วิธีรักษาพระศาสนา (๑๑)
.........................................................
คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน
แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา
.........................................................
ผมเน้นเรื่องไวยาวัจกรมาหลายตอน เพราะอะไร?
เพราะเรามองข้ามไวยาวัจกร จะพูดว่ามองไม่เห็นหัวไวยาวัจกรก็คงไม่ผิด
และบุญไวยาวัจมัย-โดยอาสาทำงานไวยาวัจกร ก็ไม่เคยมีใครยกขึ้นมาชักชวนเชิดชู
บุญ-ต้องควักเงินออกมาบริจาค
ทำงานไวยาวัจกรได้บุญ มีที่ไหน
ขอย้ำยืนยันว่า
ไวยาวัจกรเป็นผู้ช่วยให้พระรักษาศีลหลายๆ ข้อได้สะดวกขึ้น
ไวยาวัจกรเป็นผู้ช่วยให้พระครองชีวิตแบบขัดเกลาได้ผลดียิ่งขึ้น
ไวยาวัจกรเป็นผู้ป้องกัน ตัดกระแส หรือปิดสวิตช์ไม่ให้พระทำอะไรเหมือนชาวบ้านกันมากขึ้น (ขับรถเองเพราะหาคนขับไม่ได้ เข้าห้างซื้อของเองเพราะหาคนไปซื้อให้ไม่ได ฯลฯ)
แต่ไม่มีใครยกความสำคัญของไวยาวัจกรขึ้นมาชี้ให้เห็น
ในสังคมไทย อาจจะมีผมเป็นคนแรก และคนเดียวด้วยกระมัง
ไวยาวัจกรสำคัญแค่ไหน วัดได้จากเรื่อง “อนามัฏฐบิณฑบาต” คืออาหารที่ภิกษุไปบิณฑบาตได้มาและยังไม่ได้ฉันจะหยิบยื่นให้ฆราวาสกินก่อนมิได้ ถือว่าเป็นการทำศรัทธาไทย คือทำของที่เขาถวายด้วยศรัทธาให้เสียหาย คือเสียความตั้งใจที่ถวายเพื่อให้ภิกษุฉัน แต่กลับเอาไปให้ผู้อื่นกินก่อน
แต่ทั้งนี้ยกเว้นบุคคล ๖ จำพวก และหนึ่งใน ๖ นั้น คือไวยาวัจกร
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มักไม่มีใครรู้ อย่าว่าแต่ชาวบ้าน แม้ในหมู่ชาววัดซึ่งจำเป็นจะต้องรู้อย่างยิ่งนั่นเองส่วนมากก็ไม่รู้
บุคคล ๖ จำพวก (บิดา + มารดา รวมเป็นจำพวกเดียวกัน) ที่มีพุทธานุญาตให้กินอาหารก่อนพระได้มีดังนี้ -
.........................................................
(๑) บิดามารดาของตนเอง
(๒) คนที่ปฏิบัติบิดามารดาของภิกษุรูปนั้น
(๓) ไวยาวัจกร คือคนที่พระมอบหมายให้ทำงานบางอย่างแทนพระ หรือผู้ที่อยู่รับใช้ทำกิจของวัด
(๔) คนเตรียมบวชที่มาอยู่ในวัด ซึ่งกำลังฝึกหัดกิริยามารยาทหรือวัตรปฏิบัติต่างๆ เพื่อเตรียมที่จะเป็นพระ (คือที่คำไทยเรียกว่า “นาค” เรียกเป็นศัพท์ว่า บัณฑุปลาส)
(๕) คนร้ายที่บุกเข้ามาในวัด ซึ่งอาจทำอันตรายแก่พระ หรือทำเหตุเสียหายให้แก่วัดได้ (เรียกเป็นศัพท์ว่า ทามริก)
(๖) เจ้านาย หรือผู้ปกครองบ้านเมือง ซึ่งผ่านเข้ามา และเป็นบุคคลที่อาจสนับสนุนหรือทำลายพระศาสนาได้ (ในคัมภีร์ใช้คำว่า อิสรชน)
ที่มา: สมันตปาสาทิกา ภาค ๑ ตติยปาราชิกวัณณนา หน้า ๖๙๓
.........................................................
เรื่องอนามัฏฐบิณฑบาต
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=226
.........................................................
