วิธีรักษาชาติและพระศาสนา

-----------------------

เมื่อวันพระที่แล้ว (๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕) อันเป็นวันพระสุดท้ายของปี ๒๕๖๕ ผมเห็นญาติมิตรท่านหนึ่งเขียนคำว่า “ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๒” ก็เลยเกิด “วาบความคิด” ขึ้นมา

เดือนทางจันทรคติ ๒ เดือน คือ เดือน ๑ กับเดือน ๒ ภาษาไทยอย่างไทยไม่ได้เรียกเดือน ๑ เดือน ๒

เดือน ๑ เรียกว่า เดือนอ้าย

เดือน ๒ เรียกว่า เดือนยี่

เวลาพูดเวลาเขียน ก็พูดก็เขียนว่า เดือนอ้าย เดือนยี่

ไม่ได้พูดหรือเขียนเป็น เดือน ๑ เดือน ๒

ผมว่าคนไทยรุ่นใหม่ลืมเรื่องนี้กันหมด

อีกคำหนึ่งคือ คำว่า ๑ ค่ำ เช่น ขึ้น ๑ ค่ำ แรม ๑ ค่ำ

๑ ค่ำ ภาษาไทยอย่างไทยพูดว่า ค่ำหนึ่ง ไม่ใช่ ๑ ค่ำ

คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ผมพูดว่า ค่ำหนึ่ง กันทั้งนั้น ไม่มีใครพูดว่า ๑ ค่ำ

เปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานที่คำว่า “ค่ำ” ก็จะเห็นพยานหลักฐานชัดเจน

พจนานุกรมฯ บอกไว้ว่า

...............................................

ค่ำ น. เรียกวันตามจันทรคติ เช่น ขึ้นคํ่าหนึ่ง ขึ้น ๒ คํ่า

...............................................

โปรดสังเกตว่า พจนานุกรมฯ ใช้ค่ำว่า “เช่น ขึ้นคํ่าหนึ่ง”

ไม่ใช่ “เช่น ขึ้น ๑ คํ่า”

แล้วก็ไม่ใช่ “เช่น ขึ้นคํ่า ๑” คือไม่ใช้ตัวเลข

แต่ใช้ตัวอักษรเป็น “ค่ำหนึ่ง” ไม่ใช่ “ค่ำ ๑”

ยังมีภาษาไทยอย่างไทยอีกมากที่คนไทยรุ่นใหม่ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ ซ้ำยังเกิดมีแนวคิดที่เป็นเสมือนการ “ให้ท้าย” คือมีคำอธิบายเชิงวิชาการว่า ภาษาที่ยังมีคนใช้พูดกันอยู่ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จะให้คงที่เหมือนในยุคสมัยก่อนๆ อยู่เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ 

เช่นภาษาไทยสมัยอยุธยาก็ไม่เหมือนภาษาไทยสมัยสุโขทัย ภาษาไทยสมัยปัจจุบัน พ.ศ.นี้ ก็ไม่เหมือนภาษาไทยสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ดังนี้เป็นต้น

แนวคิดนี้ก็เท่ากับบอกว่า ใช้คำพูดใช้ภาษาไม่เหมือนสมัยก่อนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปศึกษาเรียนรู้ภาษาไทยสมัยก่อน อยากพูดอย่างไรเขียนอย่างไรก็ใช้ไปตามที่คิดเห็นได้ในปัจจุบันเท่านั้นพอ

สอดรับกับทฤษฎี “ภาษาเป็นสิ่งสมมุติ” คือ เขียนไปแล้วพูดไปแล้ว คนรับสารเข้าใจตรงกันว่าจะสื่ออะไร เท่านี้พอ ไม่มีผิดไม่มีถูก

เป็นอันว่า คนไทยรุ่นใหม่ไม่ศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจภาษาของตัวเอง ภาษาที่งามที่ดีคืออย่างไร ภาษาที่ไม่งามไม่ดีคืออย่างไร คนไทยรุ่นใหม่ไม่เรียน ไม่รับรู้ ไม่รับถ่ายทอด

นอกจากไม่ศึกษาเรียนรู้ภาษาของตัวเองให้เข้าใจลึกซึ้งแล้ว ความเป็นมาของชาติตัวเอง ที่เรียกว่าประวัติศาสตร์ไทย คนไทยรุ่นใหม่ก็ไม่สนใจไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องศึกษาเรียนรู้

ภาษาและประวัติศาสตร์ของชาติตัวเองถือว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของชาติ เมื่อไม่เรียน ไม่รู้ ไม่รับรู้ ไม่รับถ่ายทอด ก็คือไม่รู้จักตัวเอง

คนในชาติไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักชาติของตัวเอง แล้วชาติจะเป็นอย่างไร

.......................

