ปริจเฉทที่ ๒๓

ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ


       [๘๕๔] อนึ่ง ปัญหากรรมใด ที่เรากล่าวไว้ว่า "อะไร เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนา (การทำวิปัสสนามรรคปัญญาให้เกิด)"(1) (บัดนี้) เราจะกล่าวแก้ในปัญหากรรมนั้น (ต่อไป)

       ความจริง ขึ้นชื่อว่า ปัญญาภาวนา (คือการทำวิปัสสนามรรคปัญญาให้เกิด) นี้มีอานิสงส์หลายร้อยอย่าง การที่จะประกาศอานิสงส์ของปัญญาภาวนานั้นโดยพิสดารแม้ใช้เวลายาวนานก็ทำมิได้ง่าย แต่พึงทราบอานิสงส์ของปัญญาภาวนานั้นโดยสังเขปไว้ดังนี้ คือ:

       ๑. นานากิเลสวิทฺธสนํ ทำลายกิเลสต่าง ๆ

       ๒. อริยผลรสานุภวนํ เสวยรสของพระอริยผล

       ๓. นิโรธสมาปตฺติสมาปชฺชนสมตฺถตา สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้

       ๔. อาหุเนยฺยภาวาทิสิทฺธิ สำเร็จความเป็นอาหุไนยบุคคลเป็นต้น


๑. นานากิเลสวิทฺธํสนํ - ทำลายกิเลสต่างๆ

       [๔๕๕] ในอานิสงส์ทั้งหลายนั้น การทำลายกิเลสต่างๆ ใด โดยความเป็นสักกายทิฏฐิเป็นต้น ที่เรากล่าวมาแล้วตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณ (ญาณกำหนดรู้นามและรูป) ข้อนี้พึงทราบว่า เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนาฝ่ายโลกิยะ การทำลายกิเลสต่างๆ ใดโดยความเป็นสังโยชน์เป็นต้น ในขณะ (บรรลุ) พระอริยมรรค ที่เรากล่าวมาแล้ว ข้อนี้พึงทราบว่า เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนา ฝ่ายโลกุตตระ

              ภีมเวคานุปติตา      อสนีว สิลุจฺจเย

              วายุเวคสมุฏฺฐิโต      อรญฺญมิว ปาวโก.

-------------------

(1) ท่านระบุไว้แล้วในเบื้องต้นของ ขันธนิเทศ (วิสุทฺธิ. (บาลี) ๒/๔๒๑/๗๔ ว่า ปัญญา ได้แก่ วิปัสสนาญาณ สัมปยุตด้วยกุศลจิต

-------------------

น. ๑๑๘๔ คัมภีร์วิสุทธิมรรค


              อนฺธการํ วิย รวิ          สเตชุชฺชลมณฺฑโล

              ทีฆรตฺตานุปติตํ           สพฺพานตฺถวิธายกํ.

              กิเลสชาลํ ปญฺญา หิ      วิทฺธํสยติ ภาวิตา

              สนฺทิฏฺธิกมโต"(1) ชญฺญา  อานิสํสมิมํ อิธ.

                            แปลความว่า

              ความจริง วิปัสสนาปัญญาที่โยคีทำให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อม

              ทำลายข่ายกิเลส ที่ติดตามมาตลอดกาลนาน สร้างสรรค์

              แต่สิ่งไม่เป็นประโยชน์ทุกอย่างให้พินาศไป เหมือนสายฟ้า

              ที่ฟาดลงมาด้วยความเร็วน่าหวาดกลัว ทำลายภูเขาศิลา

              ทั้งหลายให้พังพินาศ เหมือนไฟไหม้ป่าที่ลุกโหมขึ้นด้วย

              แรงพายุ ทำลายป่าให้มอดไหม้ไป เหมือนดวงอาทิตย์ซึ่ง

              มีมณฑลรัศมีรุ่งโรจน์ด้วยความร้อนของตน กำจัดความ

              มืดให้สลายไป เพราะฉะนั้น"(1) บัณฑิตพึงทราบอานิสงส์

              ในปัญญาภาวนานี้ ซึ่งเป็นอานิสงส์ที่เห็นประจักษ์ด้วยตนเองนี้

๒. อริยผลรสานุภวนํ - เสวยรสของพระอริยผล

       [๘๕๖] ข้อว่า "เสวยรสของพระอริยผล" หมายถึงว่า และมิใช่แต่ทำลายกิเลสต่างๆ อย่างเดียวเท่านั้น แม้การเสวยรสของพระอริยผลก็เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนาด้วยเช่นกัน เพราะ สามัญญผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น ท่านเรียกว่า "พระอริยผล" การเสวยรสของพระอริยผลนั้นมีอยู่โดย ๒ อาการ คือดำเนินไปในมรรควิถี ๑ ดำเนินไปโดยทางผลสมาบัติ ๑ ใน ๒ อาการนั้น การดำเนินไปในมรรควิถีของพระอริยผลนั้นได้ชี้แจงไว้เรียบร้อยแล้ว (ตอนว่าด้วยมรรคญาณข้างต้น)

       [๘๕๗] อีกประการหนึ่ง เพื่ออำนวยตามพระเถระทั้งหลายซึ่งกล่าวว่า "เพียงแต่การละสังโยชน์ได้เท่านั้นก็ชื่อว่าได้ผล ธรรมสิ่งไรๆ อื่น หามีไม่" ดังนี้ ควรชี้แนะ

-----------------

(1) สนุทิฎชิกมโต = สนุทิฏฐิกํ อโต, อโต = ตสฺมา

-----------------

ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ  น. ๑๑๘๕


พระสูตรแม้ (ดังต่อไป นี้ ความว่า "ปัญญาในการระงับประโยค (ความเพียรอย่างสูง) ชื่อว่า ญาณใน (อริย) ผลเป็นอย่างไร ? คือสัมมาทิฏฐิ โดยความหมายว่าเห็นในขณะ(บรรลุ) โสดาปัตติมรรค ออกไปจากมิจฉาทิฏฐิ ออกไปจากกิเลสทั้งหลายอันเป็นไปตามมิจฉาทิฏฐินั้นด้วย จากขันธ์ทั้งหลายอันเป็นไปตามมิจฉาทิฏฐินั้นด้วย และจากนิมิตทั้งปวงภายนอกด้วย เพราะระงับประโยคนั้นได้แล้ว สัมมาทิฏฐิก็เกิดขึ้น นี้ คือผลของมรรค"*(1) ควรนำพระสูตรนี้มากล่าวโดยพิสดาร

       อีกทั้งมีคำพระบาลีว่าอย่างนี้ คือ "ธรรมเหล่านี้ คืออริยมรรค ๔ และสามัญญผล ๔ เป็นธรรมมีอารมณ์หาประมาณมิได้"(2) (และ) "มหัคคตธรรม (เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัยแก่ธรรมหาประมาณมิได้"(3) ดังนี้" เป็นต้นเป็นคำสาธกในเรื่องนี้


ผลสมาบัติ


       [๘๕๘ อนึ่ง เพื่อแสดงความเป็นไปในผลสมาบัติของพระอริยผลนั้น มีปัญหากรรม (คือการทำคำถาม) อยู่ (๕ ข้อ) ดังนี้ คือ:

       ๑. ผลสมาบัติ คืออะไร ?

       ๒. บุคคลพวกไร เข้าผลสมาบัตินั้น  บุคคลพวกไรไม่เข้า

       ๓. เข้า (ผลสมาบัติ) เพื่ออะไร

       ๔. การเข้าผลสมาบัตินั้น เป็นอย่างไร การตั้งอยู่เป็นอย่างไร การออกเป็นอย่างไร

       ๕. อะไรเป็นลำดับของผลจิต และผลจิตเป็นลำดับของอะไร


       [๘๕๙] ในปัญหากรรมทั้งหลายนั้น

       ข้อ ๑. ที่ว่า "ผลสมาบัติคืออะไร" คือการเข้าอยู่ในความดับ (นิโรธ คือพระนิพพาน) ของอริยผลจิต

-------------------------------

(1) ดูเทียบ ขุ. ป. (ไทย) ๓๑/๖๓/๑๐๒

(2) ดูเทียบ อภิ. สง. (ไทย) ๓๔/ ๑๔๒๒/ ๓๕๐

(3) ดูเทียบ อภิ. ป. (ไทย) ๔๑/๖๒/ ๔๓๙

-------------------------------

น. ๑๑๘๖   คัมภีร์วิสุทธิมรรค


       [๘๖๐] ข้อ ๒. ที่ว่า "บุคคลพวกไร เข้าผลสมาบัตินั้น พวกไรไม่เข้า" ในข้อนี้มีความตกลงดังนี้ "ปุถุชนทั้งหลายแม้ทั้งปวงไม่เข้า เพราะเหตุไร ? เพราะมิได้บรรลุ ส่วนพระอริยะทั้งหลายแม้ทุกท่าน เข้า (ผลสมาบัติ) เพราะเหตุไร ? เพราะท่านได้บรรลุแล้ว แต่ว่า พระอริยบุคคลชั้นสูง ไม่เข้าผลสมาบัติชั้นต่ำ เพราะ (พระอริยบุคคลชั้นสูง) ท่านมีกิเลสสังโยชน์เบื้องต่ำระงับไปแล้วด้วยการเข้าถึงความเป็น (พระอริยะ) บุคคลอื่น และพระอริยบุคคลชั้นต่ำก็ไม่เข้าผลสมาบัติชั้นสูง เพราะท่านยังมิได้บรรลุ แต่พระอริยบุคคลทั้งหลาย ท่านเข้าผลสมาบัติ (ตามขั้น) ของตนๆ เท่านั้น" ดังนี้