แต่ก็แน่นอน คนส่วนหนึ่งก็มีเหตุผลทำนองเดียวกับ-พระแบบนี้ไม่อยากไหว้ให้เสียมือ
นั่นคือ - พระแบบนี้ไม่อยากรับใช้ให้เสียแรง เปลืองเวลา
แต่ถ้าเราเปิดช่องให้พระทำอะไรเหมือนชาวบ้านมากขึ้น-โดยพระท่านอ้างว่าไม่มีคนช่วยทำ-เราก็จะมีพระที่ไม่อยากไหว้ให้เสียมือ-ไม่อยากรับใช้ให้เสียแรง เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อพระทำอะไรๆ เหมือนชาวบ้านมากขึ้น จนกลายเป็นเรื่องปกติ ถึงตอนนั้น จะมีไวยาวัจกรหรือไม่มี ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป พระท่านจะไม่อ้างอีกแล้วว่า-ต้องทำเหมือนชาวบ้านเพราะไม่มีชาวบ้านช่วย แต่ท่านจะมีเหตุผลใหม่ นั่นคือ ทำเองคล่องตัวกว่า ให้คนอื่นทำไม่ได้อย่างใจ
นั่นคือทำเหมือนชาวบ้านเพราะอยากทำ ไม่ใช่เพราะไม่มีชาวบ้านช่วยทำ
ทุกวันนี้ แม้ไม่ต้องสังเกตก็เห็นได้ทั่วไปว่า พระเอาค่านิยมแบบชาวบ้านมา “นิยม” กันมากขึ้น
ที่เห็นดื่นที่สุดคือ วุฒิการศึกษาแบบชาวบ้าน ตำแหน่งวิชาการแบบชาวบ้าน ตำแหน่งผู้บริหารแบบชาวบ้าน เป็นต้น
พร้อมกันนั้นท่านก็ทิ้งแบบแผนของชาววัดไปเรื่อยๆ ทีละอย่างสองอย่าง เช่น -
ท่านบอกชื่อกับนามสกุลเหมือนชาวบ้าน ทิ้งฉายาพระ
ท่านบอกตำแหน่ง แต่ทิ้งชื่อวัดที่สังกัด เหมือนชาวบ้านบอกว่าเขาเป็นอธิบดีกรมไหน เป็น ผอ.กองอะไร ไม่ต้องบอกว่าบ้านอยู่ที่ไหน
ลองสังเกตดูเถิด อ่านชื่อพระเดี๋ยวนี้ มีแต่ชื่อ-นามสกุล-นามสมณศักดิ์ วุฒิการศึกษาแบบชาวบ้าน ตำแหน่งวิชาการแบบชาวบ้าน แต่จะไม่มีชื่อวัดที่สังกัดกำกับอยู่ด้วย
วัด-ซึ่งเป็นสำนักศึกษาอบรมที่สำคัญในวิถีชีวิตสงฆ์ ถูกทำให้มีฐานะเป็นเพียงที่พักส่วนตัวของพระ-ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องบอกใคร-เหมือนชาวบ้านที่เขาก็ไม่ต้องบอกกันว่าบ้านอยู่ไหน
ที่จะเห็นได้ชัดที่สุด-ถึงการเอาค่านิยมแบบชาวบ้านมานิยม ก็คือ มจร และ มมร
ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ --
แรกเริ่มเดิมที ชั่วโมงการเรียนประจำวันของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งนี้เริ่มหลังเที่ยง เหตุผลคือนักศึกษาคือพระเณรจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องฉันเพล
แต่ทุกวันนี้ชั่วโมงเรียนของ มจร และ มมร มีทั้งเช้าทั้งบ่ายตามเวลาของทางราชการ-ซึ่งก็คือตามเวลาของชาวบ้าน
หลักนิยมของ มจร และ มมร หยุดเรียนวันพระตามค่านิยมของชาววัด + วันอาทิตย์ตามค่านิยมของชาวบ้าน
เวลานี้วันหยุดเรียนของ มจร และ มมร กำลังจะไม่นิ่งแล้ว
ผมขอทำนายไว้ว่า อีกไม่เกิน ๕๐ ปี มจร และ มมร จะยกเลิกการหยุดเรียนวันพระ และจะหยุดเรียนตามวันหยุดของทางราชการ-ซึ่งก็คือตามวันหยุดของชาวบ้าน
ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือภาพรวมของการที่-ชาววัดทิ้งแบบแผนของตัวเองไปทำเหมือนชาวบ้าน (และมีเหตุผลเป็นกระบุงว่า-ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน!!)
.....................