อาการดังว่านี้กำลังเกิดขึ้นในหมู่ชาวพุทธในเมืองไทยอีกด้วย-โดยเฉพาะอย่างยิ่ง-ชาววัด

ยกตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับวินัยพระ --

ถามพระว่า ทำไมพระออกบิณฑบาตจึงไม่สวมรองเท้า

พระตอบว่า ไม่ทราบ แต่พระไทยไม่สวม ก็ทำตามกันมา

ถามพระว่า อนามัฏฐบิณฑบาตคืออะไร

พระตอบว่า ไม่ทราบ ไม่เคยได้ยิน

ถามพระว่า ชาวบ้านกินข้าวที่พระไปบิณฑบาตได้มาก่อนพระ เป็นบาป แต่คน ๖ จำพวก กินได้ ไม่บาป คน ๖ จำพวกคือใครบ้าง

พระตอบว่า ไม่ทราบ

ยกมาพอเป็นตัวอย่างเท่านี้

แปลว่าอะไร? ก็แปลว่า พระภิกษุสามเณรทุกวันนี้ที่ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยมีมากขึ้น

ยังไม่รวมพระภิกษุสามเณรที่ไม่เคยทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น

ยังไม่รวมพระภิกษุตามวัดต่างๆ ที่มีพระ ๒-๓ รูป ไม่เคยลงอุโบสถสังฆกรรม (ประชุมฟังพระปาติโมกข์)

ยังไม่รวมพระที่ไม่เคย “ปลงอาบัติ” และไม่รู้ว่าปลงอาบัติคือทำอะไร

บอกให้รู้ว่า ชาววัดที่ไม่เรียน ไม่รู้ ไม่รับรู้ ไม่รับถ่ายทอดหลักปฏิบัติในวิถีชีวิตสงฆ์มีมากขึ้น และนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ

คนในศาสนา ไม่รู้จักหลักพระธรรมวินัยในศาสนาของตัวเอง แล้วศาสนาจะเป็นอย่างไร

.......................

ในส่วนชาติบ้านเมือง มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการศึกษาอบรมสั่งสอนถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาติให้แก่คนในชาติ

ในส่วนพระพุทธศาสนา มีผู้บริหารการพระศาสนาคือพระสังฆาธิการระดับต่างๆ และมีองค์กรคือมหาเถรสมาคม มองเห็นตัวบุคคลที่รับผิดชอบชัดเจนว่ามีใครบ้าง

ถ้าหน่วยงานและบุคคลที่รับผิดชอบท่านไม่ทำอะไรที่ควรทำ เราแต่ละคนก็ต้องช่วยกันทำกันเอง

ชาวบ้านก็อบรมสั่งสอนสมาชิกในครอบครัว-บ้านใครบ้านมัน 

ชาววัดก็อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรในแต่ละวัด-วัดใครวัดมัน

ในส่วนตัวของแต่ละคน ก็ศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจเรื่องนั้นๆ ด้วยตัวเอง แล้วหาโอกาสบอกกล่าวถ่ายทอดให้แพร่หลายออกไป

ไม่มีใครทำเลย มีแต่เราที่ห่วงชาติห่วงพระศาสนาบ่นบ้าอยู่คนเดียว เราก็ทำของเราไป คนเดียวก็ทำไป

เหนื่อยก็พัก

หนักก็วาง

มีกำลังก็ลุกขึ้นทำต่อไป

วิธีนี้เท่านั้นที่พอหวังได้

บอกให้คนอื่นทำ ไม่ต้องหวัง

--------------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๒ มกราคม ๒๕๖๖

๑๙:๔๗

[full-post]

รักษาชาติ,รักษาพระศาสนา

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.