วิธีรักษาพระศาสนา (๑๐)

.........................................................

คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน 

แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา

.........................................................

สรุปว่า ไวยาวัจกรตามพระธรรมวินัยเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่ง-จะว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งก็ได้-ในการครองชีพเพื่อขัดเกลาตนเองของพระ เพราะเป็นตัวช่วยให้พระรักษาสิกขาบทหลายๆ ข้อได้อย่างสะดวกขึ้น

ไวยาวัจกรก็คือ ชาวบ้านที่ไปปรากฏตัวอยู่ในวัด

มองหาเมื่อไร มองเห็นเมื่อนั้น

หลวงลุงจะเอาอะไร เดี๋ยวผมไปซื้อให้

หลวงพี่จะไปไหน เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง

ฯลฯ

ฯลฯ

กิจอะไรที่พระทำเองไม่ได้เพราะผิดวินัย หรือผิดสมณวิสัย หรือเสียสมณสารูป กิจนั้นไวยาวัจกรรับหน้าที่ทำให้ จัดการให้

คนชนิดนี้ถ้ามีอยู่ทุกวัด วัดละหลายๆ คน จะเป็นอุปการะแก่วัดแก่พระอย่างยิ่ง และตัวไวยาวัจกรเองก็ได้บุญที่เรียกว่า “ไวยาวัจมัย” ด้วย

เพราะฉะนั้น วัดและชาววัดไม่ควรปฏิเสธว่าไวยาวัจกรไม่จำเป็น

สำหรับชาวบ้าน ถ้าไม่เคยคิดจะทำบุญแบบนี้ หรือไม่เคยมีใครบอกว่าทำแบบนี้ก็เป็นการทำบุญ ไม่ต้องมีเงินสักบาทก็ทำได้ ผมขอเชิญชวนให้หันมาทำบุญแบบนี้กันดูบ้าง

เริ่มด้วยการจัดระเบียบชีวิตประจำวันของตัวเอง-ให้มีเวลาและสามารถไปปรากฏตัวอยู่ในวัดและพร้อมที่จะรับใช้พระทุกเรื่องที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยและสามารถทำได้ นั่นหมายถึงเราต้องพัฒนาตัวเองให้สามารถทำได้ด้วย

ในตอนก่อนๆ ผมเสนอว่า ไวยาวัจกรก็คือคนข้างวัด คนใกล้วัด คนที่ “ขึ้น” หรือนับถือศรัทธาวัดนั้นๆ ตลอดจนญาติมิตรของพระ

ตอนนี้ผมกำลังจะบอกว่า ไวยาวัจกรเป็นคนที่เราสามารถหา หรือ “สร้าง” ขึ้นมาได้-ถ้าคิดจะสร้าง 

การหาและการสร้างไวยาวัจกรก็เป็นการทำบุญไวยาวัจมัยอยู่ในตัว เรียกได้ว่าเป็นบุญในบุญนั่นเอง

.....................

คนกลุ่มหนึ่งที่ผมเห็นว่า น่าจะเป็นที่มาของไวยาวัจกรได้เป็นอย่างดี-ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี นั่นก็คือ คนเร่ร่อนจรจัด

คนเร่ร่อนจรจัดคือคนแบบไหน คงไม่ต้องให้คำจำกัดความ คนประเภทนี้ซุกอยู่ตรงนั้นซ่อนอยู่ตรงนี้ พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมไทย

รวบรวมคนประเภทนี้เข้า 

แล้วเอามาขัดสีฉวีวรรณ 

ทำให้เขาอยู่ในสภาพคนปกติธรรมดา ไม่ใช่เศษคน

แล้วจัดการอบรมให้รู้จักวิธีรับใช้วัดรับใช้พระ

แน่นอน คนประเภทนี้มักไว้ใจไม่ได้

แต่ไม่ใช่คนที่ฝึกไม่ได้

เขาแค่ขาดโอกาส และเรากำลังให้โอกาสเขา

หน่วยงานราชการที่ทำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี คือกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (กรมประชาสงเคราะห์เดิม) บางขั้นตอนกรมนี้ทำอยู่แล้ว

หน่วยงานคณะสงฆ์ที่ทำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี คือสายงานสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม

.....................