       แต่ทว่า ท่านเกจิอาจารย์ทั้งหลาย กล่าวว่า "ถึงแม้พระโสดาบันและพระสกทาคามีก็ไม่เข้า (ผลสมาบัติ เฉพาะพระอริยบุคคลชั้นสูง (พระอนาคามีและพระอรหันต์)๒ จำพวกเท่านั้น เข้าผลสมาบัติ" และเหตุผลของเกจิอาจารย์เหล่านั้น มีว่าดังนี้ คือ "เพราะพระอริยบุคคลชั้นสูงทั้ง ๒  จำพวกเหล่านี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ" คำของพวกเกจิอาจารย์นั้นไม่เป็นเหตุผลเลย เพราะแม้แต่ปุถุชนยังเข้าโลกียสมาธิที่ตนเองได้แล้ว และประโยชน์อะไรด้วยการคิดว่ามีเหตุผลและไม่เป็นเหตุผลในข้อนี้ ในพระบาลีเองท่านก็กล่าวไว้แล้วมิใช่หรือว่า "โคตรภูธรรม ๑๐ บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา คืออะไรบ้าง ? คือญาณ ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำ ความเกิด ความเป็นไป ฯลฯ ความคับแค้นใจ นิมิตคือสังขารภายนอก เพื่อมุ่งหมายได้เฉพาะฯลฯ ... ซึ่งโสดาปัตติมรรค ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความเกิดขึ้น นิมิตคือสังขารภายนอก เพื่อต้องการเข้าโสดาปัตติผลสมาบัติ เพื่อมุ่งหมายได้เฉพาะซึ่งเพื่อต้องการเข้า สกทาคามิมรรค ... ฯลฯ ... เพื่อต้องการเข้าอรหัตตผลสมาบัติ ....สุญญตวิหารสมาบัติ เพื่อต้องการเข้าอนิมิตตวิหารสมาบัติ" ดังนี้*(1) เพราะฉะนั้นควรถึงความตกลงในข้อนี้ได้ว่า "พระอริยเจ้าแม้ทุกท่านเข้าผลสมาบัติของตนๆ"

       (๘๖๑) ข้อ ๓. ที่ว่า "เข้า (ผลสมาบัติ) เพื่ออะไร" ตอบว่า เพื่ออยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม (คือในชีวิตปัจจุบันนี้ เปรียบเหมือนพระราชาทรงเสวยสุขในราชสมบัติ (และ)เทวดาทั้งหลายก็เสวยสุขในทิพยสมบัติฉันใด พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านคิดว่าจักเสวยโลกุตตรสุขขั้นอริยะ แล้วทำการกำหนดเวลา (ก่อน) แล้วเข้าผลสมาบัติ ในขณะที่ท่านปรารถนาต้องการ

------------------

(1) ดูเทียบ ขุ. ป. (ไทย) ๓๑/๖๐/๙๗-๙๘

------------------

ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ  น. ๑๑๘๗


       [๘๖๒] ข้อ ๔. ที่ว่า "การเข้าผลสมาบัตินั้น เป็นอย่างไร การตั้งอยู่เป็นอย่างไรการออกเป็นอย่างไร" ตอบว่า ก่อนอื่น การเข้าผลสมาบัตินั้น มีอยู่โดย ๒ อาการคือเพราะไม่มนสิการอารมณ์อื่นนอกจากพระนิพพาน ๑ เพราะมนสิการแต่พระนิพพาน ๑ สมดังท่านพระสารีบุตรเถระกล่าว (ตอบท่านมหาโกฏฐิกเถระ) ว่า "อาวุโส ปัจจัยของการเข้าเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิต (คือพระนิพพาน) มี ๒ ประการแล คือไม่มนสิการนิมิตทั้งปวง  มนสิการแต่ธาตุซึ่งไม่มีนิมิต ๑"(1) ดังนี้ แต่ทว่า ในผลสมาบัตินี้ มีลำดับของการเข้า ดังนี้

       [๘๖๓] จริงอยู่ พระอริสาวก ผู้มีความประสงค์จะเข้าผลสมาบัติ ต้องไปอยู่ในที่ลับ ปลีกตนอยู่โดยเฉพาะ กำหนดเห็นสังขารทั้งหลายด้วยวิปัสสนาญาณ  มีอุทยพยญาณเป็นต้น เมื่อพระอริยสาวกนั้นมีวิปัสสนาญาณดำเนินไปโดยลำดับ ครั้นในลำดับของโคตรภูญาณ ซึ่งมีสังขารเป็นอารมณ์"(2) จิตก็เข้าอยู่ในความดับ (นิโรธ) ด้วยสามารถผลสมาบัติ อนึ่ง ในการเข้าผลสมาบัตินี้ ผลจิตเท่านั้นบังเกิดขึ้นแม้แก่พระเสขะ เพราะเป็นผู้มีจิตน้อมไปในผลสมาบัติอยู่แล้ว มรรคจิตหาเกิดไม่

       แต่ทว่า พระอาจารย์ทั้งหลายเหล่าใด กล่าวว่า "พระโสดาบันครั้นคิดว่า "ฉันจักเข้าผลสมาบัติ" แล้วตั้งต้นเจริญวิปัสสนาไปก็เป็นพระสกทาคามี และพระสกทาคามีคิดว่า "ฉันจักเข้าผลสมาบัติ" แล้วเริ่มเจริญวิปัสสนาไปก็เป็นพระอนาคามี" ดังนี้ควรกล่าวกะพระอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นว่า "เมื่อเป็นอย่างนั้น พระอนาคามีก็จักเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าก็จักเป็นพระพุทธเจ้า" เพราะฉะนั้น คำไร ๆ ของพระอาจารย์ทั้งหลายนี้แม้ มิได้ถูกปฏิเสธไว้ด้วยพระบาลีโดยตรง ก็มิควรยึดถือแม้ด้วยประการฉะนี้ แต่ว่าควรยึดถือดังต่อไปนี้เท่านั้น คือว่า "ผลจิตเท่านั้นเกิดขึ้นแม้แก่พระเสขะ  มรรคจิตหาเกิดขึ้นไม่และผลจิตของพระเสขะนั้น ถ้ามรรคที่พระเสขะนี้บรรลุเป็นมรรคอยู่ในระดับปฐมฌานผลจิตเป็นไปในระดับปฐมฌานเท่านั้นเกิดขึ้น ถ้ามรรคที่บรรลุอยู่ในระดับของฌานใดฌานหนึ่งมีทุติยฌานเป็นต้น ผลจิตก็เป็นไปในระดับของฌานใดฌานหนึ่งมีทุติยฌานเป็นต้นเช่นกันเกิดขึ้น" ดังนี้

-------------------

(1) ดูเทียบ ม. มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๘/๔๙'๖

(2) โปรดสังเกต โคตรภูญาณ ในมรรควิถี  มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ แต่ในทางผลสมาบัติ  มีสังขารเป็นอารมณ์

-------------------

น. ๑๑๘๘  คัมภีร์วิสุทธิมรรค


การเข้าผลสมาบัตินั้น มีอยู่ด้วยอาการดังกล่าวนี้ก่อน

       [๘๖๔] ส่วนการตั้งอยู่ของผลสมาบัตินั้น มีอยู่โดยอาการ ๓ อย่าง ตามคำ(ของท่านพระสารีบุตรเถระ) ว่า "อาวุโส ปัจจัยของการตั้งอยู่ของเจโตวิมุตติ ซึ่งหานิมิตมิได้ มี ๓ ประการแล คือไม่มนสิการนิมิต (สังขาร) ทั้งปวง ๑ มนสิการ (นิพพาน)ธาตุ ซึ่งไม่มีนิมิต ๑ และกระทำกำหนดไว้ก่อน ๑" ดังนี้" คำว่า "กระทำกำหนดไว้ก่อน" ในคำของท่านพระสารีบุตรเถระนั้น หมายความว่า การกำหนดกาลเวลาไว้ก่อนเข้าผลสมาบัติ อธิบายว่า เพราะพระอริยสาวกนั้นกำหนดไว้ว่า "ฉันจักออกในกาลเวลาชื่อโน้น" กาลเวลา (ที่กำหนดไว้ นั้น ยังไม่มาถึงเพียงใด การตั้งอยู่ (ของผลสมาบัติก็มีอยู่เพียงนั้น การตั้งอยู่ของผลสมาบัตินั้นมีอยู่อย่างนี้แล

       [๘๖๕] แต่การออกของผลสมาบัตินั้น มีอยู่โดยอาการ ๒ อย่าง ตามคำ (ของท่านพระสารีบุตรเถระ) ว่า "อาวุโส ปัจจัยของการออกของเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิต มี ๒ ประการแล คือมนสิการนิมิตทั้งปวง ๑ ไม่มนสิการ (นิพพาน) ธาตุซึ่งไม่มีนิมิต ๑ ดังนี้(1) ในคำ (ของท่านพระสารีบุตรเถระ) นั้น คำว่า "นิมิตทั้งปวง" หมายถึง นิมิตคือรูป นิมิตคือเวทนา นิมิตคือสัญญา นิมิตคือสังขาร และนิมิตคือวิญญาณ อนึ่ง พระอริยสาวกมิได้มนสิการนิมิตทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้โดยรวมเป็นอันเดียวกันก็จริง แต่ท่านกล่าวคำว่า "นิมิตทั้งปวง"  นี้ไว้โดยการรวมความไว้ทุกประการ เพราะฉะนั้นนิมิตใดเป็นอารมณ์ของภวังค์ เมื่อพระอริยสาวกมนสิการนิมิตนั้นก็เป็นการออกจากผลสมาบัติด้วยประการฉะนี้


