วิธีรักษาพระศาสนา (๒๑)-จบ
-------------------------------
บทความเรื่อง “วิธีรักษาพระศาสนา” มีมูลเหตุมาจากรายการ “ราชบุรีนาวีสัมพันธ์” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงประเทศไทยจังหวัดราชบุรีทุกวันเสาร์เวลา ๑๔๐๐ รายการนี้เดิมสมาชิกชมรมทหารเรือราชบุรีท่านหนึ่งเป็นผู้จัด ต่อมาขอให้ผมไปจัดแทน ผมพอมีเวลาก็รับไปจัดให้
ผมจะทักผู้ฟังรายการนี้ด้วยข้อความว่า --
“เมื่อเช้านี้ท่านใส่บาตรหรือเปล่าครับ ถ้าใส่ ผมขออนุโมทนา แต่ถ้าท่านเอาสตางค์ใส่บาตร ผมขออนุญาตไม่อนุโมทนานะครับ เพราะการเอาสตางค์ใส่บาตรทำให้พระผิดวินัย ท่านผู้ใส่ได้บุญก็จริง แต่มีบาปติดปลายนวมมาด้วย”
ต่อจากนั้นผมก็อธิบายวิธีถวายเงินโดยไม่ทำให้พระผิดวินัย และสามารถถวายได้ทุกวันเหมือนใส่บาตร
ผมบอกท่านผู้ฟังว่า เช้าๆ เห็นใครใส่บาตร รู้จักหรือไม่รู้จักก็ขอให้น้อมจิตอนุโมทนา ใครสะดวกขอให้ใส่บาตรทุกวัน เพราะการใส่บาตรเป็นการรักษาพระศาสนาวิธีหนึ่ง บรรพบุรุษของเราท่านทำสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณนานไกล
แม้พระราชกิจรายวันของพระมหากษัตริย์ก็กำหนดไว้ว่า -
“เช้าทรงบาตร ค่ำทรงธรรม”
คือใส่บาตรทุกเช้า ฟังเทศน์ทุกค่ำ
สำหรับชาววัดก็ขอกราบอาราธนาให้พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตกันทุกวันเป็นกิจวัตร อย่าได้ขาด การออกบิณฑบาตเป็นการประกาศพระศาสนาที่วิเศษที่สุด
พูดธรรมะไม่เก่ง เทศน์ไม่เป็น ไม่ได้เป็นมหา ไม่มีคำว่า ดร. ต่อท้ายหรือนำหน้าชื่อก็ไม่เป็นไร ขอให้ออกบิณฑบาตทุกวันเถิด ประเสริฐแล้ว
ถ้ายังมีพระออกบิณฑบาตทุกวัน
ถ้ายังมีชาวบ้านใส่บาตรทุกวัน
ก็เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า --
แผ่นดินไทยตรงนี้เป็นแผ่นดินพระพุทธศาสนา
อยู่มาวันหนึ่ง พอพูดอย่างนี้เสร็จ ก็เกิด “วาบความคิด” ขึ้นมาว่า ทุกวันนี้มีพระที่ไม่ออกบิณฑบาตมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลที่ไม่ออกบิณฑบาตมีสารพัด สรุปว่าไม่ออกบิณฑบาตก็ไม่ผิดวินัย ไม่ออกบิณฑบาตก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
ญาติโยมอุตส่าห์ใส่บาตรกันทุกเช้า
แต่พระเณรของเรากลับไม่ออกบิณฑบาต
พอคิดอย่างนี้ ก็คิดยาวต่อไปอีกว่า ต่อไปถ้าไม่มีพระออกบิณฑบาต แผ่นดินไทยจะเป็นอย่างไร
“จะเป็นอย่างไร”-นั้น มันคงไม่เป็นวันนี้พรุ่งนี้หรอก เราท่านที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้ก็อยู่ไม่ทันได้เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันหน้านั่นหรอก แต่อะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นวันหน้า มันมีรากเหง้ามาจากสิ่งที่เราทำกันอยู่ในวันนี้นี่แหละ
......................
ถ้าผมเป็นฝ่ายศาสนาอื่นที่ต้องการมีอำนาจเหนือแผ่นดินไทย และสมมุติว่าวันหนึ่งผมมีอำนาจ สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คือ ออกกฎหมายห้ามพระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต
ฉบับแรกๆ จำกัดเฉพาะพื้นที่บางแห่ง เช่น ห้ามออกบิณฑบาตในกรุงเทพฯ และในตัวเมืองใหญ่ๆ
และอาจจำกัดอายุพระ เช่นพระที่มีอายุตั้งแต่ ๗๐ ปีขึ้นไปห้ามออกบิณฑบาต
เหตุผลมีเยอะแยะ-ที่ประชาชนจะต้องเห็นด้วย เช่นความปลอดภัย เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เหลือกินแล้ว
ฉบับต่อๆ ไป ก็ค่อยๆ จำกัดพื้นที่ไปเรื่อยๆ จนในที่สุด-ห้ามออกบิณฑบาตทั่วประเทศ
แน่นอน จะไม่มีพระภิกษุสามเณรที่ไหนเดือดร้อนเลย เพราะวันนี้พระภิกษุสามเณรส่วนหนึ่ง-และนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ-ก็ไม่ได้ออกบิณฑบาตอยู่แล้ว
การไม่มีพระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตนั่นเองคือการจำกัดเขตของพระพุทธศาสนาที่แนบเนียนที่สุด
เริ่มด้วยการ “จำกัดเขต” (จำกัด) การออกบิณฑบาตของพระภิกษุสามเณร
ต่อไปก็จะนำไปสู่การ “กำจัดเขต” (กำจัด) ของพระพุทธศาสนาในเรื่องอื่นๆ และค่อยๆ ขยายออกไปในทุกเรื่อง จนพระพุทธศาสนาไม่มีพื้นที่ให้แสดงตัว และหมดไปจากแผ่นดินไทยในที่สุด
......................
