วิธีรักษาพระศาสนา (๑๗)

.........................................................

คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน 

แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา

.........................................................

อาหารประจำวันของพระได้มาจากการออกบิณฑบาต แต่มีอาหาร ๗ รายการ เป็น “อติเรกลาโภ” มีพุทธานุญาตไว้ ถ้าอาหารเหล่านี้เกิดมีขึ้น พระจะไม่ออกบิณฑบาตก็ได้ 

๗ รายการ ว่าไปแล้ว ๓ เหลืออีก ๔ มาศึกษากันต่อไป

......................

(๔) “สลากภัต”

คำบาลีว่า สลากภตฺตํ (สะลากะภัตตัง) คำแปลเดิมว่า “ภัตถวายตามสลาก”

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายไว้ว่า -

......................

สลากภัต: อาหารถวายตามสลาก หมายถึงเอาสังฆภัตอันทายกเข้ากันถวาย ต่างคนต่างจัดมา เป็นของต่างกัน เขามักทำในเทศกาลที่ผลไม้เผล็ดแล้วถวายพระด้วยวิธีจับสลาก.

......................

หมายเหตุ: ต้นเหตุเดิมของสลากภัตก็คือ โยมหลายบ้านจัดอาหารหลายแบบ มาถึงวัดแล้ว โยมนั้นก็อยากถวายพระนี้ โยมนี้ก็อยากถวายพระนั้น ตกลงกันไม่ได้ ข้างพระเองเห็นอาหารแล้ว รูปนั้นก็อยากฉันของโยมนี้ รูปนี้ก็อยากฉันของโยมนั้น เพื่อตัดปัญหาจึงใช้วิธีจับสลาก โยมจับชื่อพระหรือพระจับชื่อโยมก็แล้วแต่จะจัดการกัน ใครจับได้ใครก็ถวายตามที่จับได้ หมดปัญหา

สลากภัตนี้ในเมืองไทยยังทำกันอยู่ แต่พลิกแพลงไปจนกลายเป็นของพิเศษตามฤดูกาล กล่าวคือ พื้นที่ไหนมีผลไม้ชนิดไหนชุกชุม พอถึงฤดูผลไม้ออกดกดาษดื่น ก็นัดหมายกันนำผลไม้นั้นไปถวายพระเป็น “สลากภัต” พอพูดว่า “สลากภัต” ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าถวายผลไม้ตามฤดูกาล เวลาถวายจริงก็มีผลไม้อื่นๆ ผสมไปด้วย และมีของฉันของใช้ถวายพร้อมกันไปด้วย แต่มีผลไม้เป็นหน้าเป็นตา

วิธีจัดก็คือ แต่ละบ้านจัดผลไม้และสิ่งของประกอบเป็นเฉพาะของตนๆ นำไปที่วัด ตั้งแยกกันเป็นกองๆ ประมาณว่าจำนวนกองเท่ากับจำนวนพระที่จะจับสลาก เจ้าของนั่งประจำกองของใครของมัน กรรมการวัดกำหนดหมายเลขของแต่ละกอง ทำหมายเลขที่เรียกว่า “สลาก” ใส่พานเตรียมให้พระจับ เมื่อพระลงศาลา ทำพิธีไหว้พระ รับศีล กล่าวคำถวายสลากภัตแล้วถวายสลากที่เตรียมไว้ให้พระจับ พระอนุโมทนาเสร็จส่วนที่เป็นพิธีการ ต่อจากนั้นก็เปิดสลาก พระจับได้สลากหมายเลขอะไรก็ไปรับถวายสลากภัตตามหมายเลขนั้น หรือเจ้าของจะยกสลากภัตของตนไปประเคนพระที่จับได้ก็แล้วแต่จะสะดวก เป็นช่วงเวลาที่มีบรรยากาศวุ่นวายนิดๆ สนุกสนานหน่อยๆ ไปในตัว เป็นสีสันอย่างหนึ่งของบุญสลากภัต

สมัยก่อน สลากภัตวัดต่างๆ มักจัดไม่พร้อมกัน แต่หมุนเวียนกัน วัดนี้จัดนิมนต์พระวัดโน้นมาร่วมจับสลากด้วย วัดโน้นจัดก็นิมนต์พระวัดนี้ไปร่วมด้วย เป็นทำนองแขกกันไปแขกกันมา เป็นการแสดงน้ำใจไมตรีทั้งในหมู่ชาววัดต่างวัดและในระหว่างชาวบ้านต่างถิ่น

สรุปว่า สลากภัตของเดิมเป็นการถวายอาหารตามปกติ แต่สลากภัตที่ทำกันในเมืองไทยเป็นการถวายผลไม้ตามฤดูกาล

(๕) “ปักขิกภัต”

คำไทยอ่านว่า ปัก-ขิ-กะ-พัด คำบาลีว่า ปกฺขิกํ (ปักขิกัง) คำแปลเดิมว่า “ภัตถวายในปักษ์”

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายไว้ว่า -

......................

