วิธีรักษาพระศาสนา (๑๘)
.........................................................
คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน
แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา
.........................................................
ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตในพระพุทธศาสนามี ๔ อย่าง
(๑) อาหาร: ได้จากการออกบิณฑบาต บริขารสำคัญของพระที่ขาดไม่ได้คือบาตร
ก่อนบวช ไม่มีบาตร บวชไม่ได้
บวชแล้ว ไม่มีบาตร อยู่ไม่ได้
(๒) เครื่องนุ่งห่ม: ได้จากผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เก็บมาตัด เย็บ ย้อม ทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม บริขารอย่างหนึ่งของพระในจำนวน ๘ อย่างที่เรียกว่า “อัฐบริขาร” คือเข็มเย็บผ้า พระสมัยก่อน ผ้าขาดเย็บผ้าเอง
(๓) ที่อยู่อาศัย: ใช้โคนไม้เป็นที่พำนัก ค่ำไหนนอนนั่น เรียบง่าย ไม่ต้องเป็นภาระห่วงกังวล
(๔) ยารักษาโรค: ใช้ยาตามธรรมชาติ คือน้ำมูตรดอง
เมื่อมีพุทธานุญาตให้บริโภคใช้สอยปัจจัยพิเศษที่เรียกว่า “อติเรกลาภ” พระก็หันไปใช้ปัจจัยพิเศษกันมากขึ้น จนถึง ณ วันนี้การใช้ปัจจัยพิเศษกลายเป็นเรื่องธรรมดา
อาหาร: ไม่ต้องออกบิณฑบาตก็มีฉัน
เครื่องนุ่งห่ม: ใช้จีวรสำเร็จรูป ไม่จำเป็นต้องตัดเย็บย้อมเอง
ที่อยู่อาศัย: ทิ้งโคนไม้ไปอยู่กุฏิ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนบ้าน
ยารักษาโรค: ใช้ยาฝรั่ง น้ำมูตรดองไม่มีใครรู้จัก
ถ้าตั้งปัญหาถามว่า การที่พระพากันใช้ปัจจัยพิเศษจนลืมปัจจัยพื้นฐานของเพศบรรพชิตเช่นนี้ ไม่ผิดหรือ?
คำตอบก็คือ ไม่ผิด เพราะมีพุทธานุญาตไว้
......................
แนวคิดของผมก็คือ การยกเอาพุทธานุญาตเป็นเกณฑ์ตัดสินเพียงเกณฑ์เดียวน่าจะยังไม่พอ
ต้องเล็งไปถึงเจตนารมณ์ หรือวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของเพศบรรพชิตอีกด้วย
โปรดเทียบกับกรณีนี้ -
.........................................................
ชาวพุทธประกอบอาชีพเปิดร้านขายสุรา
ถามว่า ผิดกฎหมายไหม
ตอบว่า ถ้าได้รับอนุญาตแล้วก็ไม่ผิด
แต่จะใช้กฎหมายเป็นเกณฑ์ตัดสินอย่างเดียวยังไม่พอ
ต้องใช้หลัก “มิจฉาวณิชชา” การค้าขายที่ผิดหรือไม่ชอบธรรม หรือ “อกรณียวณิชชา” การค้าขายที่ชาวพุทธไม่ควรประกอบ เข้ามาเป็นเกณฑ์ร่วมด้วย
หนึ่งในมิจฉาวณิชชาคือ “มัชชวณิชชา” ค้าขายของเมา (trade in spirits or narcotics)
.........................................................
เจตนารมณ์ หรือวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของการเข้ามาถือเพศบรรพชิตคืออะไร?
ก็ต้องย้อนไปศึกษา-เหตุผลที่คนออกบวชในพระพุทธศาสนา --
...............................................................
อิติปิ ปฏิสญฺจิกฺขติ
ผู้ที่ได้ฟังธรรมย่อมเห็นตระหนักว่า --
สมฺพาโธ ฆราวาโส รชาปโถ
การอยู่ครองเรือนคับแคบ เป็นทางมาของธุลี
อพฺโภกาโส ปพฺพชฺชา
บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง
นยิทํ สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา เอกนฺตปริปุณฺณํ เอกนฺตปริสุทฺธํ สํขลิขิตํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํ
การอยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวเหมือนสังข์ที่ขัดแล้ว ทำได้ไม่ง่ายนัก
ยนฺนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยนฺติ ฯ
เอาเถิด เราจะปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนถือบวชไม่มีบ้านเรือน
ที่มา: สามัญญผลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๙ ข้อ ๑๐๒
...............................................................
เจตนารมณ์ หรือวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของการเข้ามาถือเพศบรรพชิตคือ “จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์เหมือนสังข์ที่ขัดแล้ว”
แล้วอย่างไรคือปฏิบัติเหมือนสังข์ที่ขัดแล้ว?
คำตอบก็อยู่ที่ “นิสัยสี่” ซึ่งได้รับปฐมนิเทศมาตั้งแต่วันแรกที่บวช คือ ออกบิณฑบาต-ใช้ผ้าบังสุกุล-อยู่โคนไม้-ฉันยาดองน้ำมูตร อันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยยังชีพของผู้ขัดเกลาตามมาตรฐานที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้
แต่คำยืนยันที่ชัดเจนที่สุดมีอยู่ใน “ธุดงค์” อันเป็น ๑ ใน ๔ เรื่อง (เท่าที่ประมวลได้ตอนนี้) ที่คนไทยเข้าใจผิดสุดขั้วโลก
...............................................................
