วิธีรักษาพระศาสนา (๒๐)

.........................................................

คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน 

แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา

.........................................................

เรื่องนิสัยสี่กับอติเรกลาภ ดูเผินๆ เหมือนจะขัดแย้งกัน 

ตอนบอกถึงปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต (ออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร) ท่านย้ำว่าให้ตั้งใจปฏิบัติตามนี้ตลอดชีวิต 

แต่แล้วก็บอกว่า ถ้ามีเครื่องบริโภคใช้สอยพิเศษเกิดขึ้น จะไม่ปฏิบัติตามนั้นก็ได้

จะให้ทำอย่างไรกันแน่ 

จะให้ตั้งใจปฏิบัติตามนิสัยสี่อย่างเคร่งครัด 

หรือจะให้บริโภคใช้สอยปัจจัยพิเศษ

ถ้าจะให้ปฏิบัติตามนิสัยสี่ ก็ต้องไม่บริโภคใช้สอยปัจจัยพิเศษ

ถ้าจะให้บริโภคใช้สอยปัจจัยพิเศษ ก็ไม่ต้องปฏิบัติตามนิสัยสี่

ปัญหานี้ก็ทำนองเดียวกับเรื่องขุททานุขุททกสิกขาบท 

กล่าวคือ ในมหาปรินิพพานสูตรตอนต้น (ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๗๐) พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าภิกษุไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธองค์มิได้ทรงบัญญัติ ไม่ถอนสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว ตั้งใจปฏิบัติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ก็จะมีแต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อม 

แต่ในมหาปรินิพพานสูตรตอนปลาย (ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๑๔๑) ตรัสว่า สงฆ์จะถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้

ที่หนึ่ง ให้ปฏิบัติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้

อีกที่หนึ่ง ให้ถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้บ้างก็ได้

ถ้าจะปฏิบัติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ ก็ต้องไม่ถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้

ถ้าให้ถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ ก็ไม่ต้องปฏิบัติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้

พระพุทธดำรัสเหมือนจะขัดแย้งกัน

ความในขุททานุขุททกปัญหา ท่านยกกรณีมีพุทธานุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อย (ขุททานุขุททกสิกขาบท) ขึ้นเทียบกับพระพุทธดำรัสที่ตรัสว่าทรงแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง ไม่ใช่แสดงธรรมอันไม่ควรรู้ยิ่ง ข้อขัดแย้งคือ ถ้าทรงแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง สิกขาบทเล็กน้อยก็เป็นธรรมอันควรรู้ยิ่ง จะให้ถอนเสียทำไมเล่า และถ้าให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ ก็แปลว่าธรรมที่ทรงแสดงหาใช่ธรรมอันควรรู้ยิ่งไปเสียทั้งหมดไม่เพราะสามารถยกเลิกเพิกถอนเสียก็ได้

เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษาดูว่า คนแต่ก่อนท่านคิดอย่างไรกับปัญหานี้ จะขอนำเรื่อง ขุททานุขุททกปัญหา ในคัมภีร์มิลินทปัญหา มาเสนอไว้ในที่นี้ 

ขุททานุขุททกปัญหาอยู่ในคัมภีร์ มิลินฺทปญฺหา หน้า ๑๙๗-๑๙๙ (พระไตรปิฎกฉบับ BUDSIR 7 for Windows) (พระไตรปิฎกฉบับแบบเรียนพระไตรปิฎก หน้า ๑๒๔-๑๒๕)

ความในภาษาไทยนำมาจากหนังสือมิลินทปัญหา ฉบับของสำนักงานลูก ส.ธรรมภักดี สำนวนของอาจารย์ปุ้ย แสงฉาย พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐ หน้า ๒๐๔-๒๐๗

.........................................................

         ขุททานุขุททกปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องสิกขาบทเล็กน้อย

ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง ไม่ใช่แสดงธรรมอันไม่ควรรู้ยิ่ง ดังนี้ แต่ต่อมาได้ตรัสไว้ในพระวินัยบัญญัติว่า ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จำนงถอนขุททานุขุททกสิกขาบท ก็จงถอนเถิด ดังนี้ จึงขอถามว่า พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขุททานุขุททกสิกขาบทนั้น ทรงบัญญัติไว้ไม่ดีหรือ หรือว่าทรงบัญญัติไว้ในเวลายังไม่มีเรื่องเกิดขึ้น จึงทรงอนุญาตให้ถอนขุททานุขุททกสิกขาบทในเมื่อพระองค์ล่วงลับไปแล้ว