พึงทราบการออกของผลสมาบัตินั้นด้วยอาการดังกล่าวนี้

       [๘๖๖] ข้อ ๕. ที่ว่า "อะไรเป็นลำดับของผลจิต และผลจิตเป็นลำดับของอะไร " ตอบว่า ก่อนอื่น ผลจิตนั่นแหละเป็นลำดับของผลจิต หรือว่าภวังค์เป็นลำดับของผลจิต แต่ผลจิตมาเป็นลำดับของมรรคก็มี เป็นลำดับของผลจิตก็มี เป็นลำดับของโคตรภูก็มี เป็นลำดับของเนวสัญญานาสัญญายตนะก็มี ในผลจิตทั้งหลายนั้น(ถ้าเป็น) ในมรรควิถี ผลจิตเป็นลำดับของมรรค ผลจิตหลังๆ มาเป็นลำดับของผลจิตก่อน ๆ (แต่) ในผลสมาบัติ ผลจิตข้างหน้า ๆ มาเป็นลำดับของโคตรภู และพึงทราบว่า ในผลสมาบัตินี้ อนุโลมญาณ คือโคตรภู เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสคำนี้ไว้ใน

------------------

(1) ดูเทียบ ม. มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๘/๔๙๖

------------------

ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ   น. ๑๑๘๙


คัมภีร์ปัฏฐานว่า "อนุโลมญาณของพระอรหันต์ เป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัยแก่ผลสมาบัติ"(1) "อนุโลมญาณของพระเสขะทั้งหลาย เป็นปัจจัย โดยอนันตรปัจจัยแก่ผลสมาบัติ" ดังนี้"(2) การออกจากความดับ (นิโรธ) มีด้วยผลจิตใด ผลจิตนั้น มาเป็นลำดับของเนวสัญญานาสัญญายตนะ ดังนี้แล ในผลจิตทั้งหลายนั้น ยกเว้นผลจิตที่เกิดในมรรควิถีเสียแล้วผลจิตที่เหลือนอกนั้นทั้งหมดชื่อว่าเป็นไปด้วยอำนาจผลสมาบัติ (แต่)จะด้วยการเกิดขึ้น ในมรรควิถี หรือในผลสมาบัติก็ตาม (ท่านกล่าวไว้ว่า)

              ปฏิปฺปสฺสทฺธทรถํ        อมตารมฺมณํ สุภํ"(3)

              วนฺตโลกามิสํ สนฺตํ       สามญฺญผลมุตฺตมํ.

              โอชวนฺเตน สุจินา        สุเขน อภิสนฺทิตํ

              เยน สาตาติสาเตน      อมเตน มธุํ วิย.

              ตํ สุขนฺตสฺส อริยสฺส      รสภูตมนุตฺตรํ

              ผลสฺส ปญฺญํ ภาเวตฺวา  ยสฺมา วินฺทติ ปณฺฑิโต.

              ตสฺมา อริยผลสฺเสตํ      รสานุภวนํ อิธ

              วิปสฺสนาภาวนาย        อานิสํโสติ วุจฺจติ.

                     แปลความว่า

              สามัญญผลอันประเสริฐสุดยอด ระงับความทุกข์ทน

              กระวนกระวาย คายกามารมณ์เครื่องล่อใจของโลกออกไป

              มีอมตนิพพานเป็นอารมณ์ สงบ ผ่องใส ท่วมท้นด้วย

              ความสุข บริสุทธิ์ มีโอชะ แช่มชื่นอ่อนหวานเป็นอย่างยิ่ง

              ประดุจน้ำหวานที่เจือปนด้วยน้ำอมฤต เพราะเหตุที่ท่าน

              บัณฑิตได้ทำวิปัสสนาปัญญาให้เกิดขึ้น จึงประสบความ

              สุขอันประเสริฐยิ่งนั้น ซึ่งเป็นรสของพระอริยผลนั้น เพราะ

              ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวในที่นี้ว่า การเสวยรสของพระอริยผล

              ดังกล่าวนี้ เป็นอานิสงส์ของวิปัสสนาภาวนา

---------------------

(1) ดูเทียบ อภิ. ป. (ไทย) ๔๐/ ๔๑๗/๒๖๔  

(2) ดูเทียบ อภิ. ป. (ไทย) ๔๐/๔๑๗/๒๖๔

(3) ปรมตฺถทีปนี อุทานวณฺณนา, (บาลี) น. ๔๖ และ สทธมฺมปกาสินี, (บาลี) น. ๓๒๔ เป็น "สุข"

--------------------

น. ๑๑๙๐   คัมภีร์วิสุทธิมรรค


๓. นิโรธสมาปตฺติสมาปชฺชนสมตฺถตา - สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้


       [๘๖๗] ข้อว่า "สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้" หมายถึงว่า มิเพียงแต่เสวยรสของพระอริยผลอย่างเดียวเท่านั้น แต่พึงทราบว่าแม้ความสามารถในการเข้านิโรธสมาบัติก็เป็นอานิสงส์ของปัญญาภาวนานี้ด้วย

       ในคำสังเขปความว่า "สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้" นั้น เพื่อเข้าใจแจ่มแจ้งเรื่องนิโรธสมาบัติ มีปัญหากรรมอยู่ (๘ ข้อ) ดังนี้ คือ

       ๑. นิโรธสมาบัติ คืออะไร

       ๒. บุคคลพวกไรเข้านิโรธสมาบัตินั้นได้ พวกไรเข้าไม่ได้

       ๓. เข้าได้ในภพไหน

       ๔. เข้าเพื่ออะไร

       ๕. การเข้านิโรธสมาบัตินั้น เป็นอย่างไร การตั้งอยู่เป็นอย่างไร การออกเป็นอย่างไร

       ๖. จิตของผู้ออกแล้ว (จากนิโรธสมาบัติ น้อมไปในอะไร

       ๗. คนตายแล้ว กับท่านผู้เข้านิโรธสมาบัติ มีความต่างกันอย่างไร

       ๘. นิโรธสมาบัติ เป็นสังขตะ หรืออสังขตะ เป็นโลยะ หรือโลกุตตระเป็นนิปผันนะ (สำเร็จ) หรืออนิปผันนะ (ไม่สำเร็จ)

       [๘๖๘| ในปัญหากรรม (ทั้ง ๘) นั้น

       ข้อ ๑. ที่ว่า นิโรธสมาบัติคืออะไร คือความไม่เป็นไปของธรรมทั้งหลาย คือจิตและเจตสิกด้วยการดับไปโดยลำดับ

       ข้อ ๒. ที่ว่า "บุคคลพวกไรเข้านิโรธสมาบัตินั้นได้ พวกไรเข้าไม่ได้" ตอบว่า ปุถุชนทั้งหลายแม้ทั้งปวง พระโสดาบันและพระสกทาคามีทั้งหลายทั้งปวง(1) และพระอนาคามีกับทั้งพระอรหันต์ทั้งหลายที่ป็นสุกขวิปัสสกเข้าไม่ได้ แต่พระอนาคามีทั้งหลายและพระอรหันตขีณาสพทั้งหลายผู้ได้สมาบัติ ๘ เข้านิโรธสมาบัติได้ เพราะท่านกล่าวไว้ว่า"ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญด้วยญาณจริยา ๑๖ ด้วยสมาธิจริยา ๙ เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยพละ ๒ และเพราะความสงบไปแห่งสังขาร ๓ ชื่อว่า ญาณในการเข้า

------------------

(1) ดูเทียบ ขุ. ป. (ไทย) ๓๑/๓๔/๓ และดูอธิบายต่อไปข้างหน้า ในเล่มนี้

-----------------

ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ น. ๑๑๙๑


นิโรธสมาบัติ"(1) และสัมปทา (คือการเข้านิโรธสมาบัติได้ นี้ นอกจากพระอนาคามีและพระขีณาสพทั้งหลายผู้ได้สมาบัติ ๘ แล้ว บุคคลทั้งหลายอื่น หามีไม่ เพราะฉะนั้นพระอนาคามีและพระณาสพทั้งหลาย ผู้ได้สมาบัติ ๘ เหล่านั้นเท่านั้น เข้า (นิโรธสมาบัติ ได้ บุคคลทั้งหลายอื่นเข้าไม่ได้


อธิบายพละ ๒ สังขาร ๓ ญาณจริยา ๑๖ สมาธิจริยา ๙ และวสี ๕

       [๘๖๙] ถามว่า "แต่พละ (กำลัง) ๒ ในที่นี้ คืออะไรบ้าง สังขาร ๓ เป็นไฉน ญาณจริยา ๑๖ คืออะไรบ้าง สมาธิจริยา ๙ คืออะไรบ้าง ความเป็นผู้มีความชำนาญ(วสี) เป็นไฉน" ดังนี้

       ตอบว่า "คำไร ๆ ที่เราจะต้องกล่าวตอบในคำถามนี้ หามีไม่ คำตอบทั้งหมดนี้ท่านได้กล่าวไว้ในนิเทศของอุทศนี้เรียบร้อยแล้ว ดังพระบาลี (ในปฏิสัมภิทามรรคแปลความ) ว่า


สมถพละ

       คำว่า "ด้วยพละ ๒" ได้แก่ พละ ๒ คือสมถพละ (กำลังของสมถะ) ๑ วิปัสสนาพละ (กำลังของวิปัสสนา) ๑ 

       สมถพละ เป็นไฉน คือความที่จิตมีอารมณ์เดียว ความไม่ฟังซ่านด้วยเนกขัมมะ (สังกัปปะ ชื่อว่า สมถพละ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ความไม่ฟุ้งซ่านด้วยความไม่มีพยาบาท ... ด้วยอาโลกสัญญา ... ด้วยอวิกเขปะ(ความไม่ฟุ้งซ่าน) ... ฯลฯ ... ด้วยเป็นผู้ตามเห็นเนือง ๆ ด้วยการสลัดทิ้งไปหายใจเข้า...ด้วยเป็นผู้ตามเห็นเนืองๆ ด้วยการสลัดทิ้งไปหายใจออก ชื่อว่า สมถพละ

