สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ
อุปธิ 4 (อภิธาน 968) เป็นไฉน? องค์ธรรมคืออะไร?
อุปธิ คือ สภาวะอันเป็นที่ตั้งของความสุขและความทุกข์ มี 4 ประเภท ดังนี้
1. กามุปธิ คือ กามคุณ 5 มี รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสที่น่าพอใจ เมื่อได้เห็นรูปที่สวยงาม ได้ยินเสียงที่ไพเราะ ได้ดมกลิ่นที่หอม ได้ลิ้มรสที่อร่อย ได้สัมผัสที่นุ่มนวล และได้คิดถึงสิ่งที่น่าชอบใจ ความสุขจากการได้เสพกามคุณเหล่านี้ก็เกิดความสุขขึ้น บางบุคคลเกิดการยึดติดมัวเมาขนาดหนัก คราวหนึ่งๆเสพที่ละหลายทวารเลย เช่นทานอาหารก็ต้องให้กรอบ(กายทวาร)อร่อย(ทวารลิ้น)สีต้องน่ากิน(ทวารตา)กลิ่นต้องหอม(ทวารจมูก)ต้องมีเพลงเพราะๆฟัง(ทวารหู)ข้างตัวก็มีสาวสวยคอยนวดเฟ้นให้(ทวารกาย)และคอยพูดเอาอกเอาใจทำให้ใจเคลิบเคลิ้ม(ทวารใจ) พอเคยได้เสพแล้วกลับไม่ได้ก็เป็นทุกข์ หรือบางบุคคลเห็นเข้าอยากได้เสพบ้าง เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ กามคุณจึงเปรียบได้กับนัำผึ้งเคลือบยาพิษ ใช่แต่เท่านั้น คนเราต้องทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อสนองความต้องการที่จะได้รับความสุข ต้องพยายามเก็บออมทรัพย์ บางครั้งก็ต้องเสี่ยงชีวิต ฝ่าฟันอันตราย พยายามทุกทางที่จะหาความสุขมาให้ตนเอง บางครั้งก็ต้องขัดแย้งกับคนอื่นเพราะแย่งผลประโยชน์กัน ไม่เว้นแม้หมู่พี่น้องเพื่อนฝูง บางครั้งความหวงแหนทรัพย์สมบัติก็ทำให้เกิดความร้าวฉาน แตกแยก คดีความในศาลเกิดขึ้นเพราะมรดกเป็นสาเหตุก็มีมาก เป็นความจริงที่เห็นได้ว่า ความทุกข์ทั้งหลายในชีวิตนั้นมีเหตุเกิดจากความยึดมั่นในเบญจกามคุณนั่นเอง
2. ขันธูปธิ คือ ขันธ์ 5 ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่างๆ แต่กลับเห็นว่า รูปนามที่เป็นขันธ์ 5 นี้เป็นความสุข เพราะเล็งเห็นแต่ว่า การมีดวงตาทำให้มองเห็นรูปที่ต้องการเห็นได้ การมีหูทำให้ได้ยินเสียงที่ต้องการฟังได้ การมีจมูก ลิ้น กาย ทำให้เรา รู้กลิ่น ลิ้มรส และจับต้องสัมผัสได้ การมีหทยวัตถุและจิต ทำให้รับรู้อารมณ์ทางใจได้ ใช่แต่เท่านั้นยังยึดติดสภาพความเป็นขันธ์เป็นนักเป็นหนา เช่น พอตาเสียไปข้างหนึ่ง ข้างที่เหลือก็จะระวังประคบประหงมเป็นอย่างดีเลย ความจริงรูปนาม ที่มีสภาวะเป็นขันธ์นี่แหละเป็นทุกข์ เมื่อดับรูปนามได้ ความทุกข์จากขันธุปธิก็ไม่มี
3. กิเลสูปธิ คือ กิเลสต่าง ๆอันมี โลภมูล โทสมูล โมหมูล เป็นรากเหง้า ทำกิเลสแข็งแรงละได้ยาก เป็นเหตุให้วัฎฏะ 3 มี กิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ ขับเคลื่อนเป็นวงจร(วัฏฏะ)ไม่หยุด ไม่ขาดสาย
4. อภิสังขารูปธิ คือ การสั่งสมกรรมทั้งดี(กุศลกรรม)ทั้งชั่ว(อกุศลกรรม) แม้กุศลกรรม มี ทาน ศีล ภาวนา จะนำเกิดในสุคติภูมิ มี มนุษย์ เทวดา พรหม หรือ อกุศลกรรมนำเกิดในอบายภูมิ มี สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ขึ้นชื่อว่าได้ขันธ์มาก็ย่อมเป็นทุกข์ สมดังที่ทรงตรัสไว้ว่า
ทุกขสัจจ์เมื่อกำหนดแยกด้วยอาการ มี 3 ประเภท(สํ.มหา.19/82) ดังนี้ คือ
1.ทุกขทุกข์ เป็นทุกข์ด้วยอาการที่ทนได้ยาก องค์ธรรม คือ ทุกขเวทนา เหล่าสัตว์ทั้งหลายสามารถเห็นเองได้ว่า เป็นทุกข์ขณะตั้งอยู่ เป็นสุขขณะดับไป
2.วิปรินามทุกข์ เป็นทุกข์ด้วยอาการที่แปรเปลี่ยนไป คือ มีแล้วกลับไม่มี องค์ธรรม คือ สุขเวทนา เหล่าสัตว์ทั้งหลายสามารถเห็นเองได้ว่า เป็นสุขขณะตั้งอยู่ เป็นทุกข์ขณะดับไป
3.สังขารทุกข์ เป็นทุกข์ด้วยอาการบีบคั้นที่มีอยู่ประจำสังขารธรรม 160 (อภิธาน 832) หมายความว่าการรู้แจ้งทุกขสัจจ์ ต้องเข้าถึงอาการบีบคั้นของสังขารทุกข์ ไม่ใช่อาการทุกขทุกข์ และอาการวิปรินามทุกข์ ซึ่งมีส่วนแห่งความยินดีความยินร้ายอยู่ ไม่เสมอภาคถ้วนหน้าเหมือนสังขารธรรม นั่นเท่ากับว่า เป็นการบอกเป็นปริยายนัยว่า ทุกขเวทนากับสุขเวทนาแม้ มีอยู่ในธรรม 160 แล้วก็ตามต้องเห็นเป็นสังขารทุกข์ทั้ง 160 นั่นแหละ การจำแนกเป็นวิปัสสนาภูมิ 6 มี ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 สัจจะ 4 ปฏิจจสมุปบาท 12 ก็ดี การจำแนกเป็นสติปัฏฐาน 4 คือ เป็นฐานที่ตั้งสติ มี กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อกันวิปัลลาส 4 มี สุภวิปัลลาส สุขวิปัลลาส นิจจวิปัลลาส อัตตวิปัลลาส ก็ดี ถึงจะบริบูรณ์ อันเป็นเหตุให้ญาณจดถึงสังขารทุกข์ได้โดยประจักษ์ ไม่ใช่ว่าเอา นึกเอาด้วยสัญญา คิดเอาด้วยจิต แต่ด้วยความรู้สึกจากญาณที่มีสภาวธรรมปรากฏเป็นประจักษ์พยานยืนยันนั่นเอง
อุปธิ 4 จึงเกี่ยวข้องกับธรรมหลายหมวด ทำให้เข้าใจได้ยาก ต้องอาศัยทั้งอรรถกถา ฏีกาและนิสสยะครับ
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