ่ง พูดถึงการบูชาพระพุทธเจ้า ตลอดจนพระธรรม และพระสงฆ์ว่า ไม่ควรถวายดอกไม้ ของหอม เพราะพระท่านมีศีลข้อหนึ่งที่ห้ามมิให้ทัดทรง ประดับตกแต่งร่างกายด้วยระเยียบดอกไม้ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทา อยู่แล้ว ซึ่งแม้แต่ผู้ถืออุโบสถหรือศีล ๘ ก็ยังเว้นการกระทำเช่นนี้ เพราะฉะนั้นการเอาดอกไม้ไปถวายพระจึงไม่ควร ท่านว่าอย่างนี้ ถูกต้องไหม มีเหตุผลและหลักฐานที่ถูกต้องว่าอย่างไร ช่วยนำเสนอด้วย

   ตอบ เรื่องที่ปรารภมานี้ เข้าใจว่าจะเป็นการเข้าใจไขว้เขวของท่านผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นมากกว่า เพราะยังไม่เคยพบพระสูตรหรืออรรถกถาใด กล่าวห้ามการบูชาพระรัตนไตรด้วยดอกไม้ ของหอม ไว้เลย ทั้งผู้ถวายก็ไม่ได้ถวาย เพราะมุ่งจะให้พระท่านประดับตกแต่งร่างกาย แต่ถวายเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรถวาย มีประโยชน์แก่ท่านในการที่จะนำไปใช้บูชาพระพุทธเจ้า หรือพระสถูปเจดีย์ พระบรมธาตุ เป็นต้น

   จริงอยู่ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้พากันบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ ของหอม ทั้งประโคมดนตรีทิพย์บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมาก ในขณะนั้นทั่วสาลวโนทยานคงจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ของดอกไม้ และเครื่องหอมที่มนุษย์และเทวดานำมาบูชาพระพุทธเจ้า อันเป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พระองค์หาได้รับการบูชาจากเทวดาและมนุษย์เพียงเครื่องสักการะเท่านี้ไม่ ส่วนผู้ใดปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม ประพฤติตามธรรมอยู่ ผู้นั้น ชื่อว่าได้สักการะ เคารพนับถือ บูชา ด้วยการบูชาอย่างยิ่งและที่พระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพื่อ จะอนุเคราะห์พุทธบริษัท และเพื่อความตั้งมั่นของพระศาสนา ด้วยว่าบุคคลแม้บูชาพระองค์ด้วยเครื่องบูชาอย่างยิ่งก็มิอาจดำรงพระศาสนาให้ตั้งมั่นตลอดไปได้ ผู้ที่บูชา พระองค์ด้วยดอกไม้ เป็นต้นนั้น ก็ย่อมได้รับบุญเฉพาะตนเองเท่านั้น แต่ผู้ที่บูชาพระองค์ ด้วยสัมมาปฏิบัติ ประพฤติชอบแล้ว ย่อมจะดำรงพระศาสนาไว้ได้ เมื่อศาสนาดำรงอยู่ ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากพระศาสนามีมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นผู้ที่บูชาพระองค์ด้วย การปฏิบัติบูชา จึงชื่อว่าทำตนและผู้อื่นเป็นอันมากให้ได้รับบุญด้วย นั่นคือ ได้อนุเคราะห์ ผู้อื่นให้มีโอกาสได้รับรสพระธรรมด้วยนั่นเอง เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสรรเสริญการปฏิบัติบูชา แต่ก็ไม่เคยติเตียนอามิสบูชา คือการบูชาด้วยวัตถุสิ่งของมีข้าว น้ำ ดอกไม้ เป็นต้น สิ่งใดที่ทำแล้วเกิดบุญ สิ่งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงห้าม และ จะไม่ทรงห้ามเป็นอันขาด แต่จะทรงชี้ให้เห็นว่า การบูชาชนิดใดมีอานิสงส์มากกว่าเท่านั้น และถ้าเรามาพิจารณาจากประวัติของพระเถระพระเถรีทั้งหลายในปางก่อนก็จะเห็นว่า  ท่านได้ประกอบอามิสบูชามาแล้วในอดีตเป็นอันมาก ซึ่งอามิสบูชาในอดีตนั้นแหละ เป็นอุปนิสัยปัจจัยสนับสนุนให้ท่านได้มาพบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากพระองค์และปฏิบัติตาม จนบรรลุเป็นพระอรหันต์