       สมถพละ ในคำว่า "สมถพละ" ดังนี้โดยความหมายว่ากระไร ชื่อว่า สมถพละ 

       - เพราะไม่หวั่นไหวไปในเพราะนิวรณ์ด้วยปฐมฌาน ชื่อว่า สมถพละ 

       - เพราะไม่หวั่นไหวไปในวิตกและวิจารด้วยทุติยฌาน ฯลฯ ชื่อว่าสมถพละ 

       - เพราะไม่หวั่นไหวไปในเพราะอากิญจัญญายตนสัญญา ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ชื่อว่าสมถพละ 

       - เพราะไม่หวั่นไหวไป ไม่เคลื่อนไป ไม่สั่นสะเทือนไป ในเพราะอุทธัจจะ และในเพราะกิเลสอันเป็นไปกับด้วยอุทธัจจะและในเพราะขันธ์ (ที่สัมปยุตด้วยอุทธัจจะ)

-------------------

(1) ดูเทียบ ขุ ป. (ไทย) ๓๑/๓๔/๓ และดูอธิบายต่อไปข้างหน้า ในเล่มนี้

-------------------

น. ๑๑๙๒  คัมภีร์วิสุทธิมรรค


วิปัสสนาพละ

       วิปัสสนาพละ เป็นไฉน คือ

       - อนิจจานุปัสสนา (ความเห็นเนือง ๆ โดยความไม่เที่ยง) ชื่อว่า วิปัสสนาพละ, 

       - ทุกขานุปัสสนา (ความเห็นเนืองๆ โดยความเป็นทุกข์) ...

       - อนัตตานุปัสสนา (ความเห็นเนืองๆ โดยความเป็นอนัตตา) ... 

       - นิพพิทานุปัสสนา (ความเห็นเนื่องๆ ด้วยความเบื่อหน่าย)... 

       - วิราคานุปัสสนา (ความเห็นเนื่องๆ ด้วยความปราศจากกำหนัด)...

       - นิโรธานุปัสสนา (ความเห็นเนืองๆ ซึ่งความดับ) ...

       - ปฏินิสสัคคานุปัสสนา(ความเห็นเนืองๆ ด้วยการสลัดทิ้งไป) ชื่อว่าวิปัสสนาพละ 

       - ความเห็นเนืองๆ โดยความไม่เที่ยงในรูป ... 

       - ความเห็นเนืองๆ ด้วยการสลัดทิ้งไปในรูป ชื่อว่าวิปัสสนาพละ

       - ความเห็นเนืองๆ โดยความไม่เที่ยงในเวทนา ... 

       - ในสัญญ  ... ในสังขารทั้งหลายในวิญญาณ ... ฯลฯ ... 

       - ในจักษุ ...ในชราและมรณะ ... 

       - ความเห็นเนื่องๆ ด้วยการสลัดทิ้งไป ... 

       - ในชราและมรณะ ชื่อว่า วิปัสสนาพละ

       วิปัสสนาพละ ในคำว่า "วิปัสสนาพละ" ดังนี้ โดยความหมายว่ากระไร ชื่อว่าวิปัสสนาพละ เพราะไม่หวั่นไหวไปในนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าเที่ยง) ด้วยอนิจจาเพราะไม่หวั่นไหวไปในสุขสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นสุข) ด้วย... เพราะไม่หวั่นไหวไปในอัตตสัญญา (ความสำคัญว่ามีอัตตา) ด้วยอนัตตานุปัสสนา ...เพราะไม่หวั่นไหวไปในความเพลิดเพลิน ด้วยนิพพิทานุปัสสนา เพราะไม่หวั่นไหวไปในราคะ ด้วยวิราคานุปัสสนา ... เพราะไม่หวั่นไหวไปในสมุทัยด้วยนิโรธานุปัสสนา ... ชื่อว่าวิปัสสนาพละ เพราะไม่หวั่นไหวไปในความยึดถือไว้ด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา ชื่อว่าวิปัสสนาพละ เพราะไม่หวั่นไหวไป ไม่เคลื่อนไป ไม่สั่นสะเทือนไป ในอวิซชา และในกิเลสอันเป็นไปกับด้วยอวิชชา และในขันธ์ (อันสัมปยุตด้วยอวิชชา) นี้ คือวิปัสสนาพละ


สังขาร ๓

       คำว่า "เพราะความสงบไปแห่งสังขาร ๓" ถามว่า เพราะความสงบไปแห่งสังขาร ๓ เหล่าไหน ตอบว่า วจีสังขาร คือวิตกและวิจารของท่านผู้เข้าทุติยฌานเป็นอันสงบไปแล้ว ๑ กายสังขาร คือลมหายใจเข้าและลมหายใจออกของท่านผู้เข้าจตุตถฌานเป็นอันสงบไปแล้ว  จิตตสังขาร คือสัญญาและเวทนาของท่านผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอันสงบไปแล้ว ๑ เพราะความสงบไปแห่งสังขารทั้งหลาย ๓ เหล่านี้


ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ  น. ๑๑๙๓ 


ญาณจริยา ๑๖

       คำว่า "ด้วยญาณจริยา ๑๖" ถามว่า ด้วยญาณจริยา ๑๖ เหล่าไหน ตอบว่า 

       - อนิจจานุปัสสนา ชื่อว่าญาณจริยา ๑ 

       - ทุกขานุปัสสนา ชื่อว่า ... ๑ 

       - อนัตตานุปัสสนา ... ๑ 

       - นิพพิทานุปัสสนา ... ๑ 

       - วิราคานุปัสสนา ... ๑ 

       - นิโรธานุปัสสนา .. ๑ 

       - ปฏินิสสัคคานุปัสสนา ...๑ 

       - วิวัฏฏานุปัสสนา ชื่อว่าญาณจริยา ๑ 

       - โสดาปัตติมรรค ชื่อว่าญาณจริยา ๑ 

       - โสดาปัตติผลสมาบัติ ชื่อว่าญาณจริยา ๑ 

       - สกทาคามิมรรค ... ๑ 

       - สกทาคามิผลสมาบัติ ... ๑ 

       - อนาคามิมรรค ... ๑

       - อนาคามิผลสมาบัติ ...๑

       - อรหัตตมรรค ... ๑ 

       - อรหัตตผลสมาบัติ ๑

          ด้วยญาณจริยา ๑๖ เหล่านี้


สมาธิจริยา ๙

       คำว่า "ด้วยสมาธิจริยา ๙" ถามว่า ด้วยสมาธิจริยา ๙ เหล่าไหน ตอบว่า ปฐมฌาน ชื่อว่า สมาธิจริยา ๑ ทุติยฌาน ... ๑ ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติชื่อว่า สมาธิจริยา ๑ วิตก วิจาร ปีติ สุข และจิตเตกัคคตา เพื่อมุ่งหมายได้ปฐมฌาน ...ฯลฯ . วิตก วิจาร ปีติ สุข และจิตเตกัคคตา เพื่อมุ่งหมายได้เนสัญญานาสัญญาตนสมาบัติ ๑ (รวมกับอุปจารสมาธิของสมาบัติ ๘ อีก ๑ ด้วยสมาธิจริยา ๙ เหล่านี้


วสี ๕

คำว่า "วสี - มีความชำนาญ"(1) หมายถึง วสี ๕ คือ

       ๑. อาวัชชนวสี ความชำนาญในการรำลึก

       ๒. สมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้า

       ๓. อธิฏฐานวสี ความชำนาญในการตั้งอยู่

       ๔. ความชำนาญในการออก

       ๕. ปัจจเวกขณวสี ความชำนาญในการพิจารณาทบทวน

       - การรำลึกถึงปฐมฌานได้ ณ ที่ตนปรารถนา ในเวลาต้องการ ตลอดเวลาต้องการไม่มีความชักข้าในการรำลึก ดังนี้ เรียกว่า "อาวัชชนวสี ๑" 

       - เข้าปฐมฌานได้ ณ ที่ตนปรารถนา ในเวลาต้องการ ตลอดเวลาต้องการ ไม่มีความชักช้าในการเข้า ดังนี้ เรียกว่า "สมาปัชชนวสี ๑"

-------------------

(1) วสี ท่านแก้ไว้ ๒ ความ คือ ความชำนาญ หรือ (บุคคลผู้) มีความชำนาญ

-------------------

น. ๑๑๙๔   ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ


       - การตั้งอยู่ (ในปฐมฌาน) ได้ ณ ที่ตนปรารถนา ในเวลาต้องการ ตลอดเวลาต้องการ ไม่มีความชักช้าในการตั้งอยู่ ดังนี้ เรียกว่า "อธิฏฐานวสี ๑" 

       - การออก (จากปฐมฌาน) ได้ ณ ที่ตนปรารถนา ในเวลาต้องการ ตลอดเวลาต้องการ ไม่มีความชักช้าในการออก ดังนี้ เรียกว่า "วุฏฐานวสี ๑" 

       - การพิจารณาทบทวน (ปฐมฌาน) ได้ ณ ที่ตนปรารถนา ในเวลาต้องการ ตลอดเวลาต้องการ ไม่มีความชักช้าในการพิจารณาทบทวน ดังนี้  เรียกว่า "ปัจจเวกขณวสี ๑"  

       - รำลึกถึงทุติยฌาน ... ฯลฯ ... ถึงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติได้ ณ ที่ตนปรารถนา ในเวลาต้องการ ตลอดเวลาต้องการ ... ฯลฯ ... พิจารณาทบทวน .... ไม่มีความชักช้ในการพิจารณาทบทวนดังนี้ เรียกว่า "ปัจจเวกขณวสี ๑" วสี มี ๕ ดังนี้แล"(1)