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระตถาคตเจ้าทรงแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง การโปรดให้ถอนสิกขาบทก็ผิดไป ถ้าการโปรดให้ถอนสิกขาบทนี้เป็นการถูก การที่ว่าแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่งก็ผิดไป ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ เป็นปัญหาสุขุมละเอียด ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงความกว้างขวางแห่งกำลังญาณ เหมือนกับมังกรที่อยู่ในท้องสาครฉะนั้นเถิด

มหาราช สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เราแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง ไม่ใช่แสดงธรรมอันไม่ควรรู้ยิ่ง ดังนี้ก็จริง และตรัสไว้อีกในพระวินัยบัญญัติว่า เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จำนงจะถอนขุททานุขุททกสิกขาบทก็จงถอนเถิด ดังนี้ก็จริง เป็นอันจริงทั้ง ๒ คำ

มหาราช เมื่อพระตถาคตเจ้าจะทรงทดลองภิกษุทั้งหลายว่า สาวกของเราจะเลิกถอนขุททานุขุททกสิกขาบทที่เราอนุญาตไว้ หรือจักยึดมั่นไว้ ดังนี้จึงได้ตรัสไว้อย่างนั้น 

มหาราช เหมือนอย่างว่าพระเจ้าจักรพรรดิตรัสแก่พระราชโอรสว่า ลูกเอ๋ย บ้านเมืองอันใหญ่นี้มีมหาสมุทรเป็นที่สุดในทิศทั้งปวง เป็นของปกครองยาก เมื่อบิดาล่วงลับไปแล้ว จงสละปัจจันตประเทศตามความประสงค์เถิด ดังนี้ พระราชกุมารเหล่านั้นจะยอมสละปัจจันตประเทศอันตกอยู่ในเงื้อมมือของตนตามพระดำรัสสั่งของพระราชบิดาหรือไม่?

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระราชกุมารเหล่านั้นมีแต่อยากจะหาเพิ่มขึ้นอีกถึง ๒ เท่าด้วยความโลภ จะสละทิ้งบ้านเมืองที่อยู่ในเงื้อมมือของตนแล้วอย่างไร

ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ พระพุทธบุตรทั้งหลายมีแต่จะเพิ่มสิกขาบทอื่นเข้าไปอีกด้วยความโลภในพระธรรม เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ อย่าว่าแต่จะถอนสิกขาบทอื่นที่ทรงบัญญัติไว้แล้วเลย

.........................................................

ความตอนนี้ในมิลินทปัญหาอีกสำนวนหนึ่ง

https://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=105

.........................................................

พุทธานุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อย พระนาคเสนอุปมาว่าเหมือนพระเจ้าจักรพรรดิตรัสสั่งให้ราชโอรสสละเมืองขึ้นเสียบ้างก็ได้ ไม่มีราชโอรสที่ไหนจะปฏิบัติตาม มีแต่จะหาเมืองขึ้นให้ได้มากขึ้น ฉันใด พระสงฆ์สาวกก็ฉันนั้น แม้จะมีพุทธานุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อย ก็ไม่มีหรอกที่จะถอน มีแต่จะประพฤติให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น

เทียบกับนิสัยสี่ (ออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร) แม้จะมีพุทธานุญาตให้บริโภคใช้สอยปัจจัยพิเศษ (อติเรกลาภ) ได้ แต่พระที่ตั้งใจปฏิบัติขัดเกลาก็คงไม่ยินดีที่จะบริโภคใช้สอยปัจจัยพิเศษกันสักเท่าไร มีแต่จะปฏิบัติตามนิสัยสี่ให้เคร่งครัดยิ่งๆ ขึ้นไป 

หลักปฏิบัติเรื่องธุดงค์ ๑๓ ข้อ-มีนิสัยสี่รวมอยู่ด้วยถึง ๓ ข้อ (ออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้)-เป็นเครื่องยืนยัน

และปฏิปทาของพระมหากัสสปะ-มหาสาวกผู้นำสงฆ์ทำปฐมสังคายนา-เป็นเครื่องยืนยัน 

พระมหากัสสปะปฏิบัติธุดงค์หลายข้อ-ทั้งๆ ที่ท่านไม่มีอะไรที่จะต้องขัดเกลาอีกแล้ว-ด้วยเหตุผลสำคัญข้อเดียวคือ เพื่อเป็นเนติแบบอย่างให้แก่พระภิกษุภายหน้า-คือพระภิกษุในปัจจุบันวันนี้-จะได้มีอุตสาหะปฏิบัติตาม

...................................................

