วิธีรักษาพระศาสนา (๑๙)

.........................................................

คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน 

แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา

.........................................................

เรามักจะบอกกันว่า ธุดงค์ไม่ใช่ข้อบังคับ ใครจะปฏิบัติธุดงค์หรือไม่ปฏิบัติ ควรเป็นไปตามอัธยาศัย

ถ้าอ้างอย่างนี้ เอานิสัยสี่ตั้งเป็นหลัก ก็เท่ากับบอกว่า ใครจะปฏิบัตินิสัยสี่ (ออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร) หรือไม่ปฏิบัติ ควรเป็นไปตามอัธยาศัย

ซึ่งก็จะเท่ากับบอกว่า ออกบวชในพระพุทธศาสนา ใครจะขัดเกลาตนเองหรือไม่ขัดเกลา ควรเป็นไปตามอัธยาศัย

ชักจะไม่ดีแล้ว

เหตุผลที่ออกบวชก็บอกไว้ชัดๆ ว่า-“จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์เหมือนสังข์ที่ขัดแล้ว”

และอย่างไรคือประพฤติเหมือนสังข์ที่ขัดแล้ว ก็บอกแล้วว่า-คือ ออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร อันเป็นมาตรฐานที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้

แล้วอยู่ๆ ก็มาบอกว่า ออกบวชในพระพุทธศาสนา ใครจะออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร หรือไม่ปฏิบัติตามนี้ ควรเป็นไปตามอัธยาศัย

ดังนั้น พระที่ไม่ออกบิณฑบาต ไม่ใช้ผ้าบังสุกุล ไม่อยู่โคนไม้ ไม่ฉันยาดองน้ำมูตร ก็เท่ากับบอกว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ขัดเกลาตนเอง” นั่นเอง ใช่หรือไม่?

หรือจะแก้ตัวอย่างไร?

ก็คงต้องมีความเห็นออกมาแย้งว่า การขัดเกลาตนเองไม่ใช่ว่าต้องทำด้วยการออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร แบบนี้เท่านั้น การขัดเกลาตนเองทำได้อีกตั้งหลายวิธี

ถ้าแย้งอย่างนี้ ก็มีทางแย้งกลับได้ว่า จะมีหลายวิธีหรือมีอีกกี่วิธีก็ตามทีเถิด แต่วิธีออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร เป็นวิธีที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้เป็นมาตรฐานกลาง ผู้ปฏิบัติตามวิธีนี้ได้ก็มีอยู่ เห็นกันอยู่ชัดๆ คือธุดงค์ ๑๓ ข้อ 

แล้วก็ไม่ใช่ว่า-นิสัยสี่ของพระพุทธองค์นั้นเทวดาเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติได้ มนุษย์ธรรมดาปฏิบัติไม่ได้ - มิใช่เช่นนี้เลย 

เป็นข้อปฏิบัติสำหรับมนุษย์ธรรมดาโดยเฉพาะเลย มนุษย์ธรรมดาปฏิบัติได้อย่างยิ่ง 

แล้วทำไมจึงไม่ปฏิบัติ?

...................................................

ผมกำลังชวนคิดนะครับ ไม่ได้มีเจตนาชวนทะเลาะ

ท่านไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนผม

แต่ขอร้องให้คิดตามผมไปก่อน

ตามไปให้สุดทาง ต่อจากนั้นท่านมีสิทธิ์คิดต่างได้เต็มที่

...................................................

ความคิดที่ว่า - ออกบวชในพระพุทธศาสนา ใครจะขัดเกลาตนเองหรือไม่ขัดเกลา ควรเป็นไปตามอัธยาศัย - ทำให้ผมนึกถึงความคิดที่ว่า เรียนบาลีจบแล้ว ใครจะศึกษาต่อไปถึงพระไตรปิฎกหรือไม่ศึกษา ควรเป็นไปตามอัธยาศัย

ใช้โครงสร้างประโยคแบบเดียวกัน

ต้นเดิมจริงๆ นั้น เหตุผลของการเรียนบาลีก็คือ-เพื่อเอาความรู้ไปศึกษาพระไตรปิฎก พิสูจน์ได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า แหล่งที่ใช้ภาษาบาลีในโลกนี้มีแห่งเดียวคือพระไตรปิฎก (หมายรวมถึงคัมภีร์ทั้งปวงที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลี) คือเพื่อศึกษาให้ถึงต้นฉบับเดิมแท้ของคำสอนในพระพุทธศาสนา

ถ้าไม่ต้องการศึกษาให้ถึงต้นฉบับเดิมแท้ของคำสอนในพระพุทธศาสนา-คือศึกษาพระไตรปิฎก จะเรียนบาลีเอาไปทำอะไร?