       [๘๗๐] ความจริง นิเทศของคำว่า "ด้วยญาณจริยา ๑๖" นี้ ในพระบาลี(ปฏิสัมภิทามรรคข้างต้น) นั้น  เป็นนิเทศสูงสุด (รวมยอดทั้งหมด) แต่ว่า พระอนาคามีท่านมีปัญญาในความเป็นผู้ชำนาญ (วสีภาวตาปัญญา) ด้วยญาณจริยา ๑๔ (ไม่ถึง ๑๖ เพราะท่านยังมิได้บรรลุมรรคและผลสุดยอดคือพระอรหัตต์) หากมีคำถามว่า "ถ้าอย่างนั้น พระสกทาคามีก็ไม่มีวสีภาวตาปัญญา ด้วยญาณจริยา ๑๒ และพระโสดาบันก็ไม่มีด้วยญาณจริยา ๑๐ หรือ" ตอบว่า (พระสกทาคามีและพระโสดาบัน) ท่านไม่มีวสีภาวตาปัญญา เพราะท่านยังละราคะมีกามคุณ ๕ อันเป็นวัตถุที่ตั้งซึ่งเป็นอันตรายแก่สมาธิไม่ได้ เพราะท่านละราคะมีกามคุณ ๕ อันเป็นที่ตั้งนั้นไม่ได้

       เพราะฉะนั้น สมถพละ (ของพระสกทาคามีและพระโสดาบัน) จึงยังไม่บริบูณ์ เมื่อสมถพละนั้นไม่บริบูรณ์ ท่านก็หาสามารถเข้านิโรธสมาบัติที่ต้องเข้าด้วยพละ ๒ ได้ไม่ ส่วนพระอนาคามีท่านละราคะนั้นได้แล้ว เพราะฉะนั้น พระอนาคามีนี้ จึงเป็นผู้มีพละบริบูรณ์ ท่านสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ เพราะความเป็นผู้มีพละ (ทั้ง ๒) บริบูรณ์เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสไว้ว่า "เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลของพระอนาคามีผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัย แก่การเข้าผลสมาบัติ"(2) จริงอยู่ คำนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในปัฏฐานมหาปกรณ์ ทรงหมายถึงการออกจากนิโรธของพระอนาคามีโดยเฉพาะ ฉะนี้แล

-------------------

(1) ดูเทียบ ขุ. ป. (ไทย) ๓๑/ ๘๕/ ๑๔๓-๑๔๔ และ ดู-สทฺธมฺมปกาสินี, (บาลี) น. ๓๗๑-๓๘๑

(2) ดูเทียบ อภิ. ป. (ไทย) ๔๐/๔๑๗/๒๖๔

-------------------

ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ    น. ๑๑๙๕


       [๘๗๑) ข้อ ๓. ที่ว่า "เข้าได้ในภพไหน" ตอบว่า "ในปัญจโวการภพ (ถามว่า)เพราะเหตุไร (ตอบ) เพราะเป็นสภาพของสมาบัติโดยลำดับ (อนุปุพพสมาปัตติ) ส่วนในจตุโวการภพ (อรูปภพ) รูปสมาบัติทั้งหลายมีปฐมฌานเป็นต้นไม่เกิดขึ้นเพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถเข้า (นิโรธสมาบัติ ในภพนั้นได้" แต่บรรดาเกจิอาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า "เพราะไม่มี (หทย) วัตถุ" (คือเพราะไม่มีวัตถุ คือกรชกาย)

       [๘๗๒] ข้อ ๔. ที่ว่า "เข้าเพื่ออะไร" ตอบว่า (พระอนาคามีและพระขีณาสพผู้ได้สมาบัติ ๘) ท่านเบื่อหน่ายในความเป็นไปและความแตกดับของสังขารทั้งหลายจึงคิดว่า "เราจักเป็นผู้ไม่มีจิตบรรลุความดับคล้ายพระนิพพาน อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมนี้เสียเลย" แล้วเข้า (นิโรธสมาบัติ)

       [๘๗๓] ข้อ ๕. ที่ว่า "และการเข้านิโรธสมาบัตินั้นเป็นอย่างไร" ตอบว่า (การเข้านิโรธสมาบัติเป็นของพระอนาคามีและพระอรหันต์ที่ได้สมาบัติ ๘) ผู้เพียรพยายามโดยทางสมถะและวิปัสสนา ซึ่งทำบุพพกิจ (กิจเบื้องตัน) แล้ว ทำเนวสัญญานาสัญญายตน (สมาบัติ ให้ดับไป การเข้านิโรธสมาบัตินั้น มีอยู่ด้วยอาการอย่างนี้

       เพราะว่าท่านผู้ที่เพียรพยายามโดยทางสมถะอย่างเดียว ท่านผู้นั้น ครั้นบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้วก็ยับยั้งอยู่ ส่วนท่านผู้ที่เพียรพยายามโดยทางวิปัสสนาอย่างเดียว ครั้นบรรลุผลสมาบัติแล้วก็ยับยั้งอยู่ แต่ท่านผู้ที่เพียรพยายามโดยทาง (สมถะและวิปัสสนา) ทั้งสองนั่นแล ครั้นทำบุพพกิจแล้ว ทำเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติให้ดับไป ท่านผู้นั้นเข้านิโรธสมาบัตินั้นได้ นี้คือความสังเขป ในการเข้านิโรธสมาบัตินี้ ด้วยประการฉะนี้

       [๘๗๔] ส่วนความพิสดารมีดังต่อไปนี้

       พระภิกษุในพระศาสนานี้ มีความปรารถนาจะเข้านิโรธสมาบัติ ทำภัตกิจ (ฉันอาหาร แล้ว ล้างมือและเท้าดีแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง เข้าไปตั้งสติไว้เฉพาะหน้าอยู่บนอาสนะที่ปูลาดไว้ดีแล้ว ในโอกาส (สถานที่ เงียบสงัด พระภิกษุนั้นเข้าปฐมฌานแล้วออก (จากปฐมฌานนั้น) กำหนดเห็นด้วยวิปัสสนา ซึ่งสังขารทั้งหลาย ในปฐมฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา

--------------------

น. ๑๑๙๖ คัมภีร์วิสุทธิมรรค


วิปัสสนา ๓

       แต่วิปัสสนา นี้ มี ๓ อย่าง คือ

       ๑. สังขารปริคัณหณกวิปัสสนา วิปัสสนากำหนดรู้สังขาร

       ๒. ผลสมาปัตติวิปัสสนา วิปัสสนาของผลสมาบัติ

       ๓. นิโรธสมาปัตติวิปัสสนา วิปัสสนาของนิโรธสมาบัติ

       ในวิปัสสนา ๓ อย่างนั้น 

       - วิปัสสนากำหนดรู้สังขาร เป็นอย่างอ่อนหรืออย่างแก่ก็ตาม เป็นปทัฏฐาน (ทางบรรลุ) แห่งมรรคได้เช่นกัน 

       - วิปัสสนาของผลสมาบัติ ต้องเป็นอย่างแก่จริงๆ เช่นเดียวกับมรรคภาวนาจึงใช้ได้ 

       - แต่วิปัสสนาของนิโรธสมาบัติต้องไม่อ่อนเกินไป ไม่แก่เกินไป จึงใช้ได้

       เพราะฉะนั้น พระภิกษุนี้จึงกำหนดเห็นสังขารทั้งหลายเหล่านั้นด้วยวิปัสสนา ซึ่งไม่อ่อนเกินไป ไม่แก่เกินไป จากนั้นก็เข้าทุติยฌาน ครั้นออกแล้ว กำหนดเห็นด้วยวิปัสสนาซึ่งสังขารทั้งหลาย ในทุติยฌานนั้น เหมือน (เมื่อออกจากปฐมฌาน) อย่าง จากนั้นก็เข้าวิญญาณัญจายตนะ นั้นแหละ จากนั้นก็เข้าตติยฌาน .... ไปจนถึงครั้นออกแล้ว กำหนดเห็นด้วยวิปัสสนา ซึ่งสังขารทั้งหลาย ในวิญญาณัญจายตนะนั้นเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ


บุพพกิจ ๔ ในการเข้านิโรธสมาบัติ

       ในลำดับนั้นก็เข้าอากิญจัญญายตนะ ครั้นออกแล้ว จึงกระทำบุพพกิจ (กิจเบื้องต้น) ๔ อย่าง คือ

       ๑. นานาพัทธอวิโกปนะ ไม่ทำให้สิ่งของที่เนื่องด้วยพระภิกษุต่างๆ เสียหาย 

       ๒. สังฆปฏิมานนะ การรอคอยของสงฆ์

       ๓. สัตถุปักโกสนะ การทรงมีรับสั่งหาของพระบรมศาสดา

       ๔. อัทธานปริจเฉท กำหนดกาลเวลา

       ๕. ไม่ทำให้สิ่งของเนื่องด้วยพระภิกษุต่างๆ เสียหาย


       [๘๗๕ ในบุพพกิจ ๔ อย่างนั้น ข้อว่า "ไม่ทำให้สิ่งของเนื่องด้วยพระภิกษุต่างๆ เสียหาย" ความว่า วัตถุใด มิใช่เป็นของเกี่ยวเนื่องแต่ผู้เดียวกับพระภิกษุ