พระพุทธดำรัสหนึ่ง-ให้พระมีอุตสาหะปฏิบัติตามนิสัยสี่ (ออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร)

พระพุทธดำรัสหนึ่ง-มีพุทธานุญาตให้บริโภคใช้สอยปัจจัยพิเศษ (อติเรกลาภ) ได้

...................................................

ผมคิดถึงอะไรอีก-นอกจากเรื่องพุทธานุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อย

ผมคิดถึงอีก ๒ เรื่อง (๑) เรื่องคำของพ่อแม่ที่บอกลูก (๒) เรื่องคำของท่านเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุราชบุรีบอกญาติโยม

(๑) เรื่องคำของพ่อแม่ที่บอกลูก 

พ่อแม่เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ จนลูกทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ ลูกเอาเงินที่ทำมาหากินได้มาให้พ่อแม่เป็นรายเดือน (ลูกส่วนมากทำอย่างนี้)

พ่อแม่บอกลูกว่า ลูกเอ๋ย พ่อแม่มีเงินของตัวเองพอใช้เลี้ยงตัวได้สบายๆ อยู่แล้ว ลูกไม่ต้องเอามาให้พ่อแม่หรอก เก็บไว้เลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัวของลูกเถิด (พ่อแม่ส่วนมากบอกลูกอย่างนี้)

ลูกทำอย่างไร?

ลูกบางคน พอพ่อแม่บอกอย่างนั้นก็ไม่ให้อีกเลย อ้างว่าพ่อแม่บอกว่าไม่ต้องให้

ลูกบางคนยังคงให้ต่อไป อ้างว่าพ่อแม่บอกอย่างนั้นเป็นความเมตตาของพ่อแม่ แต่การให้เงินพ่อแม่เป็นหน้าที่ของลูก ไม่ควรอ้างความเมตตาของพ่อแม่มาเป็นเหตุให้ลูกบกพร่องต่อหน้าที่

(๒) เรื่องคำของท่านเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุราชบุรีบอกญาติโยม

วัดมหาธาตุราชบุรีมีทำบุญทุกวันพระตลอดปี พระธรรมปัญญาภรณ์ (ไพบูลย์ ชินวํโส ป.ธ.๗) เจ้าอาวาสจะกล่าวสัมโมทนียกถา คือพูดธรรมะสั้นๆ ให้ญาติโยมฟังก่อนยะถาสัพพี

ท่านบอกญาติโยมว่า เวลาฟังสัมโมฯ ไม่ต้องประนมมือก็ได้ แต่ให้สำรวมกิริยาวาจาอยู่ในอาการสงบ เท่านี้ก็พอ

ญาติโยมทำอย่างไร?

ญาติโยมส่วนมากใช้สิทธิ์ที่ท่านอนุญาต-ไม่ต้องประนมมือ-ก็เลยไม่ประนมมือกันทั้งศาลา

แต่มีญาติโยมส่วนน้อย-มีทองย้อยคนเดียว-ที่ยังคงประนมมือฟังสัมโมฯ

...................................................

“ลุงนี่ท่าจะพูดไม่รู้เรื่อง”

“ยังไง?”

“ก็หลวงพ่อบอกแล้วว่าไม่ต้องประนมมือ ยังดันทุรังประนมมืออยู่ได้”

“ลุงรู้เรื่องอย่างยิ่ง รู้เรื่องดีว่าเอ็งเสียอีก”

“อ้าว!”

“อ้าวทำไม”

“ก็ลุงพูดยังไง?”

“หลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องประนมมือ ก็เป็นความเมตตาของหลวงพ่อ ยกไว้เหนือเกล้า แต่หน้าที่ของเราคนฟังธรรมต้องฟังโดยเคารพ การประนมมือฟังเป็นกิริยาฟังธรรมโดยเคารพตามวัฒนธรรมพุทธวัฒนธรรมไทย ระหว่างประนมมือก็ตั้งสติประคองมือพร้อมไปกับตั้งสติฟัง การประนมมือช่วยให้มีสติดีขึ้น นี่คือหน้าที่ของคนฟังธรรม เราไม่ควรอ้างความเมตตาของหลวงพ่อมาเป็นเหตุให้บกพร่องต่อหน้าที่”

“ลุงนี่พูดมาก”

............................

ตอนหน้า น่าจะสรุปจบบทความชุดนี้ได้

-------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๖

๑๙:๒๔

[full-post]

วิธีรักษาพระศาสนา (๒๐)

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.