วิธีรักษาพระศาสนา (๑๖)
.........................................................
คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน
แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา
.........................................................
ถาม: ในการครองชีพเพื่อการขัดเกลาของบรรพชิตในพระพุทธศาสนา อาหาร-อันเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ท่านกำหนดให้แสวงหาด้วยวิธีออกบิณฑบาต แต่พระสมัยนี้ส่วนหนึ่ง-ซึ่งนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ-ไม่ได้ออกบิณฑบาต แบบนี้ไม่ผิดหลักการครองชีพของพระดอกหรือ หรือว่าท่านใช้สิทธิ์อะไร
ตอบ: ว่าตามหลัก ในกรณีที่มีผู้ถวายอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวนอาหาร ๗ รายการที่มีพุทธานุญาตไว้ พระจะไม่ออกบิณฑบาตก็ได้ ไม่ผิด
อาหาร ๗ รายการที่มีพุทธานุญาตไว้คืออะไรบ้าง มาช่วยกันศึกษาเรียนรู้
......................
(๑) “สังฆภัต”
คำบาลีว่า สงฺฆภตฺตํ (สังฆะภัตตัง) คำแปลเดิมว่า “ภัตถวายสงฆ์”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายไว้ว่า -
......................
สังฆภัต: อาหารถวายสงฆ์ หมายถึงอาหารที่เจ้าของนำมา หรือส่งมาถวายสงฆ์ในอารามพอแจกทั่วกัน.
......................
หมายเหตุ: สังฆภัตก็คือที่เรียกว่า สังฆทาน นั่นเอง คือถวายแก่พระทั้งหมด ไม่เจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง ทุกรูปมีสิทธิ์ได้ฉันเสมอกัน
.........................................................
แต่พึงเข้าใจว่า สังฆภัตที่ถวายเป็นสังฆทานที่ว่านี้ไม่ใช้สังฆทานตามที่คนไทยเข้าใจกันในเวลานี้ สังฆทานที่คนไทยเข้าใจกันในเวลานี้ คือถังหรือชุดที่ร้านค้าตั้งชื่อว่า “ถังสังฆทาน” หรือ “ชุดสังฆทาน” ต้องเอาถังหรือชุดที่ว่านี้ไปถวายพระจึงจะเป็นสังฆทาน ถ้าไม่มีถังหรือชุดที่ว่านี้ก็ไม่ใช่สังฆทาน นี่เป็นความเข้าใจของคนไทยในเวลานี้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดวิปริตสุดขั้วโลก
สังฆทานในพระพุทธศาสนา คือการตั้งเจตนาถวายแก่สงฆ์ ไม่จำเพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับถังหรือชุดใดๆ ทั้งสิ้น
.........................................................
(๒) “อุทเทสภัต”
คำบาลีว่า อุทฺเทสภตฺตํ (อุทเทสะภัตตัง) คำแปลเดิมว่า “ภัตเฉพาะสงฆ์”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายไว้ว่า -
......................
อุทเทสภัต: อาหารอุทิศสงฆ์หรือภัตที่ทายกถวายตามที่สงฆ์แสดงให้ หมายถึงของที่เขาถวายสงฆ์แต่ไม่พอแจกทั่วกัน ท่านให้แจกไปตามลำดับ เริ่มตั้งแต่พระสังฆเถระลงมา ของหมดแค่ลำดับไหนกำหนดไว้ เมื่อของมีมาอีกจึงแจกต่อไปตั้งแต่ลำดับที่ค้างอยู่ อย่างนี้เรื่อยไปจนทั่วกัน แล้วจึงเวียนขึ้นต้นใหม่อีก.
......................