ปริจเฉทที่ ๒๓  ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ   น. ๑๑๙๗


(ผู้เข้านิโรธสมาบัติ นี้ แต่เป็นของใช้เกี่ยวเนื่องกับพระภิกษุต่างๆ อยู่ด้วย (เช่น) บาตรและจีวรก็ดี เตียงและตั่งก็ดี เคหะที่อยู่อาศัยก็ดี ก็หรือบริขารไรๆ อื่นก็ดี วัตถุนั้นจะไม่เสียหาย คือจะไม่พินาศไปด้วยไฟ (ไหม้ ด้วยน้ำ (พัดไป) ด้วยลม (ทำลาย)ด้วยโจร (ลักขโมย) และหนู (กัด) เป็นต้น ด้วยประการใด ภิกษุนั้นพึงอธิษฐานไว้ด้วยประการนั้น

       ในการนั้น มีวิธีอธิษฐานดังนี้ว่า "ภายใน ๗ วันนี้ ขอวัตถุสิ่งนี้และสิ่งนี้ (ระบุ ชื่อสิ่งของ) จงอย่าถูกไฟไหม้ จงอย่าถูกน้ำพัดไป จงอย่าถูกลมทำลาย จงอย่าถูกพวกโจรลัก จงอย่าถูกสัตว์มีหนูเป็นต้นกัด" ครั้นอธิษฐานอย่างนี้แล้ว จะไม่มีอันตรายไรๆแก่วัตถุนั้นตลอด ๗ วัน แต่เมื่อพระภิกษุนั้นไม่อธิษฐานไว้ วัตถุจักพินาศไปด้วยไฟเป็นต้น เหมือนของท่านมหานาคเถระ

       เล่ากันว่า พระเถระเข้าไปบิณฑบาตในบ้านของอุบาสิกาผู้เป็นโยมมารดา อุบาสิกาถวายยาคูแล้วนิมนต์ให้ท่านนั่งในโรงฉัน พระเถระนั่งเข้านิโรธ เมื่อท่านนั่ง(เข้านิโรธ) อยู่นั้น โรงฉันถูกไฟไหม้ พระภิกษุนอกนั้นต่างถืออาสนะที่นั่งของตน ๆ พากันหนีไป พวกชาวบ้านมาชุมนุมกัน ครั้นเห็นพระเถระก็พากันกล่าว (ตำหนิ) ว่า "พระสมณะขี้เกียจๆ" ไฟไหม้หญ้า (มุงหลังคา) ไหม้ไม้ไผ่ และไหม้ไม้กระดาน ลุกล้อมรอบพระเถระ พวกชาวบ้านช่วยกันเอาหม้อตักน้ำมาดับไฟ แล้วนำเถ้าถ่านออกไปทำเป็นวงรอบ (พระเถระ) แล้วโปรยปรายดอกไม้ พากันยืนนมัสการอยู่ พระเถระออก (จากนิโรธ) ตามกาลเวลาที่ท่านกำหนดไว้ ครั้นเห็นพวกชาวบ้านเหล่านั้นก็คิดว่า "ฉันเกิดเป็นคนปรากฏชัดเสียแล้ว" จึงเหาะขึ้นสู่เวหาส ไปยังเกาะปิยังคุ นี้ชื่อว่า เป็นการไม่ทำให้สิ่งของที่เนื่องด้วยพระภิกษุต่างๆ เสียหาย แต่วัตถุสิ่งใดที่เป็นของเกี่ยวเนื่องแต่ตนผู้เดียว จะเป็นผ้านุ่งและผ้าห่มก็ดี เป็นอาสนะสำหรับรองนั่งก็ดี กิจด้วยการอธิษฐานในวัตถุสิ่งนั้นเป็นส่วนต่างหาก หามีไม่ ท่านผู้เข้านิโรธจะคุ้มครองรักษาวัตถุสิ่งนั้นไว้ด้วยอำนาจ (ของนิโรธ สมาบัตินั่นแล เหมือนอย่างของท่านพระสัญชีวะ อีกทั้งท่นได้กล่าวคำนี้ไว้ว่า "ฤทธิ์อันแผ่กระจายไปด้วยสมาธิของท่านพระสัญชีวะ ฤทธิ์อันแผ่กระจายไปด้วยสมาธิของท่านพระสารีบุตร" ดังนี้(1)

----------------------

(1) ดูเทียบ ข. ป. (ไทย) ๓๑/๑๖/๕๗๐

----------------------

น. ๑๑๙๘ คัมภีร์วิสุทธิมรรค


๒. การรอคอยของสงฆ์

       [๘๗๖]  ข้อว่า "การรอคอยของสงฆ์" หมายถึง การคอย คือการรอคอยของสงฆ์ ความว่า พระภิกษุรูปหนึ่งยังไม่มาตราบใด (สงฆ์ จะยังไม่ทำสังฆกรรมตราบนั้นและการรอคอยในที่นี้ หาใช่เป็นบุพพกิจของการเข้านิโรธนี้มิได้ แต่การรำลึกถึงการรอคอยเป็นบุพพกิจ เพราะฉะนั้น พระภิกษผู้จะเข้านิโรธพึงรำลึกถึงอย่างนี้ว่า "เมื่อฉันนั่งเข้านิโรธอยู่ตลอด ๗ วัน ถ้าว่าสงฆ์จะมีความปรารถนาเพื่อทำกรรมทั้งหลาย มีญัตติกรรมเป็นต้น กรรมไร ๆ ก็ตาม ฉันจักออก (จากนิโรธ) ทันทีทันใดที่พระภิกษุไรๆยังมิทันมาเรียกฉัน" เพราะว่าพระภิกษุนั้นทำอย่างนี้แล้ว จึงเข้า (นิโรธ) ก็จะออกได้ทันทีในเวลานั้น แต่พระภิกษุใดมิได้กระทำอย่างนั้น และสงฆ์ประชุมกันแล้วไม่เห็นพระภิกษุนั้น จะถามว่า "ภิกษุรูปโน้นไปไหน" ครั้นมีผู้บอกว่า "เข้านิโรธ" สงฆ์ก็จะส่งพระภิกษุรูปหนึ่งรูปใดไปตามว่า "จงไปเรียกพระภิกษุรูปนั้นมาตามคำของสงฆ์" ครั้นพระภิกษุ (ผู้ไปตาม)  นั้น ยืนอยู่ในที่ใกล้พอที่พระภิกษุผู้เข้านิโรธนั้นจะได้ยินแล้วเพียงแต่บอกว่า "อาวุโส สงฆ์รอคอยท่านอยู่" ดังนี้เท่านั้น การออก (จากนิโรธ)ก็มีในทันที เพราะว่า ชื่อว่าอาณาของสงฆ์ เป็นการหนักอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พระภิกษุผู้เข้านิโรธ ควรรำลึกถึงการรอคอยของสงฆ์นั้น แล้วจึงเข้า (นิโรธ)  โดยอาการที่จะออกได้เองทีเดียว


๓. การทรงมีรับสั่งหาของพระบรมศาสดา

       [๘๗๗] แม้ในข้อว่า "การทรงมีรับสั่งหาของพระบรมศาสดา" นี้ก็หมายถึงการรำลึกถึงการทรงมีรับสั่งหาของพระบรมศาสดานั่นเอง เป็น (บุพพ) กิจของพระภิกษุผู้เข้านิโรธนี้ เพราะฉะนั้น แม้การทรงมีรับสั่งหาของพระบรมศาสดานั้น พระภิกษุก็ควรรำลึกถึงโดยอาการอย่างนี้ว่า "เมื่อข้าพเจ้านั่งเข้านิโรธอยู่ตลอด ๗ วัน ถ้าพระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติสิกขาบทในเรื่องที่เกิดขึ้น หรือว่าจะทรงแสดงธรรมในเพราะความเกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้น ข้าพเจ้าจักออกทันทีในชั่วเวลาที่ใครๆ ยังไม่มาเรียกข้าพเจ้า" ดังนี้ เพราะว่าพระภิกษุนั้นครั้นทำอย่างนี้แล้วนั่ง (เข้านิโรธ) ก็จะออกได้ในเวลานั้นโดยแท้ แต่พระภิกษุใดไม่กระทำอย่างนั้น  เมื่อสงฆ์ประชุมกันแล้ว และทรงมีรับสั่งถามว่า "ภิกษุรูป พระบรมศาสดาทรงทอดพระเนตรไม่เห็นพระภิกษุนั้นโน้นไปไหน" ครั้นมีพระภิกษุกราบทูลว่า "เข้านิโรธ" จะโปรดส่งพระภิกษุบางรูปไปตามด้วยพระดำรัสว่า "เธอจงไปเรียกภิกษุนั้นตามคำของเรา" ครั้นพระภิกษุนั้นไป

--------------------

ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ น. ๑๑๙๙


ยืนอยู่ในที่ใกล้พอที่พระภิกษุผู้เข้านิโรธนั้นจะได้ยิน แล้วเพียงแต่บอกว่า "พระบรมศาสดาทรงมีรับสั่งหาท่าน" ดังนี้เท่านั้นก็ออก (จากนิโรธ) เพราะว่าการทรงมีรับสั่งหาของพระบรมศาสดา เป็นการหนักอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พระภิกษุผู้เข้านิโรธพึงรำลึกถึงการทรงมีรับสั่งหาของพระบรมศาสดานั้น แล้วเข้า (นิโรธ) โดยอาการที่จะออกได้เองนั่นเทียว


