นิพพาน และความหมายของนิพพาน
วินติ สํสิพฺพตีติ วานํ - ธรรมชาติที่เย็บ คือร้อยสัตว์ไว้ในวัฏฏทุกข์ ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า วานะ (ตัณหา)
วานโต นิกฺขนฺตนฺติ นิพฺพานํ - ธรรมชาติใด ย่อมออกจากตัณหาที่ชื่อว่าวานะนั้น ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า "นิพพาน"
นิพฺพายนฺติ สพฺเพ วฏฺฏทุกฺขสนฺตาปา เอตสฺมินฺติ นิพฺพานํ (เป็นที่ดับความเร้าร้อนคือวัฏฏทุกข์)
นิพฺพายนฺติ อริยชนา เอตสฺมินฺติ นิพฺพานํ (เป็นเหตุดับสูญสิ้นของอริยชน)
-------------
อีกประการหนึ่ง
คำว่า "นิพพาน" มีรูปวิเคราะห์ ๓ ประการ คือ
๑. อธิกรณสาธนะ = นิพฺพาติ วฏฺฏทุกฺขํ เอตฺถาติ นิพฺพานํ. (ลง ยุ ปัจจัยในอธิกรณสาธนะ)
๒. กรณสาธนะ = นิพฺพาติ วฏฺฏทุกฺขํ เอตสฺมึ อธิคเตติ นิพฺพานํ (ลง ยุ ปัจจัยในกรณสาธนะ)
๓. ภาวสาธนะ = นิพฺพายเต นิพฺพานํ. (ลง ยุ ปัจจัยในภาวสาธนะ)
คำว่า นิพพาน ที่เป็นอธิกรณสาธนะ มีความหมายตามศัพท์ว่า "ที่ดับไปของทุกข์" ส่วนที่เป็นกรณสาธนะมีความหมายว่า "เหตุดับทุกข์"
ความจริงนิพพานเป็นเพียงสภาวธรรม ไม่อาจจะเป็นสถานที่ดับทุกข์ หรือเป็นเครื่องมือในการดับทุกข์ได้ ความหมายที่เป็นอธิกรณสาธนะและกรณสาธนะจึงเป็นคำกล่าวโดยปริยาย ตามหลักภาษาเรียกว่า อเภทูปจาระ คือ สำนวนที่กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ต่างกันให้ต่างกัน กล่าวคือ นิพพาน เป็นสถานที่ดับทุกข์และเป็นเครื่องมือในการดับทุกข์ของผู้ได้บรรลุ
การใช้สำนวนในลักษณะนี้มีจุดมุ่งหมายให้ทราบว่า อัตตา ชีวะ สัตว์ หรือบุคคล ที่เดียรถีย์นอกศาสนาพุทธดำริขึ้น ไม่มีจริงโดยสภาวะ
(บางส่วน จากหนังสือ นิพพานกถา)
----------
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า นิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูปที่เหลือจากกิเลสทั้งหลาย ได้แก่ นิพพานของพระอหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังแสดงวจนัตถะว่า
(๑) กมฺมกิเลเสหิ อุปาทียตีติ = อุปาทิ (วา) อารมฺมณกรณวเสน ตณฺหาทิฏฐีหิ อุปาทียตีติ = อุปาทิ
กรรมและกิเลสเหล่านี้ ย่อมยึดถือเอาขันธ์ ๕ คือ วิบาก และ กัมมชรูป ว่าเป็นของเรา ฉะนั้น ขันธ์ ๕ คือ วิบาก และ กัมมชรูปนี้ ชื่อว่า "อุปาทิ"
หรืออีกนัยหนึ่ง ตัณหาและทิฏฐิเหล่านี้ ย่อมยึดถือเอาขันธ์ ๕ คือ วิบาก และกัมมชรูป โดยการกระทำให้เป็นอารมณ์ของเรา ฉะนั้น ขันธ์ ๕ คือ วิบาก และกัมมชรูปนี้ชื่อว่า "อุปาทิ"
(๒) สิสฺสติ อวสิสฺสตีติ = เสโส, อุปาทิ จ เสโส จาติ = อุปาทิเสโส
ขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูป ชื่อว่า เสสะ เพราะยังเหลืออยู่จากกิเลส, ขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูปเหล่านี้ชื่อว่า อุปาทิ ด้วย ชื่อว่า เสสะ ด้วย เพราะถูกกรรมและกิเลสยึดถือเอาว่าเป็นของเรา หรือถูกตัณหาและทิฏฐิยึดถือเอา โดยการกระทำ