ตรงนี้ขออนุญาตแวะข้างทางนิดหนึ่ง เพื่อให้ความรู้แก่ชาวบ้าน-และอาจจะรวมชาววัดสมัยใหม่บางส่วน-ที่น่าจะไม่รู้เรื่องนี้

.........................................................

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๔๘๔ (ก่อนหน้าฉบับ ๒๕๐๕ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน) แบ่งงานคณะสงฆ์ออกเป็น ๔ สาย เรียกว่า “องค์การ” คือ -

๑ องค์การปกครอง

๒ องค์การศึกษา

๓ องค์การเผยแผ่

๔ องค์การสาธารณูปการ

แต่ละองค์การมีตัวผู้รับผิดชอบ เรียกว่า “สังฆมนตรี” เช่น สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง เป็นต้น 

คือ พรบ.ฉบับนั้นมีรูปแบบการบริหารเหมือนรัฐบาล เช่น มี “สังฆนายก” เท่ากับนายกรัฐมนตรี มี “สังฆมนตรี” เท่ากับรัฐมนตรี

เมื่อยกเลิก พรบ.๒๔๘๔ และใช้ฉบับ ๒๕๐๕ ก็ยกเลิกรูปแบบการบริหารแบบเดิม กำหนดให้มี “มหาเถรสมาคม” ขึ้นมาแทน องค์การที่เป็นกองงานชัดๆ ๔ สาย ก็หายไปด้วย แต่เนื้องานยังอยู่ ซ้ำยังคิดงานเพิ่มขึ้นอีก ๒ สาย รวมกับงานเดิม ๔ สาย เป็น ๖ สาย คือ -

๑ งานปกครอง

๒ งานศึกษา

๓ งานเผยแผ่

๔ งานสาธารณูปการ

๕ งานศึกษาสงเคราะห์

๖ งานสาธารณสงเคราะห์

ของเดิม ๔ สาย มีตัว “สังฆมนตรี” ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่รู้กันชัดเจนทั่วสังฆมณฑล ไปไหนมาไหนแสดงตัวที่ไหน แสดงสถานภาพ “สังฆมนตรีว่าการ” เต็มที่ 

เทียบกับระบบมหาเถรสมาคมที่ท่านนิยมแสดงตัวกันอยู่ในเวลานี้ก็ทำนองเดียวกัน ไปไหนมาไหนแสดงตัวที่ไหน แสดงสถานภาพ “กรรมการมหาเถรสมาคม” เต็มที่ ฉันใดฉันนั้น

แต่ระบบมหาเถรสมาคมไม่มีตำแหน่ง “สังฆมนตรี” แบบเดิม 

แล้วบริหารงานทั้ง ๖ สายกันอย่างไร? ผมได้ยินมาว่ามีตัวผู้ที่ประธานกรรมการมหาเถรสมาคมมีบัญชาให้รับผิดชอบงานสายต่างๆ ทั้ง ๖ สาย แต่ไม่เป็นที่รับรู้กันทั่วไป

ผมเอง บอกตามตรง ยังไม่รู้เลยว่างานสายไหน พระเถระรูปไหนรับผิดชอบ ตัวกรรมการมหาเถรสมาคมเองก็ไม่เคยเห็นรูปไหนประกาศตนแสดงตัวว่าเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบงานสายนั้นสายนี้ คงแสดงสถานภาพกันแต่เพียงว่า “กรรมการมหาเถรสมาคม” แค่นี้ แต่รับผิดชอบงานสายไหนไม่มีใครรู้

งานทั้ง ๖ สายจึงเหมือนกับเลื่อนลอยอยู่ในนภากาศ ตัวผู้รับผิดชอบแต่ละสายก็เลื่อนลอยอยู่ในนภากาศเช่นกัน คือใครรับผิดชอบงานอะไร อยู่ที่ไหน ไม่มีใครรู้

นี่คือระบบการบริหารงานคณะสงฆ์ไทยของเราที่กำลังเป็นอยู่

.........................................................

