ความรู้เรื่องการบิณฑบาต
-------------------------
เวลาเดินออกกำลังตอนเช้า ภาพที่ผมเห็นทุกวันก็คือ คนใส่บาตร และสิ่งที่ผมทำเสมอก็คือ อนุโมทนาบุญกับคนใส่บาตร
ถ้าอยู่ใกล้ ก็กล่าวคำอนุโมทนาดังๆ ให้เขาได้ยิน
ถ้าอยู่ไกล ก็น้อมใจอนุโมทนา
.................................................
แต่ถ้าเห็นคนเอาสตางค์ใส่บาตร ผมไม่อนุโมทนา
เพราะการเอาสตางค์ใส่บาตรทำให้พระต้องอาบัติ คือมีความผิด
คนใส่บาตรก็ได้บาปติดมาด้วย
การถวายเงินให้พระนั้นสามารถทำได้ครับ
แต่ต้องถวายให้ถูกวิธี
ถวายเงินให้ถูกวิธีทำอย่างไร ผมเคยเขียนแนะนำไว้แล้ว
ถ้าใครยังไม่รู้ ถามมา ผมยินดีจะบอกอีก
.................................................
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากขอร้อง
คือ ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานั้นชาววัดควรช่วยกันเผยแผ่ให้มากๆ และควรถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ
เมื่อชาวบ้านมีความรู้ที่ถูกต้อง เขาจะได้ทำถูก ปฏิบัติถูก พระพุทธศาสนาที่ถูกต้องจะได้แพร่หลายและมั่นคงอยู่ในชีวิตจิตใจและในการปฏิบัติจริง ไม่ใช่มีอยู่แต่ในคัมภีร์
ไม่ควรปล่อยให้ปฏิบัติกันผิดๆ จนดูเป็นว่า-ผิดกลายเป็นถูกเพราะมีคนทำกันทั่วไป-อย่างเรื่องเอาสตางค์ใส่บาตรเป็นต้น
.................................................
ตอนนี้ขอให้ความรู้เกี่ยวกับการบิณฑบาตก่อน
ผมเชื่อว่า คนสมัยใหม่ที่มีศรัทธาใส่บาตรมีเป็นจำนวนมากที่ไม่รู้วินัยของพระเกี่ยวกับการบิณฑบาต
มีศรัทธาที่จะทำ
แต่ไม่มีความรู้แม้ในเรื่องที่ตนกำลังทำนั่นเอง
รู้วินัยเกี่ยวกับการบิณฑบาตของพระอีกสักเล็กน้อยพอเป็นพื้นฐาน เมื่อเห็นพระบิณฑบาต หรือเมื่อรอใส่บาตร จะได้มองออก บอกถูก ทำเป็น
(๑) พระเณรออกบิณฑบาตจะไม่สวมรองเท้า
เพราะมีพระวินัยบัญญัติ “ห้ามสวมรองเท้าเข้าบ้าน” และท่านวินิจฉัยเป็นหลักการว่า การไปบิณฑบาตถือว่าเป็นการ “เข้าบ้าน” ทั้งนี้เพราะดั้งเดิมแท้ๆ ชาวบ้านหุงต้มอาหารกันที่บ้าน พระไปรับอาหารจากชาวบ้านก็ต้องไปที่บ้าน การออกบิณฑบาตจึงเป็นการเข้าไปในบ้าน
ใครจะถกเถียง จะวิจารณ์ วิพากษ์ จะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย หรือจะเห็นเป็นประการใด ยกไปพูดกันอีกเวทีหนึ่ง เฉพาะที่นี่จับหลักไว้แค่นี้พอ
ทุกวันนี้เราพลาดกันตรงนี้ คือไม่ศึกษาเรียนรู้หลักเดิม โผล่ขึ้นมาก็เอาความเห็นความเข้าใจของตัวเองเป็นหลักกันทันที
ถอยไปตั้งหลักก่อน
แล้วจึงค่อยมาว่าถึงความคิดเห็นส่วนตัว
(๒) เวลาออกบิณฑบาตคือตั้งแต่อรุณขึ้นไปจนถึงสายๆ สายสุดๆ ก็ไม่เกินเที่ยง คือต้องมีเวลาฉันอาหารที่บิณฑบาตได้มาให้เสร็จก่อนเที่ยง
สมัยหนึ่งมีพระเกจิรูปหนึ่งจัดกิจกรรมบิณฑบาตจนเที่ยง จนหลังเที่ยง ญาติโยมที่เลื่อมใสก็ยังใส่บาตร นั่นคือไม่รู้ หรือไม่ก็ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย
(๓) ตามปกติ พระออกบิณฑบาตก็คือต้องเดิน จากบ้านนั้นไปบ้านโน้น และมีระเบียบให้เดินรับไปตามลำดับบ้าน เห็นบ้านไหนมีอาหารไม่ดีไม่ชอบ ก็ไม่รับ ไปเลือกรับบ้านที่มีอาหารดีกว่า - แบบนี้ห้ามทำ ระเบียบนี้เป็นข้อยืนยันว่า ไปบิณฑบาตคือต้องเดินไปตามบ้าน
ปัจจุบันมีพระยืนรับบิณฑบาตอยู่กับที่ จนเดี๋ยวนี้ถึงกับนั่งบิณฑบาตกันแล้ว
ไม่ต้องไปเถียงกับพระ และไม่ต้องเถียงกันว่าผิดหรือถูก เราทำเพียงแค่รับรู้หลักการเดิมของท่านไว้เป็นความรู้ของเรา
ส่วนจะผิดจะถูก จะเอายังไงกันแน่ ปล่อยให้คณะสงฆ์ท่านจัดการ-ในขณะที่เราก็รู้หลักการไว้ด้วย ไม่ใช่ว่าคณะสงฆ์จะจัดการหรือไม่จัดการ เราก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
เท่าที่ผมทราบ และสังเกตเห็น ปัจจุบันมีคนใส่บาตรจำนวนมากที่ไม่ใส่พระที่ยืนอยู่กับที่ แต่รอใส่พระที่เดินบิณฑบาต
(๔) โปรดรับทราบหลักการว่า พระออกบิณฑบาตก็เพื่อหาอาหารมาพอเลี้ยงชีวิตประจำวันเพื่อให้มีกำลังศึกษาและปฏิบัติธรรมเท่านั้น ได้อาหารพอสำหรับวันนั้นแล้วก็หยุดก็เลิก หลักการมีอยู่อย่างนี้
เห็นใครทำไม่ตรงตามนี้ ก็พึงทราบไว้ว่าทำไม่ตรงตามหลักการ
(๕) ปริมาณอาหารประจำวันอย่างมากที่สุดก็เต็มบาตร จึงมีระเบียบให้พระรับอาหารบิณฑบาตได้พอเต็มบาตรเท่านั้น
ในกรณีที่มีญาติโยมใส่บาตรมาก ระเบียบก็อนุโลมให้รับได้ไม่เกิน ๓ บาตร คือเต็มบาตรแล้วถ่ายออก รับต่อไปอีก พอเต็ม ๓ บาตรก็ต้องหยุด พอแค่นั้น
อาหารที่รับมามากเช่นนั้น ระเบียบกำหนดให้เอาไปแบ่งแจกให้พระเณรอื่นๆ ไม่ให้เก็บตุนไว้คนเดียว นักใส่บาตรโปรดช่วยกันรับทราบ
เห็นขนกลับวัดเป็นคันรถๆ ก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับพระหรือกับใคร เพียงแค่เรารับรู้ว่าระเบียบมีไว้อย่างไร พอแล้ว ใครทำผิดระเบียบก็รับโทษรับกรรมกันเอง
กรณีรับบิณฑบาตในโอกาสพิเศษ เช่นตักบาตรเทโว ถ่ายกันเกิน ๓ บาตร แบบนั้นจะว่าอย่างไร เก็บไปถกเถียงกันอีกเวทีหนึ่ง
(๖) ควรรู้ไว้อีกเรื่องหนึ่ง เป็นความรู้พิเศษ นั่นก็คือ อาหารที่ไปบิณฑบาตได้มา พระยังไม่ได้ฉัน ภาษาพระวินัยเรียกว่า “อนามัฏฐบิณฑบาต” จะเอาไปแจกเด็กหรือแจกชาวบ้านแสดงความเมตตาโดยที่พระยังไม่ได้ฉัน หรือเอาไปให้ฆราวาสญาติโยมกินก่อน อย่างนี้ทำไม่ได้ ผิดวินัย เว้นไว้แต่บุคคลที่ได้รับการยกเว้น เช่นพ่อแม่ของพระเป็นต้น
นี่เป็นหลักความรู้พื้นฐานที่นักใส่บาตรควรรู้ไว้ เท่าที่พอจะนึกออกและประมวลได้ในขณะนี้
รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ยังคงยืนยันอยากใส่บาตรอยู่อีก หรือจะเลิกใส่บาตร เปลี่ยนไปทำบุญด้วยวิธีอื่น เป็นสิทธิของเราที่จะเลือกได้ตามใจปรารถนา
.................................................
สำหรับโยม: ใส่บาตรคือการบำเพ็ญบุญทานมัย
ไม่ใช่เอาข้าวแลกพร
สำหรับพระ: อนุโมทนาคือการแสดงธรรม
ไม่ใช่เอาพรแลกข้าว
.................................................
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๕
๑๗:๓๐
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