สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ


อายตนะเป็นไฉน? 

   เพื่อนสหธรรมิกจะเข้าใจเรื่องอายตนะได้ดีเมื่อได้เห็นอาการความเนื่องกันระหว่างทวาร(อายตนภายใน)กับอารมณ์(อายตนภายนอก)

   โดยเป็นที่สืบต่อ(อายตนโต)ความว่า

   จิตและเจตสิกทั้งหลาย ย่อมปรากฏทำความพยายามสือต่อด้วยกิจของตนๆ มีการเสวยอารมณ์เป็นต้นในทวาร(มีทางตาเป็นต้น) และอารมณ์(มีรูปารมณ์เป็นต้น)นั้นๆ เหตุนั้นทวารและอารมณ์นั้นๆ จึงชื่อว่า"อายตนะ" แปลว่า"เป็นที่สืบต่อ" พูดง่ายๆว่า ที่จิตและเจตสิกเกิดขึ้นเป็นไปสืบต่อกันอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยธรรมเหล่านี้ เป็นที่สืบต่อนั่นเอง

   โดยเป็นผู้แผ่ไปแห่งจิตและเจตสิกธรรมทั้งหลายอันเป็นผู้มา(อายานํ ตนนโต)ความว่า

   ทวารและอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมแผ่จิตและเจตสิกธรรมทั้งหลายเหล่านั้น คือทำให้กว้างขวาง เหตุนั้นทวารและอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น จึงชื่อว่า"อายตนะ" แปลว่า"เป็นผู้แผ่ไปแห่งธรรมทั้งหลายอันเป็นผู้มา"   

   โดยเป็นผู้นำไปสู่สังสารทุกข์อันยืดเยื้อ(อายตสฺส นยนโต)ความว่า

   ก็ทวารและอารมณ์ทั้งหลายนี้ ตราบเท่าที่เป็นไป ไม่หยุดอยู่ ย่อมนำไป คือ ไปสู่สังสารทุกข์อันยืดเยื้อยิ่งนัก เป็นไปในสงสารอันมีเบื้องต้นที่บุคคลตามอยู่รู้ไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ทวารและอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น จึงชื่อว่า "อายตนะ" แปลว่า"ผู้นำไปสู่สังสารทุกข์อันยืดเยื้อ"

   อนี่งชื่อว่า "อายตนะ" ยังมีความหมายเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

   "เป็นสถานที่อยู่" ความว่า

   จิตและเจตสิกทั้งหลายเหล่านั้นๆ ย่อมอยู่ในทวารทั้งหลาย มีทวารตาเป็นต้น เพราะความที่เป็นไปเนื่องด้วยทวารนั้น เหตุนั้นทวารทั้งหลายเหล่านั้นจึงชื่อว่า"อายตนะ"แปลว่า"เป็นที่อยู่"

   "เป็นบ่อเกิด"ความว่า

   จิตและเจตสิกเหล่านั้น เกลื่อนกล่นในจักษุเป็นต้น เพราะความที่มีจักษุเป็นต้นนั้น เป็นที่อาศัย และเพราะความที่มีรูปเป็นต้น เป็นอารมณ์ดังนั้นจักษุเป็นต้น จึงเป็นบ่อเกิดแห่งจิตและเจตสิกธรรมทั้งหลายเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น จักษุเป็นต้นนั้น จึงชื่อว่า

"อายตนะ"แปลว่า"บ่อเกิด"

   "เป็นสถานที่ประชุม" ความว่า

   จักษุเป็นต้น เป็นสถานที่ประชุมแห่งจิต และเจตสิกธรรมทั้งหลายเหล่านั้น เพราะจิตและเจตสิกประชุมประชุมกันในจักษุเป็นต้นนั้นๆ ด้วยอำนาจแห่งวัตถุ(ที่เกิด)และอารมณ์ เพราะเหตุนั้นจักษุเป็นต้น จึงชื่อว่า "อายตนะ" แปลว่า "ที่ประชุม"

   "เป็นแดนเกิด" ความว่า

   จักษุ เป็นต้น เป็นแเดนเดิดแห่งจิต และเจตสิกทั้งหลายเหล่านั้น โดยความที่มีจักษุเป็นต้นนั้น เป็นที่อาศัยและอารมณ์ เพราะจิตและเจตสิกธรรมทั้งหลายเหล่านั้นอุบัติขึ้นในจักษุเป็นต้นเท่านั้น เพราะเหตุนั้น จักษุเป็นต้นเหล่านั้น จึงชื่อว่า "อายตนะ" แปลว่า "แดนเกิด"

   "เป็นเหตุ" ความว่า

   จักษุ เป็นต้น เป็นเหตุแห่งจิตเจตสิกธรรมเหล่านั้น เพราะความที่เมื่อจักษุเป็นต้นเหล่านั้นไม่มี จิตและเจตสิกธรรมทั้งหลายเหล่านั้นก็จะมีไม่ได้ เพราะเหตุนั้น จักษุเป็นต้นเหล่านั้น จึงชื่อว่า "อายตนะ" แปลว่า "เหตุ"

   สรุปความว่า คำว่า "จักษุ" เป็นต้น ได้แก่ ประสาทตา เป็นต้น อันเป็นทวารของจักษุวิญญาณ คือ การเห็น เป็นต้น และคำว่า "รูป" เป็นต้น ก็ได้แก่ รูปารมณ์ คือ รูปร่าง(ภาพ)ต่างๆ เป็นต้น นั่นเอง

   สภาวธรรมที่เป็นอายตนะได้จึงมี 12 อย่าง คือ

   1. จักขวายตนะ(ประสาทตา)

   2. รูปายตนะ(รูปร่าง,ภาพ)

   3. โสตายตนะ(ประสาทหู)

   4. สัททายตนะ(เสียง)

   5. ฆานายตนะ(ประสาทจมูก)

   6. คันธายตนะ(กลิ่น)

   7. ชิวหายตนะ(ประสาทลิ้น)

   8. รสายตนะ(รส)   

   9. กายายตนะ(ประสาทกาย)

   10. โผฏฐัพพายตนะ(ความเย็นร้อน, ความอ่อนแข็ง,ความหย่อนตึง)

   11. มนายตนะ(วิญญาณ 6)

   12. ธัมมายตนะ(รูปทั้งหลายที่เหลือจากอายตนะ 10 ข้างต้น และนามที่เหลือเว้นมนายตนะ,พระนิพพานก็จัดเข้าในอายตนะนี้ด้วย)

   บรรดาอายตนะทั้ง 12 นี้ จัดเป็นอายตนะภายใน 6 อายตนะภายนอก 6 คือ อายตนะ 5 อย่าง มีจักขวายตนะ เป็นต้น และมนายตนะ จัดเป็นอายตนะภายใน เหตุเพราะเนื่องในอัตภาพ อายตนะที่เหลือ 6 อย่าง เป็นอายตนะภายนอก เหตุเพราะมีได้แม้ในภายนอกอันไม่เนื่องด้วยอัตภาพ และเป็นของจรมิได้มีประจำ

(วิสุทธิมรรค ปฏิสัมภิทามรรค มหาฎีกา นิสสยอักษรปัลลวะ อักษรสิงหล)


[full-post]

อายตนะเป็นไฉน?

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.