แต่จะอย่างไรก็ตาม เมื่อชาวบ้านเต็มใจรับใช้พระ-มิใช่เพื่อให้พระมีเวลาเสพสุขมากขึ้น-แต่เพื่อให้พระครองชีพตามวิถีชีวิตสงฆ์ได้สะดวก มีเวลาและมีโอกาสประพฤติขัดเกลาตนเองได้มากขึ้น สิ่งที่เราควรหวังได้ก็คือ พระท่านจะมีสติระวังตนและมีอุตสาหะรักษาพระธรรมวินัยให้เคร่งครัดยิ่งๆ ขึ้น ด้วยเหตุผลในเชิงจิตวิทยาที่ว่า-โยมเขาอุตส่าห์อุปถัมภ์บำรุงเราถึงเพียงนี้ อย่าทำอะไรที่ไม่ดีให้โยมเสียใจ
.........................................................
เพื่อนร่วมสำนักวัดมหาธาตุราชบุรีของผมคนหนึ่ง ฟื้นความหลังให้ฟังว่า ตอนเป็นเณร วันหนึ่งเล่นตีปิงปองกับเด็กวัด เล่นกันอยู่นาน สนุกมาก หลวงพี่ที่เป็นพระปกครองให้เด็กไปซื้อโอเลี้ยงมาถุงหนึ่งแล้วถือเอามายื่นให้ หลวงพี่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่เณรสะดุ้งใจ ตั้งแต่วันนั้นเลิกเล่นสนุกแบบเด็กทุกอย่าง
.........................................................
ชาวบ้านตั้งใจรับใช้พระ แล้วมีพระสะดุ้งใจระวังตัวเองไม่ให้ประพฤติผิด-แม้เพียงรูปเดียว ผมว่าคุ้มแล้ว เราไม่เหนื่อยเปล่าหรอก
.........................................................
กิจอย่างหนึ่งที่มีแนวโน้มว่าพระจะทำกันมากขึ้นก็คือ การช่วยเหลือประชาชนด้วยการ “ลงมือเอง”
ที่เห็นมีภาพปรากฏก็เช่น -
พระไถนา เกี่ยวข้าว-บอกว่าช่วยเหลือประชาชน
พระถือทัพพีอยู่หน้าเตา หุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยงชาวบ้านที่ประสบภัย-ก็บอกว่าช่วยเหลือประชาชน
ชาวบ้านที่ไม่ตระหนักถึงพระวินัยก็ชื่นชมยินดีว่า พระไม่ทิ้งประชาชน
แต่ลืมมองไปว่า พระทิ้งวิถีชีวิตสงฆ์ ทิ้งการครองชีพแบบพระ ทิ้งสมณวิสัย ทิ้งสมณสารูป รวมความว่าทิ้งวินัยของพระเอง
แน่นอนว่า เหตุผลที่เราจะได้ฟังก็คือ ถ้าพระไม่ทำแล้วใครจะทำ
ถ้าพระมีไวยาวัจกรอยู่เคียงข้าง พระก็ไม่ต้องอ้างแบบนี้ เพราะกิจแบบนั้นทั้งหมดนั่นแหละคือหน้าที่โดยตรงของไวยาวัจกร
แต่ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ ไม่มีใครมองเห็นความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องมีไวยาวัจกร ไม่คิดที่ระดมหาไวยาวัจกรออกมาช่วยพระ พระจะยิ่งทำอะไรๆ เหมือนชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดวิถีชีวิตแบบพระ-การครองชีพเพื่อขัดเกลาตนเองก็จะเสื่อมสูญสิ้นไป-เหลือแต่กลุ่มคนที่แต่งตัวแบบพระ แต่ครองชีวิตแบบชาวบ้าน
ถ้าเราช่วยพระเต็มที่แล้ว แต่ความเสื่อมเช่นนั้นก็ยังเกิดขึ้นจนได้ เราก็ไม่ต้องเสียใจเลย อุปมาเหมือนรักษาคนป่วยสุดฝีมือแล้ว แต่ก็ยังตาย
อย่างน้อยก็ปิดปากพระที่จะลำเลิกว่า - ตอนนั้นถ้าโยมช่วยอาตมาสักนิด เรื่องมันก็คงจะไม่เป็นแบบนี้
นี่โยมก็พยายามช่วยอยู่แล้วขอรับ
.....................
ตอนหน้า “อติเรกลาโภ” คงว่าได้แน่
ช่วยแก้ต่างแทนพระ-ใช้สิทธิ์อะไรจึงไม่ออกบิณฑบาต
------------------
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖
๑๕:๕๙
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