ให้เป็นอารมณ์ และเป็นธรรมที่ยังเหลืออยู่จากกิเลส ฉะนั้น ขันธ์ ๕ คือวิบาก และกัมมชรูปเหล่านี้ ชื่อว่า "อุปาทิเสส"
หมายความว่า วิบากและกัมมชรูปที่วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารเหล่านี้ ย่อมเกิดเกี่ยวเนื่องกันกับกิเลสอยู่เสมอ ครั้นเมื่ออรหัตตมรรคประหาณกิเลสทั้งหลายหมดสิ้นไปโดยไม่มีเหลือแล้ว แต่วิบากและกัมมชรูป ซึ่งเป็นผลของกิเลสเหล่านั้นยังเหลืออยู่ ฉะนั้น วิบาก
และกัมมชรูปนี้แหละ จึงได้ชื่อว่า อุปาทิเสส เมื่อว่าโดยปุคคลาธิษฐานแล้ว ก็ได้แก่ร่างกายของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเอง
(๓) สห อุปาทิเสเสน ยา วตฺตตีติ = สอุปาทิเสสา
นิพพานใด ย่อมเกิดพร้อมด้วยวิบากและกัมมชรูปที่เหลือจากกิเลสทั้งหลาย ฉะนั้น นิพพานนั้น ชื่อว่า "สอุปาทิเสส" ได้แก่ นิพพานที่พระอรหันต์ทั้งหลายเข้าไปรู้แจ้ง
ในข้อที่ว่า นิพพานที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยวิบากและกัมมชรูปนั้น ไม่เหมือนกับจิตที่เกิดพร้อมด้วยเจตสิก มุ่งหมายเอาว่าวิบากและกัมมชรูปที่ยังเหลืออยู่นั้นเป็นเหตุให้รู้ถึงพระนิพพาน
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า นิพพานที่ไม่มีขันธ์ ๕ คือ วิบาก และกัมมชรูปเหลืออยู่ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้ว ดังแสดงวจนัตถะว่า
นตฺถิ อุปาทิเสโส ยสฺสาติ = อนุปาทิเสโส
ขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูปที่เหลือไม่มีแก่นิพพานใด ฉะนั้น นิพพานนั้นชื่อว่า อนุปาทิเสส
ในการที่ท่านกล่าวว่า "เมื่อว่าโดยปริยายแห่งเหตุแล้ว นิพพานมี ๒ อย่างนั้น" หมายความว่า "วิบาก กับกัมมชรูปยังคงเหลืออยู่ และไม่มีเหลืออยู่ ทั้ง ๒ นี้ เป็นเหตุให้รู้ถึงสภาวะของพระนิพพาน" ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงแสดงว่าพระนิพพานมี ๒ ตามเหตุดังกล่าวนั้น แต่ก็เป็นการแสดงโดยปริยายไม่ใช่โดยตรงทีเดียว
อนึ่ง สอุปาทิเสสนิพพานนั้น จะเรียกว่า ทิฏฐธัมมนิพพาน ก็ได้ เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายผู้ซึ่งเข้าไปรู้แจ้งพระนิพพานนั้น ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ได้ปรินิพพาน
อนุปาทิเสสนิพพาน จะเรียกว่า สัมปรายิกนิพพาน ก็ได้ เพราะ พระรหันต์ทั้งหลายเมื่อปรินิพพานแล้ว จึงเข้าถึงพระนิพพานนั้น
การแสดงพระนิพพานทั้ง ๒ ที่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน และ อนุปาทิเสสนิพพาน นี้ เป็นการแสดงโดยอภิธรรมนัย
(นิพพานปรมัตถ์ ปริจเฉทที่ ๖ หลักสูตรอภิธัมมิกโชติกวิทยาลัย (อชว.))
-------///------
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