สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ
ในบรรดาลัทธิ(ทิฏฐิ) 62 ประเภท(พรหมชาลสูตร) มีกลุ่มลัทธิที่เข้าใจว่่า นิพพานมีอยู่ในปัจจุบันขณะ(ทิฏฐธัมมนิพพาน) 5 ประเภท คือ
1. กลุ่มอาศัยความเพรียบพร้อมด้วยกามคุณ 5 เป็นนิพพานที่มีอยู่ในปัจจุบันขณะ
2. กลุ่มอาศัยความเพรียบพร้อมด้วยปฐมฌาน เป็นนิพพานที่มีอยู่ในปัจจุบันขณะ
3. กลุ่มอาศัยความเพรียบพร้อมด้วยทุติยฌาน เป็นนิพพานที่มีอยู่ในปัจจุบันขณะ
4. กลุ่มอาศัยความเพรียบพร้อมด้วยตติยฌาน เป็นนิพพานที่มีอยู่ในปัจจุบันขณะ
5. กลุ่มอาศัยความเพรียบพร้อมด้วยจตุตถฌาน เป็นนิพพานที่มีอยู่ในปัจจุบันขณะ
ตัวอย่าง เช่น เมื่อรู้ว่าเกิดความยินดีเพลิดเพลินในกามคุณ 5 ตัณหาก็ดับไป จึงเข้าใจว่า เป็นนิพพานที่มีอยู่ในปัจจุบันขณะ(ที่ตนรู้ได้เท่าทันนั่นเอง) แม้การได้ฌาน การเข้าฌานที่ตนได้มา ก็มีนัยเดียวกัน เพราะฌานเป็นปฏิปักษ์ต่อกามตัณหาด้วยการข่มไว้ จึงสำคัญว่า ฌานที่ตนได้นั่นแหละ คือนิพพานที่มีอยู๋ในปัจจุบันขณะ(ที่ตนได้ฌาน เข้าฌานที่ตนได้) ซึ่งจะต่างจากความดับ(นิโรธ)ตัณหาของอริยมรรคที่ดับได้ทั้งเหตุ คือ ตัณหา และดับได้ทั้งผล คือ กองทุกข์ ตามกำลังของอริยมรรคนั้นๆ เพื่อไขความกระจ่างประเด็นนี้ในคัมภีร์มิลินท์ปัญหาท่านจึงตั้ง นิโรธนิพพานปัญหาขึ้นมาสนทนาเพื่อชี้แจ้งสภาพความดับตัณหาของนิพพานแตกต่างจากสภาพความดับตัณหาของลัทธิทิฏฐธัมมนิพพานว่าเป็นอย่างไร?
พระเจ้ามิลินท์ "พระคุณเจ้านาคเสน นิโรธ ที่หมายเอาความดับตัณหาเสียได้ ชื่อว่านิพพานหรือ?"
พระนาคเสน "ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถูกต้องแล้ว นิโรธ ที่หมายเอาการดับตัณหาเสียได้นั่นแหละ ชื่อว่านิพพาน"
พระเจ้ามิลินท์ "พระคุณเจ้านาคเสน นิโรธ ที่หมายเอาการดับตัณหาเสียได้ ชื่อว่านิพพาน มี อาการปรากฏให้รู้ว่าต่างจากทิฏฐธัมมนิพพานเป็นอย่างไรเล่า?"
พระนาคเสน " ขอถวายพระพร ปุถุชนผู้ทรามปัญญาทั้งหลาย ย่อมหลงระเริงมัวเมายึดติดอายตนะทั้งภายในและทั้งภายนอก ปุถุชนผู้ทรามปัญญาเหล่านั้นจึงย่อมถูกกระแสตัณหาพัดพาให้จมอยู่ในวัฏฏทุกข์ ไม่อาจหลุดพ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความร่ำให้รำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ไปได้เลย. ขอถวายพระพร พระอริยสาวกผู้บรรลุพระอริยมรรคอันได้จากการสดับแล้ว ย่อมไม่หลงระเริงมัวเมายึดติดอายตนะ ทั้งภายใน ทั้งภายนอก ตัณหาก็ย่อมดับไป เพราะตัณหาดับไป อุปทานจึงดับไป เพราะอุปทานดับไป ภพ(กรรมภพ)จึงดับไป เพราะภพดับไป ความเกิดจึงดับไป เพราะความเกิดดับไป ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความร่ำให้รำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ จึงดับไป นิโรธ ที่หมายเอาการดับตัณหาเสียได้ อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง(สมุทัยสัจจ์) มีกิจทั้งดับเหตุ คือ ตัณหา ทั้งดับผล คือกองทุกข์(ทุกขสัจจ์) นิโรธ คือความดับที่ดับทั้งเหตุทั้งผลได้นี่แหละ คือ สภาวการดับของนิพพาน หาใช่สภาวการดับแบบของลัทธิทิฏฐธัมมนิพพานไม่ "
พระเจ้ามิลินท์ " สาธุ พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบได้ลึกและกระจ่างชัดสมกับประเด็นของปัญหาแล้ว "
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