ปักขิกะ: อาหารที่เขาถวายปักษ์ละครั้ง คือสิบห้าวันครั้งหนึ่ง.

......................

(๖) “อุโปสถิกภัต”

คำไทยอ่านว่า อุ-โป-สะ-ถิ-กะ-พัด คำบาลีว่า อุโปสถิกํ (อุโปสะถิกัง) คำแปลเดิมว่า “ภัตถวายในวันอุโบสถ”

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายไว้ว่า -

......................

อุโปสถิกะ, อุโปสถิกภัต: อาหารที่เขาถวายในวันอุโบสถ คือ วันพระ ในเดือนหนึ่งสี่วัน, เป็นของจำพวกสังฆภัตหรืออุทเทสภัตนั่นเอง แต่มีกำหนดวันเฉพาะ คือ ถวายเนื่องในวันอุโบสถ.

......................

(๗) “ปาฏิปทิกภัต”

คำไทยอ่านว่า ปา-ติ-ปะ-ทิ-กะ-พัด คำบาลีว่า ปาฏิปทิกํ (ปาฏิปะทิกัง) คำแปลเดิมว่า “ภัตถวายในวันปาฏิบท”

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายไว้ว่า -

......................

ปาฏิปทิกะ: อาหารถวายในวันปาฏิบท.

......................

คำว่า “ปาฏิบท” พจนานุกรมพุทธศาสน์ฯ บอกไว้ว่า -

ปาฏิบท: วันขึ้นค่ำหนึ่ง หรือวันแรมค่ำหนึ่ง แต่มักหมายถึงอย่างหลัง คือแรมค่ำหนึ่ง.

......................

สรุปได้ว่า รายการอาหารทั้ง ๗ นี้ สังฆภัต อุทเทสภัต นิมันตนภัต สลากภัต ๔ ชนิดนี้คืออาหารที่ถวายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด

ส่วนปักขิกภัต อุโปสถิกภัต ปาฏิปทิกภัต ๓ ชนิดนี้คืออาหารที่ถวายตามวันที่กำหนด

เมื่อว่าโดยรวบยอด ถ้ามีผู้ถวายอาหาร จะโดยวิธีนำอาหารมาถวายพระหรือโดยวิธีให้พระไปรับอาหารก็ตาม กรณีเช่นนี้พระจะไม่ออกบิณฑบาตตามปกติก็ได้

.........................................................

วัดหนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ที่ผมเป็นเด็กวัดอยู่นั้น พระเณรออกบิณฑบาตทุกวัน และถือเป็นกิจวัตรที่สำคัญมาก พระเณรรูปไหนจะไม่ออกบิณฑบาตก็ต่อเมื่อมีกิจพิเศษจริงๆ เฉพาะบางวันเท่านั้น จำได้ว่า มีเฉพาะหลวงปู่-เจ้าอาวาส กับพระผู้เฒ่ารูปหนึ่งซึ่งเดินไม่สะดวกเท่านั้นที่ไม่ได้ออกบิณฑบาต

แต่ในช่วงเวลาเข้าพรรษามีทำบุญทุกวันพระ เฉพาะวันพระในพรรษาพระไม่ออกบิณฑบาต ชาวบ้านไปทำบุญที่วัด ไม่ต้องรอใส่บาตรที่บ้านเพราะจะไม่มีพระไปบิณฑบาต เป็นหลักปฏิบัติที่รู้กัน นี่ก็เข้าหลัก มีอุโปสถิกภัต คืออาหารที่ถวายทุกวันพระ พระจึงใช้สิทธิ์ไม่ต้องออกบิณฑบาต

.........................................................

ภัตหรืออาหารพิเศษที่ท่านระบุไว้นี้มี ๗ รายการ แต่ในคัมภีร์อรรถกถาพบว่ามีบัญชีแสดงรายการภัตพิเศษไว้ถึง ๑๕ รายการ ขอนำมาเสนอประกอบความรู้ไว้ในที่นี้ 

.........................................................