๔. กำหนดกาลเวลา

       [๘๗๘] ข้อว่า "กำหนดกาลเวลา" หมายถึง กำหนดกาลเวลาของชีวิต เพราะว่าพระภิกษุผู้นี้ ควรเป็นผู้ฉลาดอย่างดีในการกำหนดกาลเวลา ต้องรำลึกดูก่อนว่า"อายุสังขารของตนจักเป็นไปได้ตลอด ๗ วัน (หรือ) จักไม่เป็นไป" แล้วจึงเข้า เพราะถ้าว่าไม่รำลึกถึงอายุสังขารซึ่งจะดับไปภายใน ๗ วันก่อนแล้วเข้า (นิโรธ) ซร้ นิโรธสมาบัติของพระภิกษุนั้นก็มิสามารถป้องกันความตายได้ พระภิกษุนั้นต้องออกจากสมาบัติไปในระหว่างนั่นเอง เพราะความตายภายในนิโรธหามีไม่ เพราะฉะนั้น พระภิกษุผู้เข้านิโรธสมาบัติพึงรำลึกกำหนดกาลเวลา (ของชีวิต) ก่อนแล้วจึงเข้า เพราะว่าบุพพกิจข้ออื่นที่เหลือ (อีก ๓ อย่าง) แม้จะไม่นึกถึงก็ได้ แต่ว่ากำหนดกาลเวลา (ของชีวิต)นี้ ท่านว่า ต้องนึกถึงไว้โดยแท้


การเข้านิโรธสมาบัติ

       [๘๗๙] พระภิกษุนั้นครั้นเข้าอากิญจัญญายตนะแล้วออก กระทำบุพพกิจ (๔) นี้ ดังกล่าวนั้นแล้ว จึงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ครั้นแล้วก็ผ่านวารจิตไป ๑ หรือ ๒ วาระ แล้วเป็นผู้ไม่มีจิตสัมผัสนิโรธ (ความดับ)

       ถามว่า "แต่เพราะเหตุไร ถัดจิต ๒ ดวงไป จิตของพระภิกษุ (ผู้เข้านิโรธ) นั้น จึงไม่เป็นไร" 

       (ตอบว่า) "เพราะเป็นประโยคของนิโรธ" ความจริง การที่พระภิกษุนี้กระทำธรรมคือสมถะและวิปัสสนา ๒ อย่างเทียมเข้าคู่กัน แล้วขึ้นสู่สมาบัติ ๘ นี้เป็นประโยคของอนุปุพพนิโรธ (คือการดับไปของฌานมีปฐมฌานเป็นต้น และอนุปัสสนาทั้งหลายนั้น ๆ โดยลำดับ) หาใช่ประโยคของการเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติไม่ เพราะเหตุนี้ จิตทั้งหลาย (ของพระภิกษุนั้น) จึงไม่เป็นไปเกินจิต ๒ ดวงเพราะเป็นประโยคของนิโรธ แต่ว่าพระภิกษุใด ครั้นออกจากอากิญจัญญายตนะแล้ว

-------------------

น. ๑๒๐๐ คัมภีร์วิสุทธิมรรค


ไม่ทำบุพพกิจ (ดังกล่าว นี้ เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะไปเลย พระภิกษุนั้นมิสามารถเป็นผู้ไม่มีจิตต่อไปได้ แต่จะถอยกลับมาตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนะอย่างเดิม และในเรื่องนี้ ควรกล่าวถึงอุปมาด้วยบุรุษผู้ไม่เคยเดินทาง (สู่สถานที่ไม่เคยไป) 

       เล่ากันว่า บุรุษผู้หนึ่ง ไม่เคยเดินทางสายหนึ่ง ครั้นมาถึงลำห้วย"(1) หรือแผ่นหินซึ่งร้อนด้วยแสงแดดแผดเผาอย่างแรงกล้า ที่ทอดไว้ (เป็นสะพาน) ข้ามหล่มน้ำลึก" อยู่ระหว่างทางก็ไม่ถกผ้านุ่งและผ้าห่มนั้นให้กระชับเสียก่อน ลงสู่ลำห้วยเลย ด้วยความกลัวบริขารเปียกจึงกลับมายืนอยู่ริมฝั่งข้างนี้อย่างเดิมอีก แม้ก้าวเหยียบแผ่นหินก็ร้อนเท้า จึงกลับมายืนอยู่ ณ ฝั่งนี้อย่างเดิมอีกในอุปมานั้น เปรียบความเหมือนว่าบุรุษผู้นั้น เพราะมิได้ถกผ้านุ่งและผ้าห่มให้กระชับ พอลงไปยังลำห้วยเท่านั้น และพอก้าวเหยียบแผ่นหินที่ร้อนเท่านั้นก็ถอยกลับมายืนอยู่ ณ ฝั่งข้างนี้อย่างเดิม ฉันใดแม้โยคาวจรก็ฉันนั้น เพราะมิได้ทำบุพพกิจ พอเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะเท่านั้นก็(ต้อง) ถอยกลับมาตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนะ แต่บุรุษผู้เคยเดินทางสายนั้นมาแล้วในกาลก่อน ครั้นมาถึงสถานที่นั้นก็นุ่งผ้าผืนหนึ่งให้กระชับ แล้วมือก็ถือผ้าอีกผืนหนึ่งไว้ก้าวลงสู่ลำห้วยหรือทำเพียงแต่สักว่าก้าวเหยียบแผ่นหินที่ร้อนเท่านั้น แล้วเดิน (รีบข้าม)ไปทางฝั่งโน้น ฉันใด พระภิกษุผู้ทำบุพพกิจแล้วก็ฉันนั้นเหมือนกัน เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะก่อนแล้ว ต่อไปก็เป็นผู้ไม่มีจิตสัมผัสนิโรธอยู่


การตั้งอยู่ของนิโรธสมาบัติ

       [๘๘๐] ข้อ ๕. ที่ว่า " การตั้งอยู่เป็นอย่างไร" ตอบว่า ก็การตั้งอยู่ของนิโรธสมาบัตินั้น ที่เข้าแล้วด้วยประการดังกล่าวมานี้ มีอยู่ด้วยกำหนดกาลเวลา และมีอยู่ด้วยไม่มีการสิ้นอายุ ไม่มีการรอคอยของสงฆ์ และไม่ทรงมีรับสั่งหาของพระบรมศาสดา


การออกของนิโรธสมาบัติ

       [๘๘๑] ข้อ ๕. ที่ว่า "...การออกเป็นอย่างไร" ตอบว่า การออกมีอยู่โดย ๒ ทางอย่างนี้ คือสำหรับพระอนาคามี การออกมีด้วยการเกิดขึ้นของอนาคามิผลจิต สำหรับพระรหันต์มีด้วยการเกิดขึ้นของอรหัตตผลจิต

------------------

(1) หมายถึง ผ่านลำห้วยได้ ๒ วิธี คือ ลงบุกลุยในลำห้วย ๑ เดินบนแผ่นดินข้ามไป ๑

------------------

ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ   น. ๑๒๐๑


       จิตของผู้ออกจากนิโรธสมาบัติน้อมไปสู่พระนิพพาน

       [๘๘๒ ข้อ ๖. ที่ว่า "จิตของผู้ออกแล้ว (จากนิโรธสมาบัติ) น้อมไปในอะไร"

       ตอบว่า น้อมไปในพระนิพพาน เป็นความจริง พระธรรมทินนาเถรีก็ได้กล่าวคำนี้ไว้ว่า "วิสาขะผู้อาวุโส จิตของพระภิกษุผู้ออกแล้วแล จากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เป็นจิตน้อมไปในวิเวก (คือพระนิพพาน) โน้มไปโดยวิเวก โอนเอียงไปทางวิเวก"(1)


คนตายกับท่านผู้เข้านิโรธสมาบัติต่างกัน

       (๘๘๓) ข้อ ๗. ที่ว่า "คนตายแล้ว กับท่านผู้เข้านิโรธสมาบัติ มีความต่างกันอย่างไร" แม้ความข้อนี้ท่านก็กล่าวไว้ในพระสูตรเหมือนกัน ดังท่านพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า "อาวุโส คนตายแล้ว ทำกาละแล้ว นี้ใด กายสังขารทั้งหลายของคนผู้นั้น ดับแล้ว ระงับแล้ว วจีสังขารทั้งหลาย ... จิตตสังขารทั้งหลายดับแล้ว ระงับแล้วอายุสิ้นสุดแล้ว ไออุ่นสงบแล้ว อินทรีย์ทั้งหลายแตกสลายแล้ว (ส่วน) พระภิกษุ ผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธนี้ใด กายสังขารทั้งหลายของพระภิกษุแม้นั้น ดับแล้ว ระงับแล้ววจีสังขารทั้งหลาย ... จิตตสังขารทั้งหลาย ดับแล้ว ระงับแล้ว อายุยังไม่สิ้นสุด ไออุ่น ยังไม่สงบ อินทรีย์ทั้งหลายยังไม่แตกสลาย" ดังนี้"(2)


นิโรธสมาบัติเป็นสังขตะหรืออสังขตะ ...

       [๘๘๔] แต่ในคำถามข้อ ๘. ที่ว่า "นิโรธสมาบัติเป็นสังขตะหรืออสังขตะ ..." เป็นต้น ไม่ควรกล่าวตอบว่า เป็นสังขตะบ้าง เป็นอสังขตะบ้าง เป็นโลกิยะบ้าง เป็นโลกุตตระบ้าง เพราะเหตุไร เพราะไม่มีอยู่โดยสภาวะ แต่โดยเหตุที่นิโรธสมาบัตินั้น ชื่อว่าเป็นอันเข้าได้ด้วยอำนาจของพระอริยบุคคลผู้เข้าอยู่เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่า "นิปผันนะสำเร็จ" ก็ควร จะกล่าวว่า "อนิปผันนะ - ไม่สำเร็จ" หาควรไม่

              อิติ สนฺตํ สมาปตฺตึ            อิมํ อริยนิเสวิตํ

              ทิฏฺเฐว ธมฺเม นิพฺพาน-    มิติ สงฺขํ อุปาคตํ

              ภาเวตฺวา อริยปญฺญํ        สมาปชฺชนฺติ ปณฺฑิตา.

              ยสฺมา ตสฺมา อิมิสฺสาปี     สมาปตฺติสมตฺถตา

              อริยมคฺเคสุ ปญฺญาย       อานิสํโสติ วุจฺจตีติ.

