องค์ศีล (๘)

----------

.............

วจีกรรมในกรรมบถ 

.............

ศีลข้อที่ ๑ ปาณาติบาต ข้อที่ ๒ อทินนาทาน ข้อที่ ๓ (ศีล ๕) กาเมสุมิจฉาจาร และข้อที่ ๔ มุสาวาท ทั้ง ๔ ข้อนี้มีในกรรมบถด้วย ยกเว้นข้ออพรหมในศีล ๘ ไม่มีในกรรมบถ

กรรมบถท่านแบ่งเป็นกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓

กายกรรม ๓ เหมือนกับศีลข้อ ๑-๒-๓ ในศีล ๕ 

วจีกรรม ๔ นอกจากมุสาวาทซึ่งเหมือนกับศีล ๕ และศีล ๘ แล้ว กรรมบถยังมีเพิ่มอีก ๓ คือ ปิสุณาวาจา (วาจาส่อเสียด) ผรุสวาจา (วาจาหยาบ) และสัมผัปปลาปะ (คำพูดเพ้อเจ้อ)

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ศีล ๕ และศีล ๘ มีเฉพาะมุสาวาท แต่ไม่มีปิสุณาวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะ

แปลว่า เฉพาะพูดเท็จเท่านั้นที่ศีลขาด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ศีลไม่ขาด 

แต่กรรมบถขาด

จะเห็นได้ชัดว่าศีลกับกรรมบถมีขอบเขตแคบกว้างต่างกัน

บางอย่างมีในศีล ไม่มีในกรรมบถ

บางอย่างมีในกรรมบถ ไม่มีในศีล

เพราะฉะนั้น อย่าเกณฑ์ให้ศีลต้องมีทุกอย่างดังที่ใจเราคิด

แต่ควรใช้วิธีศึกษาธรรมะให้ทั่วถึง ก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราต้องการนั้นอยู่ตรงไหน

ไหนๆ ศีลก็พาดพิงหรือพัวพันอยู่กับกรรมบถ เมื่อรู้องค์ประกอบของมุสาวาทแล้วก็ควรรู้ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะ ให้ครบชุดไปด้วยเลย

........................

อกุศลกรรมบถทางวจีกรรมมี ๔ อย่าง คือ -

(๑) มุสาวาท: การพูดเท็จ (false speech)

(๒) ปิสุณาวาจา: วาจาส่อเสียด (tale-bearing; malicious speech)

(๓) ผรุสวาจา: วาจาหยาบ (harsh speech)

(๔) สัมผัปปลาปะ: คำพูดเพ้อเจ้อ (frivolous talk; vain talk; gossip)

“มุสาวาท” บรรยายมาแล้ว

.............

ปิสุณาวาจา 

.............

เกณฑ์ตัดสินว่า การส่อเสียดนั้นสำเร็จ มีองค์ประกอบ ๔ ประการ คือ -

(๑) ภินฺทิตพฺโพ  ปโร (ภินทิตัพโพ ปะโร) = มีตัวบุคคลที่ผู้ส่อเสียดประสงค์จะให้แตกกัน

(๒) เภทปุเรกฺขารตา  วา  ปิยกมฺยตา  วา (เภทะปุเรกขาระตา  วา  ปิยะกัมยะตา  วา) = มีเจตนาจะให้เขาแตกกันก็ตาม มีเจตนาจะให้คนถูกใจการกระทำของตนก็ตาม

(๔) ตชฺโช  วายาโม (ตัชโช วายาโม = ลงมือกระทำ

(๔) ตทตฺถวิชานนํ (ตะทัตถะวิชานะนัง) = มีผู้รับรู้และเข้าใจวิธีที่กระทำนั้นสมตามเจตนา

ท่านขมวดไว้ว่า ถ้าครบทั้ง ๔ องค์ประกอบนี้ก็เป็นอันสำเร็จเป็นปิสุณาวาจา แต่ถ้าเขาไม่แตกกันตามเจตนา กรรมบถยังไม่ขาด ต่อเมื่อเขาแตกกันกรรมบถจึงขาด

.............