ปิณฺฑปาตกฺเขตฺตนฺติ  สํฆภตฺตํ  อุทฺเทสภตฺตํ  นิมนฺตนํ  สลากภตฺตํ  ปกฺขิกํ  อุโปสถิกํ  ปาฏิปทิกํ  อาคนฺตุกภตฺตํ  คมิกภตฺตํ  คิลานภตฺตํ  คิลานูปฏฺฐากภตฺตํ  ธุวภตฺตํ  กุฏิภตฺตํ  วารภตฺตํ  วิหารภตฺตนฺติ  ปณฺณรส  ปิณฺฑปาตกฺเขตฺตานิ  ฯ

คำว่า  ปิณฺฑปาตกฺเขตฺตํ (แหล่งหรือที่มาของอาหารบิณฑบาต) พึงทราบว่า แหล่งหรือที่มาของอาหารบิณฑบาตมี ๑๕ อย่าง คือ 

(๑) สํฆภตฺตํ = ภัตถวายสงฆ์

(๒) อุทฺเทสภตฺตํ = ภัตถวายภิกษุที่สงฆ์คัดเลือกให้

(๓) นิมนฺตนํ = ภัตในที่นิมนต์

(๔) สลากภตฺตํ = ภัตถวายตามสลาก

(๕) ปกฺขิกํ = ภัตถวายประจำปักษ์ (๑๕ วันครั้ง)

(๖) อุโปสถิกํ = ภัตถวายในวันอุโบสถ (ทุกวันพระ)

(๗) ปาฏิปทิกํ = ภัตถวายในวันปาฏิบท (วันขึ้นหรือแรมค่ำหนึ่ง)

(๘) อาคนฺตุกภตฺตํ = ภัตถวายภิกษุอาคันตุกะ

(๙) คมิกภตฺตํ = ภัตถวายภิกษุผู้เตรียมเดินทาง

(๑๐) คิลานภตฺตํ = ภัตถวายภิกษุไข้

(๑๑) คิลานูปฏฺฐากภตฺตํ = ภัตถวายภิกษุผู้ดูแลภิกษุไข้

(๑๒) ธุวภตฺตํ = ภัตถวายประจำ (นิตยภัต)

(๑๓) กุฏิภตฺตํ = ภัตถวายภิกษุประจำกุฏิ

(๑๔) วารภตฺตํ = ภัตที่ปันเวรกันถวาย 

(๑๕) วิหารภตฺตํ = ภัตถวายภิกษุประจำวิหาร

ที่มา: มโนรถปูรณี ภาค ๒ หน้า ๔๗๐ (จตุกฺกนิปาตวณฺณนา)

.........................................................

ท่านอธิบายว่า ในอติเรกลาภระบุชื่อภัตไว้ ๗ อย่าง แต่ก็กินความถึงภัตอื่นๆ ด้วย ในทางปฏิบัติก็คือ ถ้ามีผู้ถวายอาหาร เมื่อรับอาหารนั้นมาฉันก็เป็นอันไม่ต้องออกบิณฑบาต เพราะมีอาหารฉันแล้ว

ดังนั้น เมื่อเห็นพระไม่ออกบิณฑบาตก็อย่าเพิ่งบอกทันทีว่าท่านผิดหรือบกพร่อง ต้องพิจารณาด้วยว่าท่านได้อาหารมาจากแหล่งไหน ทั้งนี้เพราะอาหารของพระมิใช่ได้มาหรือมีมาจากการออกบิณฑบาตอย่างเดียว ยังมีแหล่งที่มาอื่นๆ อีก ตามที่ท่านแสดงรายการไว้ถึง ๑๕ อย่าง

อย่างไรก็ตาม แม้การไม่ออกบิณฑบาตจะไม่ใช่ความผิดหรือเป็นความบกพร่อง แต่เมื่อคำนึงถึงว่า-การออกบิณฑบาตมิใช่มุ่งแต่จะแสวงหาอาหารมายังชีพอย่างเดียว หากแต่ยังมีประโยชน์อย่างอื่นแฝงอยู่อีกด้วย และประโยชน์ที่แฝงอยู่นี่แหละบางทีก็อาจจะมีความหมายสำคัญยิ่งกว่าการได้อาหารมายังชีพเสียด้วยซ้ำไป

ตอนหน้าจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณากัน

--------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๖

๑๔:๑๑

 

[full-post]

วิธีรักษาพระศาสนา

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.