   ก็นับว่า ท่านพระเถระพระเถรีเหล่านั้นได้ปฏิบัติอามิสบูชามาก่อน แล้วบรรลุ ธรรมในภายหลัง ซึ่งการปฏิบัติบูชาด้วยอามิส อันรวมถึงดอกไม้ ของหอม เป็นต้นนั้น ล้วนเป็นปัจจัย ให้ท่านได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นลำดับมา ได้สร้างบุญกุศลเพิ่มขึ้นๆ จนในชาติสุดท้ายได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรปฏิเสธอามิสบูชา เพราะถ้าปฏิเสธอามิสบูชาเสียแล้ว ภิกษุสามเณรทั้งหลายจะดำรงชีวิตในพระศาสนาได้อย่างไร เพราะข้าว น้ำ ตลอดไตรจีวรและเสนาสนะ ที่อยู่ที่อาศัย และยารักษาโรค เป็นต้น อันจำเป็นแก่ชีวิต ก็ล้วนเป็นอามิสบูชาทั้งสิ้น ทางที่ถูกแล้ว เราควรจะเกื้อกูลท่านด้วยอามิสบูชา เพื่อให้ท่านได้รับความสะดวกสบายพอควร จะได้ปฏิบัติบูชาได้โดยไม่กังวล เพื่อสืบพระศาสนาให้ยั่งยืนต่อไป

   อีกประการหนึ่งก็อย่าลืมว่า วัตถุทาน ๑๐ อย่าง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้นั้น ได้แก่ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่อยู่ ที่อาศัย และประทีปควงไฟ ซึ่งก็จะเห็นว่า รวมเอาดอกไม้ และของหอมเครื่องลูบไล้ไว้ด้วย ซึ่ง ในการถวายดอกไม้เป็นต้นนี้ ผู้ถวายก็มิได้มุ่งจะให้พระท่านใช้ประดับตกแต่งร่างกาย แต่มุ่งถวายพระ ให้พระท่านไปบูชาพระพุทธเจ้าอีกต่อหนึ่งหรือให้เอาไปบูชาพระธรรม หรือแม้พระสงฆ์ด้วยกันต่างหาก หรือจะกล่าวว่าผู้ถวายที่ถวายดอกไม้ของหอมเป็นต้นนั้น มุ่งถวายแก่พระสงฆ์ เพื่อบูชาพระอริยสงฆ์ก็ได้ ส่วนพระสงฆ์ท่านจะเอาไปทำอะไร หรือแม้ท่านจะทิ้งเสียก็เป็นเรื่องของท่าน เพราะถึงอย่างไร บุญก็เกิดแก่ผู้ถวายอยู่แล้ว ส่วนพระที่รับจะไปทำให้เกิดบุญหรือเกิดบาป ผู้ถวายไม่มีโอกาสทราบเลย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของพระผู้รับด้วย ในการที่จะไปทำให้เกิดบุญหรือบาปแก่ตัวท่านเอง และอย่าว่าแต่การเอาไปบูชาพระสงฆ์ ซึ่งผู้รับคือพระสงฆ์ท่านยังมีชีวิตอยู่ สามารถจะเอา ของบูชานั้นไปทำอะไรต่อไปก็ได้เลย แม้การที่เราเอาดอกไม้ของหอมไปบูชาสิ่งไม่มีชีวิต เช่น พระสถูปเจดีย์ ที่บรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า หรือของพระสาวก ด้วยความเคารพเลื่อมใส ก็ยังเป็นบุญมหาศาล ทำไมจึงจะปฏิเสธบุญเสียเล่า เราจะเลือกทำแต่บุญ คือการปฏิบัติอย่างเดียวกระนั้นหรือ ถ้าเรามุ่งทำบุญด้วยการปฏิบัติบูชากันอย่างเดียวตลอดมาในอดีต แต่ยังมิได้บรรลุธรรมแม้ในปัจจุบันนี้ เราทั้งหลาย ก็คงจะเป็นคนยากจน ขัดสน ไร้ทรัพย์ ทำสิ่งใด ก็ขัดข้อง เพราะไม่ได้ทำเหตุไว้ ถ้าเรามัวแต่ดิ้นรนเลี้ยงชีวิตให้พอกินไปวันหนึ่งๆ แล้วเราจะมีเวลาที่จะปฏิบัติธรรมละหรือ ในเมื่อท้องหิว 