มองอย่างไรจึงเห็นว่าการออกบิณฑบาตของพระภิกษุสามเณรเป็นวิธีรักษาพระพุทธศาสนา?
ก็มองจากนิสัยสี่ที่พระอุปัชฌาย์บอกพระใหม่ทันทีที่บวชเสร็จนั่นเอง
.........................................................
๑ อาหาร: ได้จากการออกบิณฑบาต
๒ เครื่องนุ่งห่ม: ใช้ผ้าที่เขาทิ้งแล้วนำมาซักเย็บย้อมพอให้นุ่งห่มได้
๓ ที่อยู่อาศัย: ใช้โคนไม้เป็นที่พำนัก
๔ ยารักษาโรค: ใช้น้ำมูตรดอง
.........................................................
นิสัยสี่เป็นรูปแบบการครองชีพเพื่อการขัดเกลาของบรรพชิตในพระพุทธศาสนา เป็นรูปแบบที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดวางไว้เอง ไม่ใช่เกจิอาจารย์ที่ไหนคิดขึ้นในภายหลัง
.........................................................
ถ้าการครองชีพแบบนี้ยังมีอยู่
พระพุทธศาสนาก็ยังอยู่
ถ้ารักษารูปแบบการครองชีพแบบนี้ไว้ได้
ก็รักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้
.........................................................
แต่เพราะการบวชทุกวันนี้หนักไปในทาง “ทำกันพอเป็นพิธี” มากขึ้นเรื่อยๆ นิสัยสี่จึงถูกมองข้าม บอกเสร็จแล้วก็ลืมกันไปเลย พระใหม่ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะประพฤติตาม พระอุปัชฌาย์ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะกำกับดูแลให้พระใหม่ประพฤติ เรื่องที่มีความสำคัญที่สุดในการรักษาพระศาสนาจึงถูกปล่อยทิ้งตั้งแต่วันแรกที่บวช
เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค - ๓ เรื่องนี้ สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้การประพฤติปฏิบัติตามทำได้ยากขึ้น
อันที่จริงต้องพูดว่า สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้ความอุตสาหะที่จะประพฤติปฏิบัติตามลดน้อยถอยลง
ถ้าจะทำก็ยังคงทำได้
แต่พอคิดจะทำก็ท้อแล้ว
.........................................................
แต่อาหาร-ได้จากการออกบิณฑบาต เฉพาะข้อนี้แม้สภาพสังคมจะเปลี่ยนไป ก็ยังสามารถปฏิบัติตามได้โดยสะดวกพอสมควร
พระภิกษุสามเณรที่ปฏิบัติตามได้ก็ยังมีอยู่ทั่วไป
นั่นแปลว่า โอกาสที่จะช่วยกันรักษาพระศาสนายังมีอยู่
.........................................................
สิ่งที่ต้องการก็คือ การบริหารจัดการและการกำกับดูแลให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย
การยืนบิณฑบาต จนเวลานี้นั่งบิณฑบาต
การบิณฑบาตสตางค์-การเอาสตางค์ใส่บาตร
การสมรู้ร่วมคิดกับคนขายของใส่บาตร
การเอาอาหารบิณฑบาตไปขายต่อ
การเอาอาหารบิณฑบาตเข้าบ้านแทนที่จะเข้าวัด
การแต่งตัวเป็นพระออกบิณฑบาต
ฯลฯ
พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะขาดการกำกับดูแลหรือเพราะการกำกับดูแลย่อหย่อนอ่อนแอ
แต่รากเหง้าของปัญหาเกิดจาก (๑) การไม่ศึกษาเรียนรู้หลักพระธรรมวินัยให้เข้าใจถูกต้องถ่องแท้ (๒) แล้วอบรมสั่งสอนให้ประพฤติปฏิบัติตาม และ (๓) บอกกล่าวถ่ายทอดสืบต่อให้รู้เข้าใจถูกต้องและปฏิบัติให้แพร่หลายออกไป
ชาววัดก็ไม่เรียน
ชาวบ้านก็ไม่รู้
สิ่งที่ไม่ควรทำ ก็ทำกันอยู่ทุกวัน
สิ่งที่ควรทำ ก็ปล่อยปละละเลยกันไปทุกวัน
ผู้มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบก็นิ่งเฉย
ไม่ตระหนกและไม่ตระหนักถึงมหาภัยที่จะเกิดแก่พระศาสนา
วันนี้เรากำลังอยู่กันในสภาพอย่างนี้
ในท่ามกลางแห่งความเป็นไปเช่นนี้ สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ทันทีและทำได้เรื่อยไปก็คือ (๑) การ “หา” ความรู้ (๒) เอาความรู้ที่ถูกต้องมาปฏิบัติขัดเกลาตนเอง (๓) แล้ว “ให้” ความรู้แก่คนอื่นๆ ต่อไป
วิธีเช่นนี้เท่านั้นที่จะช่วยรักษาพระศาสนาไว้ได้
ใครเห็นว่ายังมีวิธีอื่นอีก-เช่นการใช้อำนาจทางการเมืองเป็นต้น-ก็หาทางหาวิธีทำกันเข้าเถิด
แต่วิธีที่ผมแสดงมานี้ไม่ต้องรออำนาจใดๆ ทุกคนทำได้ทันที วันนี้และเดี๋ยวนี้
......................