แต่ที่แน่ๆ เป็นอันว่าคณะสงฆ์มีสายงานสาธารณสงเคราะห์ ซึ่งเหมาะและตรงอย่างยิ่งที่จะยื่นมือเข้ามาโอบอุ้มสงเคราะห์คนเร่ร่อนจรจัด โดยมีเป้าหมาย-เพื่อสร้างหรือ “ปั้น” ให้เป็นไวยาวัจกร ทั้งนี้ โดยประสานความร่วมมือกับกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

สงเคราะห์พวกเขาให้พ้นสถานะคนเร่ร่อนจรจัดด้วย

สงเคราะห์พวกเขาให้ได้บำเพ็ญบุญไวยาวัจมัยด้วย

วัดและพระได้ไวยาวัจกรช่วยให้รักษาสิกขาบทหลายๆ ข้อได้สะดวกขึ้น ส่งผลให้การครองชีพเพื่อขัดเกลาตนเองเป็นไปได้เต็มที่ด้วย

กระสุนนัดเดียว ได้นกหลายตัว

คนอีกประเภทหนึ่งที่อาจสมทบเข้ามาได้ด้วย คือผู้ต้องคดีและศาลตัดสินให้ทำงานรับใช้สังคม อันนี้ผมไม่แน่ใจว่ากระบวนการตัดสินของศาลบ้านเรามีแบบนี้อยู่หรือเปล่า 

ถ้ามีหรือสมมุติว่ามี ก็ขอให้ปรับเปลี่ยนโทษทำงานรับใช้สังคมเป็น-ทำงานรับใช้วัด+รับใช้พระ ก็คือลงโทษด้วยวิธีให้ไปเป็นไวยาวัจกรเป็นเวลาเท่านี้วันเท่านั้นเดือนตามที่เห็นสมควร แบบนี้เราก็จะได้ไวยาวัจกรเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง

.....................

ผมตระหนักดีว่า แนวคิดที่เสนอมานี้ ไม่ว่าจะเป็น (๑) เชิญชวนให้หันมาทำบุญโดยการเป็นไวยาวัจกรอาสาสมัครกันดูบ้าง หรือ (๒) แนวคิดฝึกอบรมคนเร่ร่อนจรจัดให้เป็นไวยาวัจกร จะต้องมีคนร้องยี้ จะต้องมีคนบอกว่าไร้สาระ หรืออย่างเบาะๆ ก็จะต้องมีคนบอกว่า-คิดได้ แต่ทำไม่ได้หรอก ถ้าทำได้เขาทำกันไปนานแล้ว ฯลฯ

หรือแม้-สมมุติว่า-มีคนเห็นด้วย - เออ จริงด้วย ทำไมเราลืมเรื่องแบบนี้ไปนะ - แต่ในขั้นการลงมือดำเนินการ ก็จะไม่มีใครทำอะไรอยู่นั่นเอง

สรุปก็คือ ไม่เอา ไม่ต้องทำอะไร อยู่กันไปแบบนี้แหละดีแล้ว 

และตระหนักดีถึงธรรมชาติของสังคมบ้านเรา ธรรมชาติที่ว่า-ไม่ว่าปัญหาอะไร เราให้ความสำคัญกับตัวคนเสนอแนะมากว่าเรื่องที่เขาเสนอแนะเสมอ

แต่ผมก็ยังเชื่อทฤษฎี “ลมพัดใบไม้ไหว” และมีความหวังอยู่เสมอว่า คนที่มีกุศลจิตและมีความสามารถที่จะลงมือทำเรื่องเช่นนี้ให้เป็นจริงได้ + แนวคิดที่เสนอลอยไปตามลมเช่นนี้ คงจะโคจรไปพบกันเข้า-สักวันหนึ่ง

.....................

ตอนหน้าคงสรุปจบเรื่องไวยาวัจกร

จะได้อธิบายกันเสียทีว่า มีเหตุผลอะไรที่พระมีสิทธิ์ไม่ออกบิณฑบาต

------------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๖

๑๔:๑๔ 

[full-post]

วิธีรักษาพระศาสนา (๑๐)

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.