   เพราะฉะนั้นการจะพูดอะไร สอนอะไรนั้น ควรจะคำนึงว่าเราสอนถูก สอนตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือไม่ การสอนนั้น ก่อให้ผู้อื่นเกิดประโยชน์หรือเสียประโยชน์ ผู้ฟังคำสอนก็ควรจะได้พิจารณาด้วยว่า ถูกตรงประการใด หรือมีเหตุผลที่ควรเชื่อหรือไม่ ไม่ใช่ว่าใครพูดธรรมะแล้วถูกไปทั้งหมด หามิได้เลย ที่แท้แล้ว ผู้ที่สอนตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก และอรรถกถาอธิบายนั้นหาได้ยาก มีแต่สอนตามความเห็น ความเข้าใจของตนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนอกจากจะเป็นอันตรายแก่ตนเองที่พาผู้อื่นหลงทางแล้ว ยังทำลายศาสนาอีกด้วย เพราะทำให้คนเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าผิดจากความจริง คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่ตื้นและง่ายสำหรับคนเหล่านี้ ราวกับว่าเขาเป็น พระพุทธเจ้าเสียเอง ศาสนาพุทธของเราถูกทำลายด้วยคนที่บิดเบือนพระพุทธพจน์เหล่านี้ ไม่น้อย นับวันก็ดูจะกว้างขวางมากขึ้น เพราะผู้ที่มีความรู้สูงๆ เป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง ก็ยังพากันหลงเชื่องมงายกับคำสอนของคนเหล่านี้ แล้วยังช่วยกันแพร่ความงมงายนี้ออกไปสู่ผู้ใกล้ชิดและศิษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก บางคนนับถือพระพุทธเจ้าอยู่แล้วกลับลืมพระองค์ ละทิ้งพระองค์ หันไปนับถือบูชาผู้ที่มิใช่พระพุทธเจ้า ซึ่งมิใช่แม้เพียงพระอริยบุคคล เป็นปุถุชนคนมีกิเลสธรรมดาๆ ไม่ผิดอะไรกับไก่ที่คุ้ยเขี่ยไปพบเพชรแล้วไม่รู้คุณค่าของเพชรนั่นแหละ 

   ก่อนจะผ่านปัญหาข้อนี้ไป ก็ใครจะยกตัวอย่างเรื่องการถวายดอกไม้ ของหอม แล้วได้รับอานิสงส์เป็นพระสกทาคามีให้ฟังสักเรื่องหนึ่งก่อน เรื่องนี้คือ วิสาลักขิวิมาน ในวิมานวัตถุ ข้อ ๓๗ ซึ่งมีข้อความดังนี้