ศักดิ์และสิทธ์ทั้งปวงที่เกิดจากการเรียนบาลีตามที่มี ที่เป็น ที่เห็น ที่ได้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งที่เกิดภายหลังทั้งสิ้น

เกิดภายหลังอย่างไร ลองตรึกตรองดู --

คนเรียนบาลีเอาความรู้ไปศึกษาพระไตรปิฎก

รู้หลักคำสอนที่ถูกต้องตามที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก

แล้วเอาหลักคำสอนที่ถูกต้องมาปฏิบัติขัดเกลาตนเอง

ผลจากการปฏิบัติขัดเกลาตนเองคือเป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ

ผู้ที่ได้เห็นการประพฤติดีปฏิบัติชอบก็ชื่นชมยกย่อง ขอให้มาช่วยทำหน้าที่อบรมสั่งสอนผู้คนในบังคับบัญชาของตน ด้วยการมอบตำแหน่งหน้าที่บ้าง ให้ประโยชน์ตอบแทนบ้าง

เกิดเป็นศักดิ์และสิทธิ์ที่ได้จากการเรียนบาลีขึ้นมา

คนทั้งหลายภายหลังมองเฉพาะศักดิ์และสิทธิ์ แล้วสรุปว่าศักดิ์และสิทธิ์นั้นเกิดการเรียนบาลี ก็ชวนกันเรียนบาลีบ้าง

มิใช่เพื่อจะเอาความรู้ไปศึกษาพระไตรปิฎก-เหมือนเจตนาดั้งเดิม

แต่เพื่อจะให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์เช่นนั้นบ้าง คือเพื่อให้มีโอกาสได้ตำแหน่งและผลประโยชน์ตอบแทน-เกิดเป็นเป้าหมายใหม่ขึ้นมา แต่เป็นเป้าหมายที่เบี่ยงเบนไปจากเดิม

เป้าหมายเดิม-เรียนบาลีเพื่อเรียนพระไตรปิฎก (ศักดิ์สิทธิ์เกิดจากการเรียนพระไตรปิฎก)

เป้าหมายใหม่-เรียนบาลีเพื่อให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์ (ศักดิ์สิทธิ์เกิดจากการสอบได้)

แล้วเราก็บอกกันว่า-เรียนบาลีจบแล้ว (ได้ศักดิ์และสิทธิ์แล้ว) ใครจะเรียนต่อไปถึงพระไตรปิฎกหรือไม่เรียน ควรเป็นไปตามอัธยาศัย

เหมือนอะไร?

เหมือนออกบวชในพระพุทธศาสนา 

เป้าหมายเดิม-เพื่อขัดเกลาตนเอง รูปแบบการครองชีพเพื่อการขัดเกลาก็กำหนดไว้ชัดเจน คือออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร

เป้าหมายใหม่-เพื่อประโยชน์อื่นๆ ส่วนการขัดเกลาตนเองนั้นควรเป็นไปตามอัธยาศัย ( = การออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร ควรเป็นไปตามอัธยาศัย)

.........................

ทบทวนหน่อยนะครับ 

ออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร ต้นฉบับมาจากคำ “บอกอนุศาสน์” ซึ่งพระทุกรูปจะต้องผ่านขั้นตอนนี้มาแล้ว

คำบอกอนุศาสน์ยกมาจากพระไตรปิฎก

.........................................................

ที่มา: คัมภีร์มหาขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑

พระไตรปิฎกเล่ม ๔ ข้อ ๘๗, ๑๔๓

.........................................................

https://84000.org/tipitaka/pali/?4/87

.........................................................

https://84000.org/tipitaka/pali/?4/143

.........................................................