อันที่จริงยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เป็นอุปการะในการรักษาพระศาสนาอย่างยิ่ง นั่นคือ เมื่อรู้เห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะไม่ถูกต้องในแง่ใดๆ-โดยเฉพาะก็คือไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย-ไม่ว่าใครจะเป็นผู้กระทำ ก็ช่วยกันทักท้วงเตือนติงด้วยน้ำใจไม่ตรีหวังดีหวังเจริญต่อกัน
แต่น่าเสียดายและน่าเสียใจที่วิธีเช่นนี้ถูกมองในแง่ลบหมดสิ้น
ใครทักท้วงเตือนติงเรื่องอะไร จะถูกรุมประณามทันทีว่าเป็นพวก “จับผิด”
พอโดนคำว่าพวกชอบจับผิด ทุกคนก็ถอย ไม่อยากถูกเรียกด้วยคำนี้
การกระทำผิด-ผู้กระทำผิดก็ลอยตัว ทำต่อไปได้ อยู่ต่อไปไป โดยไม่มีใครกล้าแตะต้อง
ค่านิยมที่สังคมกำลังช่วยกันสร้างขึ้นมาในเวลานี้ก็คือ เห็นอะไรผิด เห็นใครทำผิด ต้องเฉย ต้องนิ่ง ห้ามหยิบยกขึ้นมาทักท้วงเตือนติงเป็นอันขาด-ไม่ว่าจะเรื่องอะไรทั้งสิ้น การหยิบยกเรื่องที่ทำผิดขึ้นมาทักท้วงถือว่าเป็นการเสียมารยาทหรือเป็นมารยาทที่เลวทราม
.........................................................
ตัวอย่างที่เห็นตำตาอยู่ทุกวันนี้ก็คือภาษาที่ใช้ในเฟซบุ๊กนี่เอง พูดผิด เขียนผิด สะกดผิด ใช้คำผิด เปรอะไปหมด ก็ไม่มีใครทักท้วงใคร การพูดผิด เขียนผิด สะกดผิด ใช้คำผิด กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ทำกันทั่วไป ไม่มีใครเห็นว่าเป็นเรื่องเสียหายอันใด
.........................................................
กล่าวเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการกระทำของพระภิกษุสามเณร ใครยกขึ้นมาทักท้วงเตือนติงจะถูกประณามทันที
การกระทำของพระภิกษุสามเณร
ต้องพูดในทางชื่นชมอย่างเดียว
ห้ามตำหนิ
ใครตำหนิจะถูกประทับตราทันทีว่า เป็นพวก “พุทธกระแสรอง” หรือ “พุทธกระแสนอก” ซึ่งเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนา
การทักท้วงเตือนติงการกระทำที่ไม่ถูกต้องเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อุปมาเหมือนพบเหตุฉุกเฉิน-เช่นไฟไหม้-ต้องช่วยกันระงับดับเหตุกันไปก่อน และคิดหาทางป้องกันต่อไป
แต่กลับถูกมองว่าเป็นการจับผิด
ถ้ายังมองกันอย่างนี้ ก็เท่ากับปิดทางที่จะช่วยกันรักษาพระศาสนา ในทางตรงข้ามก็เท่ากับเปิดทางให้ภัยเกิดแก่พระศาสนาได้ง่ายขึ้น
ข้อคิดปิดท้ายของบทความเรื่องนี้ก็คือ ขอความกรุณาให้ศึกษาความแตกต่างระหว่าง “การจับผิด” กับ “การชี้โทษ” ให้เข้าใจ
เมื่อใดแยกความแตกต่างได้ถูกต้อง
เมื่อนั้นเราจะมีท่าทีที่ถูกต้องในการช่วยกันรักษาพระศาสนา
------------------
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖
๑๔:๔๗
วิธีรักษาพระศาสนา (๒๑)-จบ
[full-post]
วิธีรักษาพระศาสนา
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