หมายเหตุ: อุทเทสภัตก็คือสังฆภัต คืออาหารที่โยมตั้งใจถวายสงฆ์นั่นแหละ แต่เนื่องจากอาหารมีไม่พอแก่สงฆ์ทั้งหมด จึงขอให้สงฆ์คัดเลือกพระจำนวนหนึ่งเท่าที่จะถวายอาหารได้ครบ สงฆ์จะคัดเลือกพระโดยใช้เกณฑ์อะไรก็เป็นเรื่องของสงฆ์ สงฆ์คัดจัดพระเช่นไรมาก็ไม่รังเกียจรังงอนว่ารูปนี้เป็นอย่างนั้น รูปนั้นเป็นอย่างโน้น แต่ถือว่าทุกรูปเป็นตัวแทนจากสงฆ์ ยินดีพอใจถวายเต็มศรัทธา
จากอุทเทสภัตนี้ จึงเกิดธรรมเนียมอย่างหนึ่ง คือวัดต่างๆ จะมอบหมายให้พระรูปหนึ่งทำหน้าที่จัดลำดับพระในวัดเมื่อมีโยมถวายอุทเทสภัต พระที่ทำหน้าที่นี้มีชื่อเรียกว่า “ภัตตุทเทสกะ” (พัด-ตุด-เท-สะ-กะ) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้แสดงขึ้นซึ่งภัต” เรียกแบบไทยว่า “ภัตตุทเทศก์” (พัด-ตุด-เทด)
วาดภาพให้เห็นชัดขึ้น:-
.........................................................
๑ โยมนำอาหารมาถวายสงฆ์ นั่งรอถวายอยู่ในศาลา แต่อาหารไม่พอแก่พระทั้งวัด
๒ พระที่ได้รับมอบหมายให้จัดลำดับพระ ชี้บอกพระในวัดว่า รูปนี้ๆๆ ไปรับอาหารโยม
๓ พระที่ถูกชี้ก็ไปรับถวายอาหารจากโยม อาหารที่รับมาเป็นสิทธิ์ของพระที่ไปรับ
๔ อาหารเช่นนั้น เรียกว่า “อุทเทสภัต”
๕ พระที่ทำหน้าที่ชี้พระให้ไปรับถวายอาหาร เรียกว่า “พระภัตตุทเทศก์”
.........................................................
หน้าที่ของพระภัตตุทเทศก์เรียกกันง่ายๆ ว่า หน้าที่นิมนต์พระ เกณฑ์มาตรฐานที่วัดทั่วไปใช้ก็คือลำดับพรรษาหรือลำดับอาวุโส พระในวัดมีเท่าไร พระภัตตุทเทศก์เอารายชื่อขึ้นป้ายไว้ โยมมานิมนต์งานนี้พระลำดับนี้ถึงลำดับนี้ไป งานต่อไปพระลำดับนี้ถึงลำดับนี้ หมดลำดับแล้วก็ไปขึ้นต้นใหม่
มียกเว้นกรณีโยมนิมนต์แบบ “บุคลิก” บาลีคำเต็มว่า “ปาฏิปุคคลิก” แปลว่า “เฉพาะตัวบุคคล” คือโยมเจาะจงตัวพระ เช่น “งานนี้บุคลิกพระมหาทองย้อย” อย่างนี้แม้พระมหาทองย้อยจะไม่อยู่ในลำดับ ก็ต้องจัดให้ไป พอถึงงานต่อไปถ้าถึงลำดับพระมหาทองย้อย ก็ต้องจัดพระมหาทองย้อยไปตามลำดับ จะอ้างว่างานที่แล้วไปแล้ว งานนี้ไม่ต้องไป อย่างนี้หาได้ไม่
ระบบนี้เป็นระบบที่ยุติธรรม ไม่มีประเภท-รูปไหนเจ้าอาวาสโปรด ก็ได้รับนิมนต์บ่อย ทั้งนี้เพราะจะได้รับนิมนต์หรือไม่ได้รับเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ไม่ใช่ตามความพอใจของเจ้าอาวาส
ที่กล่าวมานี้เป็นระบบการรับนิมนต์ที่วัดทั่วไปปฏิบัติกันอยู่ ชาวบ้านอาจจะไม่รู้ว่าพระท่านมีระบบระเบียบแบบนี้ด้วยหรือ จึงขออนุญาตนำมาเล่าไว้เป็นความรู้
(๓) “นิมันตนภัต”
คำบาลีว่า นิมนฺตนํ (นิมันตะนัง) คำแปลเดิมว่า “การนิมนต์”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายไว้ว่า -
......................