   ท้าวสักกเทวราชได้ตรัสถามนางสุนันทาเทพธิดาถึงกรรมที่นางได้ทำไว้ อันเป็น เหตุให้ได้วิมานมีนางฟ้าแวดล้อม มีรัศมีกายสว่างไสวไปทั่ว ซึ่งนางสุนันทาเทพธิดาก็ได้ ทูลตอบตอนหนึ่งว่า หม่อมฉันเป็นอุบาสิกา มีนามว่า สุนันทา อยู่ในพระนครราชคฤห์ อันน่ารื่นรมย์ ถึงพร้อมด้วยศรัทธาและศีล ยินดีในการจำแนกแจกทานทุกเมื่อ หม่อมฉัน มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายผ้านุ่ง ผ้าห่ม ภัตตาหาร เสนาสนะและเครื่องประทีป ในภิกษุ ทั้งหลายผู้คงที่ ทั้งได้รักษาอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ตลอดวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และวัน ๘ ค่ำแห่งปักษ์ และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สำรวมในศีลเป็นนิจ หม่อมฉันยินดีแล้วในสิกขาบททั้ง ๕ คืองดเว้นจากปาณาติบาต จากความเป็นขโมย จากการประพฤตินอกใจ ระมัดระวังการพูดเท็จ และเว้นไกลจากการดื่มน้ำเมา เป็น ผู้ฉลาดในอริยสัจธรรมทั้ง ๔ เป็นอุบาสิกาของพระสมณโคดมผู้มีพระจักษุ ผู้เรืองยศ บิดาของหม่อมฉันใช้ให้หม่อมฉันนำดอกไม้มาทุกๆ วัน หม่อมฉันได้บูชาที่พระสถูป อันเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกวัน ในวันอุโบสถ หม่อมฉันมีใจ เลื่อมใสได้ถือเอาพวงมาลัย ของหอม เครื่องลูบไล้ ไปบูชาพระสถูปของพระผู้มีพระภาคเจ้านั่น ด้วยมือของตนเอง ข้าแต่พระองค์ผู้จอมเทพ รูปอันสวยงาม คติ ฤทธิ์ และ อานุภาพเช่นนี้ เกิดมีแก่หม่อมฉันเพราะกรรมนั้น มิใช่ว่าผลที่หม่อมฉันได้บูชาพระสถูปด้วยพวงมาลัย และที่หม่อมฉันได้รักษาศีล จะให้ผลเท่านั้นก็หามิได้ ยังกลับให้หม่อมฉันพึงได้พระสกทาคามีตามความปรารถนาของหม่อมฉันอีกด้วย

   นี่คือใจความในวิสาลักขิวิมาน ซึ่งท่านผู้ถามก็จะเห็นอานิสงส์ของการบูชาพระ สถูปของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีจิตรับรู้แล้ว ด้วยดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ว่ามีอานิสงส์มากเพียงใด

   ความจริงยังมีตัวอย่างจริงๆ ที่พระเถระพระเถรีทั้งหลายท่านเล่าไว้ด้วยตนเอง ภายหลังเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วว่า ในอดีตอันยาวไกลนั้น ท่านได้ทำบุญด้วยอะไร จึงเป็นเหตุให้ได้รับผลอันเลิศ คืออรหัตผลนี้ ซึ่งมีหลายท่านบอกว่า ได้ถวายดอกไม้เพียงดอกเดียว บ้างก็ถวายดอกบวบขม ดอกสน เป็นต้น ซึ่งถ้าเราคิดดูว่าดอกไม้เหล่านี้เอาไปทำอะไรได้ เพียงแค่ดอกบวบขม เด็ดออกจากต้น ไม่นานก็เหี่ยว แต่ผู้ที่บูชามิได้นึกเช่นนั้น ได้ตั้งใจบูชาด้วยจิตที่เลื่อมใสจริงๆ และท่านอาจจะไม่มีสิ่งอื่นที่ควรแก่การบูช มีเพียงดอกไม้ดอกเดียวก็เอาดอกไม้นั้นบูชาด้วยจิตที่เลื่อมใส ผลของการบูชาด้วยความเลื่อมใสเป็นปัจจัยให้ไม่ไปทุคติเลย และเป็นปัจจัยให้สร้างสมบุญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนใน ชาติสุดท้ายได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากพระองค์ บรรลุเป็นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ วิโมกข์ ๘ เปล่งอุทานว่า เราได้ทำตามคำสอนของ พระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรดูหมิ่นทาน แม้มีค่าน้อยว่าจะไม่ให้ผลมาก หากว่าท่านได้ให้ด้วยจิตใจที่เลื่อมใส


[full-post]

prachaniyom,ประชานิยม,ควรถวายดอกไม้ของหอมพระหรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.