ผรุสวาจา 

.............

คัมภีร์มังคลัตถทีปนี ภาค ๑ ข้อ ๒๑๓ หน้า ๒๐๙ อธิบายลักษณะของ “ผรุสวาจา” ไว้ว่า - 

........................................................

ปรสฺส  มมฺมจฺเฉทกกายวจีปโยคสมุฏฺฐาปิกา  เอกนฺตผรุสเจตนา  ผรุสวาจา  ผรุสํ  วตฺติ  เอตายาติ  กตฺวา.

........................................................

คำบาลีประโยคนี้ถ้าแปลตามศัพท์ หรือ word by word จะเข้าใจยากที่สุด เพราะฉะนั้น ขอแปลตามสำนวนทองย้อยว่า -

........................................................

เจตนาหยาบล้วนๆ ที่เป็นเหตุผลักดันให้เกิดการกระทำและคำพูดชนิดที่ตัดทางที่คนอื่น (ที่ถูกด่า) จะชื่นชมยินดี ไขความว่า “เจตนาเป็นเหตุให้คนเรากล่าวคำหยาบ” (นี่แหละ) ชื่อว่า “ผรุสวาจา”

........................................................

แค่ไหนอย่างไรจึงจะถือว่าเป็น “ผรุสวาจา” ตามหลักธรรม ท่านแสดงว่า มีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ -

(๑) อกฺโกสิตพฺโพ ปโร (อักโกสิตัพโพ ปะโร) = มีตัวผู้ที่จะถูกด่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่คนด้วยกันเสมอไป อาจเป็นสัตว์ หรือสภาพดินฟ้าอากาศ หรืออะไรอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

(๒) กุปิตจิตฺตํ (กุปปิตะจิตตัง) = ผู้ด่ามีจิตเคียดแค้นขุ่นเคือง (จิตใจมีเมตตารักใคร่ แต่ปากแกล้งทำเป็นด่าไปอย่างนั้นเอง ถือว่าไม่ครบองค์ประกอบข้อนี้)

(๓) อกฺโกสนา (อักโกสะนา) = ลงมือด่า ด้วยการเปล่งวาจาออกมา หรือด้วยกิริยาท่าทางอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ (นึกด่าอยู่ในใจ แต่ไม่ได้แสดงออก ถือว่าไม่ครบองค์ประกอบข้อนี้)

.............

สัมผัปปลาปะ 

.............

เกณฑ์ตัดสินว่าเป็นสัมผัปปลาปะ มีองค์ประกอบ ๒ ประการ คือ -

(๑) นิรตฺถกกถาปุเรกฺขารตา (นิรัตถะกะกะถาปุเรกขาระตา) = มุ่งจะพูดเรื่องอันหาสารประโยชน์มิได้

(๒) ตถารูปิกถากถนํ (ตะถารูปิกะถากะถะนัง) = พูดเรื่องอันหาสารประโยชน์มิได้นั้น

ท่านขมวดไว้ว่า ถ้าใครฟังแล้วรู้ทันว่าเป็นเรื่องไร้สาระ กรรมบถยังไม่ขาด (คือถ้าเป็นศีล ศีลยังไม่ขาด) ต่อเมื่อใครฟังแล้วเชื่อเอาเป็นจริงเป็นจัง กรรมบถจึงจะขาด

แต่จะอย่างไรก็ตาม ท่านก็ยืนยันว่า แค่มีเจตนาจะพูดเรื่องไร้สาระแล้วพูดออกไป ก็เป็น “สัมผัปปลาปะ” เรียบร้อยแล้ว

(ยังมีต่อ)

----------------------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๒๒ มกราคม ๒๕๖๖

๒๐:๓๒

[full-post]

องค์ศีล, กรรมบถ, อกุศลกรรมบถ

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.