ในคำบอกอนุศาสน์นั้นมีจุดเล็กๆ อยู่ในภาษาบาลีประโยคหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าทั้งพระอุปัชฌาย์ผู้มีหน้าที่บอกอนุศาสน์ ทั้งพระใหม่ผู้รับฟังคำบอกอนุศาสน์ และแม้กระทั่งนักเรียนบาลีทั้งหลาย ไม่เคยสนใจที่จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณา 

.........................................................

พระอุปัชฌาย์: พูด สวด บอกไปตามหน้าที่ตามพิธีการ

พระใหม่: ฟังไปตามหน้าที่ตามพิธีการ

นักเรียนบาลี: ไม่เคยเห็นเพราะไม่ได้อยู่ในแบบเรียน (มีซุกๆ สั้นๆ อยู่แห่งเดียว)

.........................................................

ภาษาบาลีประโยคที่ว่านี้ก็คือ -

“ตตฺถ  เต  ยาวชีวํ  อุสฺสาโห  กรณีโย” 

(ตัตถะ  เต  ยาวะชีวัง  อุสสาโห  กะระณีโย)

ท่านแปลไว้ว่า “เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต”

คำว่า “พึงทำอุตสาหะ” แปลจากคำว่า “อุสฺสาโห  กรณีโย”

คำนี้แปลถอดความชัดๆ ว่า “พึงตั้งใจทำ”

ภาษาบาลีประโยคนี้มีกำกับอยู่ทุกท่อนของนิสัยสี่ เพราะฉะนั้น คำสอนเรื่องนิสัยสี่จึงมีความหมายชัดๆ ว่า -

ตั้งใจออกบิณฑบาตตลอดชีวิต

ตั้งใจใช้ผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต

ตั้งใจพำนักที่โคนไม้ตลอดชีวิต

ตั้งใจฉันยาดองน้ำมูตรตลอดชีวิต

ทำไมต้องย้ำทุกท่อน?

ก็เพราะต้องการให้ผู้ออกบวชในพระพุทธศาสนาปฏิบัติจริงๆ ทำให้ได้จริงๆ และไม่ใช่ปฏิบัติชั่วครั้งชั่วคราว แต่ให้ปฏิบัติตลอดชีวิต (ยาวชีวํ)

น่าเสียดายที่การบอกอนุศาสน์นั้น อุตส่าห์บอก อุตส่าห์สวด อุตส่าห์ย้ำกันเสียดิบดี แต่มีค่าเพียงแค่-ทำกันพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่มีการเน้นย้ำให้ตั้งใจปฏิบัติ บอกแล้วบอกเลย

แล้วในที่สุดเราก็มาบอกกันว่า-ใครจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติควรเป็นไปตามอัธยาศัย!! 

.........................

อีกจุดหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือ พอจบคำว่า “ตตฺถ  เต  ยาวชีวํ  อุสฺสาโห  กรณีโย” ท่านก็พูดถึง “อติเรกลาโภ” (เครื่องบริโภคใช้สอยพิเศษ) ต่อไปทันที 

ถอดความชัดๆ ว่า -

“ให้ตั้งใจทำอย่างนั้นๆ ตลอดชีวิตนะ 

แต่ถ้ามีเครื่องบริโภคใช้สอยพิเศษเหล่านี้เกิดขึ้น 

จะไม่ออกบิณฑบาตก็ได้นะ

จะไม่ใช้ผ้าบังสุกุลก็ได้นะ

จะไม่อยู่โคนไม้ก็ได้นะ

จะไม่ฉันยาดองน้ำมูตรก็ได้นะ”

ทุกวันนี้ พระก็เลยใช้สิทธิ์ตามพุทธานุญาตนี้กันโดยทั่วหน้า

.........................

ผมนึกถึงเรื่องขุททานุขุททกสิกขาบท (สิกขาบทเล็กน้อย) ที่พญามิลินท์ยกขึ้นถามพระนาคเสนเป็น “อุภโตโกฏิ” ปัญหาสองเงื่อน (dilemma) ในคัมภีร์มิลินทปัญหา

ท่านผู้ใดพอจะนึกออกบ้างครับ

ขอแรงช่วยกันนึกไปพลางๆ

ตอนหน้าเราจะคุยเรื่องนี้กัน

-------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖

๑๖:๕๒ 

[full-post]

วิธีรักษาพระศาสนา (๑๙)

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.