๑ สังฆทาน ต้องมีถังหรือชุดสังฆทาน จึงจะเป็นสังฆทาน
๒ ธุดงค์ ต้องแบกกลด สะพายบาตร จึงจะเป็นธุดงค์
๓ ปฏิบัติธรรม ต้องแต่งชุดขาวไปอยู่วัด จึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม
๔ นิพพาน ต้องทิ้งสังคม จึงจะเป็นนิพพาน
...............................................................
ธุดงค์คืออะไร?
“ธุดงค์” แปลตามศัพท์ว่า “องค์แห่งผู้กำจัด” “องค์เป็นเครื่องขัดเกลาอกุศลธรรม”
ธุดงค์ก็คือข้อปฏิบัติเพื่อขัดเกลาตนเอง ตรงตามเจตนารมณ์ของการออกบวช
เพื่อเป็นการศึกษาหาความรู้ ขอสรุปความจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [342] มาเสนอดังต่อไปนี้ :
...............................................................
ธุดงค์ หมายถึง องค์คุณเครื่องสลัดหรือกำจัดกิเลส, ข้อปฏิบัติประเภทวัตรที่ผู้สมัครใจจะพึงสมาทานประพฤติได้ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส ช่วยส่งเสริมความมักน้อยและสันโดษเป็นต้น (Dhutaŋga: means of shaking off or removing defilements; austere practices; ascetic practices) มี ๑๓ ข้อ คือ -
๑. ปังสุกูลิกังคะ (องค์แห่งผู้ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร - refuse-rag-wearer’s practice)
๒. เตจีวริกังคะ (องค์แห่งผู้ถือทรงเพียงไตรจีวรเป็นวัตร - triple-robe-wearer’s practice)
๓. ปิณฑปาติกังคะ (องค์แห่งผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร - alms-food-eater’s practice)
๔. สปทานจาริกังคะ (องค์แห่งผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับเป็นวัตร - house-to-house-seeker’s practice)
๕. เอกาสนิกังคะ (องค์แห่งผู้ถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร คือฉันวันละมื้อเดียว ลุกจากที่แล้วไม่ฉันอีก - one-sessioner’s practice)
๖. ปัตตปิณฑิกังคะ (องค์แห่งผู้ถือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร คือ ไม่ใช้ภาชนะใส่อาหารเกิน ๑ อย่างคือบาตร - bowl-food-eater’s practice)
๗. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ (องค์แห่งผู้ถือห้ามภัตที่ถวายภายหลังเป็นวัตร คือเมื่อได้ปลงใจกำหนดอาหารที่เป็นส่วนของตน ซึ่งเรียกว่าห้ามภัต ด้วยการลงมือฉันเป็นต้นแล้ว ไม่รับอาหารที่เขานำมาถวายอีก แม้จะเป็นของประณีต - later-food-refuser’s practice)
๘. อารัญญิกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร อยู่ห่างบ้านคนอย่างน้อย ๕๐๐ ชั่วธนู คือ ๒๕ เส้น - forest-dweller’s practice)
๙. รุกขมูลิกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร - tree-rootdweller’s practice)
๑๐. อัพโภกาสิกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่ที่แจ้งเป็นวัตร - open-air-dweller’s practice)
๑๑. โสสานิกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร - charnel-ground-dweller’s practice)
๑๒. ยถาสันถติกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่ในเสนาสนะแล้วแต่เขาจัดให้ - any-bed-user’s practice)
๑๓. เนสัชชิกังคะ (องค์แห่งผู้ถือการนั่งเป็นวัตร คือเว้นนอน อยู่ด้วยเพียง ๓ อิริยาบถ - sitter’s practice)
...............................................................
โปรดพิจารณาธุดงค์ ๓ ข้อ คือ -
ข้อ ๑ ปังสุกูลิกังคะ ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร นี่คือนิสัยสี่ข้อ ๒ เครื่องนุ่งห่ม ใช้ผ้าบังสุกุล
ข้อ ๓ ปิณฑปาติกังคะ เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร นี่คือนิสัยสี่ข้อ ๑ อาหาร ได้จากการออกบิณฑบาต
ข้อ ๙ รุกขมูลิกังคะ อยู่โคนไม้เป็นวัตร นี่คือนิสัยสี่ข้อ ๓ ที่อยู่อาศัย โคนไม้เป็นที่พำนัก
ขาดไปข้อเดียว ไม่มีในธุดงค์ คือยารักษาโรค อาจเป็นเพราะยารักษาโรคเป็นสิ่งจำเป็น ไม่เหมาะที่จะยกเอามาเป็นเครื่องขัดเกลาเพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ (ป่วยก็ไม่รักษา อ้างว่าเพื่อขัดเกลา อาจตายได้ง่ายๆ)
นิสัยสี่ท่านยกขึ้นเป็น “ธุดงค์” คือข้อปฏิบัติเพื่อขัดเกลาตนเองถึง ๓ ข้อ เป็นการย้ำยืนยันว่า ถ้าจะขัดเกลาตนเองก็ต้องปฏิบัติตามนิสัยสี่นี่แหละ และการปฏิบัติตามนิสัยสี่ตามปกตินั่นแหละมีค่าเท่ากับปฏิบัติธุดงค์ไปในตัว
แต่เรามักจะบอกกันว่า ธุดงค์ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามความสมัครใจ ใช้สำนวนยอดนิยมก็ว่า - ใครจะปฏิบัติธุดงค์หรือไม่ปฏิบัติ ควรเป็นไปตามอัธยาศัย
ทำให้นึกถึงอะไร?
ขอยกไปว่าตอนหน้าครับ
------------------
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๖
๑๗:๕๔
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