--------------------------

(1) ดูเทียบ ม. มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๔/๕๐๕ 

(2) ดูเทียบ ม. มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๗/ ๔๙๕

-------------------------

น. ๑๒๐๒ คัมภีร์วิสุทธิมรรค


                         แปลความว่า

       เพราะเหตที่บัณฑิตทั้งหลาย ทำอริย (มรรคและผล)

       ปัญญาให้เกิดแล้ว เข้าสมาบัติอันสงบ ซึ่งเข้าถึงการนับว่า

       เป็นนิพพาน ในทิฏฐธรรมที่เดียวนี้ ที่พระอริยเจ้าเสพแล้ว

       ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้สามารถในการ

       เข้านิโรธสมาบัติแม้นี้ได้ ท่านก็กล่าวว่า เป็นอานิสงส์ของ

       ปัญญาในอริยมรรคทั้งหลาย ฉะนี้แล


๔. อาหุเนยฺยภาวาทิสิทฺธิ - สำเร็จความเป็นอาหุไนยบุคคลเป็นต้น

       [๘๘๕] ข้อว่า "สำเร็จความเป็นอาหุไนยบุคคลเป็นต้น" หมายความว่า และมิใช่แต่เป็นผู้สามารถในการเข้านิโรธสมาบัติได้เพียงเท่านั้น แต่ว่าแม้ความสำเร็จในความเป็นอาหุไนยบุคคลเป็นต้นนี้ ก็พึงทราบว่าเป็นอานิสงส์ของโลกุตตรปัญญาภาวนานี้ด้วย ความจริง บุคคลผู้ทำปัญญาให้เกิดแล้ว เพราะเหตุที่ตนเองทำโลกุตตรปัญญา แม้ทั้ง ๔ อย่างนี้ให้เกิด จึงเป็น

       ๑. อาหุไนย บุคคลผู้ควรของคำนับ

       ๒. ปาหุไนย ผู้ควรของต้อนรับ

       ๓. ทักขิไนยบุคคล บุคคลผู้ควรทักษิณาของชาวโลกรวมทั้งเทวดา

       ๔. อัญชลีกรณียะ บุคคลผู้ควรทำอัญชลี

       ๕. โลกานุตตรปุญญเขตตะ เป็นเขตแห่งบุญอย่างเยี่ยมยอดของโลกโดยไม่แตกต่างกัน


       [๔๘๖]  แต่โดยแตกต่างกันในโลกุตตรปัญญาภาวนานี้ก็คือ


๑. พระโสดาบัน

       ๑. ท่านผู้ทำมรรคปัญญา ที่ ๑ ให้เกิดรายแรกแล้ว มา (สู่ความเป็นพระโสดาบัน) ด้วยวิปัสสนาอย่างอ่อนแม้จะเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อนก็มีชื่อว่า สัตตักขัตตุปรมะ (ผู้เข้าถึงภพ ๗ ครั้ง เป็นอย่างมาก) จะท่องเที่ยวไปตลอด ๗ สุคติภพ แล้วทำที่สุดทุกข์

--------------

ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ    น. ๑๒๐๓


       ๒. ท่านผู้มาด้วยวิปัสสนาอย่างกลาง เป็นผู้มีอินทรีย์ปานกลาง มีชื่อว่า โกลังโกละ (ผู้จากสกุลไปสู่สกุล) จะเร่ร่อนท่องเที่ยวไปตลอด ๒ หรือ ๓ สกุล (คือภพ แล้วทำที่สุดทุกข์

       ๓. ท่านผู้มาด้วยวิปัสสนาอย่างแก่ เป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า มีชื่อว่า เอกพีชี จะทำภพซึ่งเป็นของชาวมนุษย์ ให้เกิดเพียงภพเดียวเท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์

๒. พระสกทาคามี

       [๘๘๗] ท่านผู้ทำมรรคปัญญาที่ ๒ ให้เกิดแล้ว มีชื่อว่า พระสกทาคามี จะกลับมาสูโลกนี้ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์

๓. พระอนาคามี

       [๘๘๘] ท่านผู้ทำมรรคปัญญา ที่ ๓ ให้เกิดแล้ว มีนามว่า พระอนาคามี โดยมีความต่างกันของอินทรีย์ พระอนาคามีนั้น ละในโลกนี้แล้วไปจบลง (คือปรินิพพาน) โดย ๕ ประเภท คือ

       ๑. อันตราปรินิพพายี ท่านผู้ปรินิพพานในระหว่างอายุไม่ถึงกึ่ง

       ๒. อุปหัจจปรินิพพายี ท่านผู้ปรินิพพานเมื่ออายุพันกึ่งไปแล้ว

       ๓. อสังขารปรินิพพายี ท่านผู้ปรินิพพานโดยไม่ใช้ความเพียรนัก

       ๔. สสังขารปรินิพพายี ท่านผู้ปรินิพพานโดยใช้ความเพียรมาก

       ๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี ท่านผู้มีกระแสในเบื้องบน ไปสู่อกนิฏฐภพ

ใน ๕ ประเภทนั้น

       ๑. ท่านผู้ไปเกิดในสุทธาวาสภพ(1) ภพใดภพหนึ่ง อยู่ยังไม่ถึงครึ่งอายุก็ปรินิพพาน (ในภพนั้น) ชื่อว่า อันตราปรินิพพายี

       ๒. ท่านผู้ปรินิพพานเลยครึ่งอายุไปแล้ว ชื่อว่า อุปหัจจปรินิพพายี

       ๓. ท่านผู้ทำมรรคเบื้องบนให้เกิดโดยไม่ต้องทำความเพียรมาก โดยไม่ต้องประกอบความเพียรมาก ชื่อว่า อสังขารปรินิพพายี

----------------

(1) สุทธาวาสภพ มี ๕ คือ อวิหา, อตัปปา, สุทัสสา, สุทัสสี, อกนิฏฐา

---------------

น. ๑๒๐๔    คัมภีร์วิสุทธิมรรค


       ๔. ท่านผู้ทำมรรคเบื้องบนให้เกิดโดยมีการทำความเพียรมาก โดยมีประกอบความเพียรมาก ชื่อว่า สสังขารปรินิพพายี

       ๕. ท่านผู้เกิดในภพใด แล้วขึ้น (สู่ภพ) สูงขึ้นไปจากภพนั้นจนถึงอกนิฎฐภพแล้วปรินิพพานในอกนิฏฐภพนั้น ชื่อว่า อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี

๔. พระอรหันต์

       [๘๘๙] ท่านผู้ทำมรรคปัญญาที่ ๔ ให้เกิดแล้ว

       ๑. บางท่านเป็น  สัทธาวิมุต ผู้พ้นพิเศษด้วยศรัทธา

       ๒. บางท่านเป็น ปัญญาวิมุต ผู้พันพิเศษด้วยปัญญา

       ๓. บางท่านเป็น อุภโตภาควิมุต ผู้พันพิเศษด้วยภาคทั้งสอง

       ๔. บางท่านเป็น เตวิชโช ผู้มีวิชชา ๓

       ๕. บางท่านเป็น ฉฬภิญโญ ผู้มีอภิญญา ๖

       ๖. บางท่านเป็น ปฏิสัมภิทัปปเภทปัตโต ผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทา 

       (ทุกท่าน) เป็นพระมหาขีณาสพ ซึ่งข้าพเจ้ากล่าวระบุถึงมาแล้วว่า "แต่พระอริยบุคคลท่านนี้ ในขณะ (บรรลุอริย) มรรค ชื่อว่า กำลังถางรกชัฏนั้น ในขณะ (บรรลุอริย) ผล ชื่อว่า ถางรกชัฏแล้ว เป็นพระทักขิไณยบุคคลชั้นเลิศของชาวโลกรวมทั้งเทวโลก" ดังนี้

              เอวํ อเนกานิสํสา         อริยปญฺญาย ภาวนา

              ยสฺมา ตสฺมา กเรยฺยาถ   รตึ ตตฺถ วิจกฺขโณ.

                               แปลความว่า

            เพราะเหตุที่การทำอริยปัญญาให้เกิดมีอานิสงส์มากมาย

            ดังกล่าวมานี้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้มีปัญญาเป็นเครื่องเห็น

            แจ้ง ควรทำความอภิรมย์ยินดีในการทำอริยปัญญาให้เกิด

            นั้นเถิด

-----------

ปริจเฉทที่ ๒๓ ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ   น. ๑๒๐๕


       [๔๘๙๐]  อนึ่ง ปัญญาภาวนาพร้อมทั้งอานิสงส์ ในวิสุทธิมรรค ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงด้วยหลักธรรมเป็นประธาน คือศีล สมาธิ และปัญญา ไว้ในคาถานี้ว่า:-

                 สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ     จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ

                 อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ                    โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ.

                                     แปลความว่า

            นรชน ผู้มีปัญญา เป็นภิกษุ มีความเพียร มีปัญญา

            เครื่องบริหาร ตั้งตนไว้ในศีลแล้วทำสมาธิจิต และปัญญา

            ให้เจริญอยู่ เธอจะพึงถางรกชัฏอันนี้เสียได้

       เป็นอันข้าพเจ้าได้แสดงไว้บริบูรณ์แล้ว ด้วยพรรณนาความดังกล่าวนี้


ปริจเฉทที่ ๒๓ ชื่อว่า ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ ในปกรณ์วิเสสชื่อวิสุทธิมรรค

อันข้าพเจ้าทำเพื่อประโยชน์แก่ความปราโมซแห่งสาธุชน  ดังนี้

-----------///----------



[full-post]

คัมภีร์วิสุทธิมรรค,วิสุทธิมรรค,ปริจเฉทที่๒๓,ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.