นิมันตนะ: การนิมนต์ หรืออาหารที่ได้ในที่นิมนต์ หมายเอาการนิมนต์ของทายกเพื่อไปฉันที่บ้านเรือนของเขา.
......................
หมายเหตุ: นิมันตนะ ถ้าอนุโลมเรียกให้เข้าชุดก็เรียกได้ว่า “นิมันตนภัต” (นิ-มัน-ตะ-นะ-พ้ด) คือที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ว่า งานนิมนต์ รับนิมนต์ เรียกรวมๆ ว่า “กิจนิมนต์” งานนิมนต์ปกติก็จะถวายอาหารด้วย ดังที่พูดว่า นิมนต์ฉันเช้า นิมนต์ฉันเพล เป็นที่คุ้นกัน
พึงทราบว่า งานนิมนต์ที่เราคุ้นกันและทำกันในปัจจุบันนี้บรรยากาศคนละแบบกับ “นิมันตนะ” ของเดิมในสมัยพุทธกาล
เท่าที่ตรวจสอบ “นิมันตนะ” สมัยพุทธกาล พบว่ามีลักษณะเป็น ๓ แบบ คือ -
๑ พระที่ได้รับนิมนต์ถือบาตรตรงไปยังบ้านที่นิมนต์เพียงบ้านเดียว รับอาหาร (ซึ่งเพียงพอแก่ความต้องการ-ตามมาตรฐานคือ “เต็มบาตร”) แล้วกลับ จะหาที่นั่งฉันในระหว่างทางหรือกลับมาฉัน ณ ที่พำนักก็ได้ แต่โดยปกติจะหาที่ฉันในระหว่างทาง
๒ พระที่ได้รับนิมนต์ถือบาตรตรงไปยังบ้านที่นิมนต์เพียงบ้านเดียว เจ้าของบ้านจัดที่ให้พระนั่งฉันภายในบ้าน ฉันเสร็จ อนุโมทนาแล้วกลับ
๓ บ้านที่นิมนต์ส่งคนมารับบาตรจากที่พำนักของพระ ใส่อาหารเต็มบาตรแล้วนำกลับมาถวาย
โปรดพิจารณา จะเห็นว่า แบบ ๑ และ ๒ พระก็ยังคงออกบิณฑบาตนั่นเอง เพียงแต่ตรงไปยังบ้านที่นิมนต์เพียงบ้านเดียว ไม่ต้องเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้เหมือนบิณฑบาตตามปกติ
แบบที่ ๒ มีลักษณะใกล้เคียงกับงานนิมนต์ที่เราทำกันทุกวันนี้ แต่พึงทราบว่า สมัยโน้นเจ้าของบ้านไม่ได้จัดงานอะไร คือไม่ได้ “มีงาน” เหมือนงานนิมนต์ทุกวันนี้ แต่เป็นนิมนต์พระมารับบิณฑบาตที่บ้านเหมือนกับเราใส่บาตรกันทุกเช้านั่นเอง เพียงแต่ใส่บาตรแล้วนิมนต์ให้ท่านนั่งฉันในบ้าน (แบบ ๒) ถ้าพระไม่ประสงค์จะฉันที่บ้าน เจ้าของบ้านใส่บาตรแล้วพระท่านก็กลับทันที (แบบ ๑)
ส่วนแบบที่ ๓ โยมมาเอาบาตรไปใส่อาหารแล้วนำมาถวายที่พำนัก-ทุกวันนี้ไม่ได้ยินว่ามีใครทำกันอีกแล้ว แบบที่ ๓ นี้สันนิษฐานว่าน่าจะมีเหตุมาจากพระอาพาธ ถือบาตรไปตามบ้านคนตามปกติไม่สะดวก โยมที่ทราบเข้าต้องการจะสงเคราะห์พระ จึงเอาบาตรไปใส่อาหารนำมาถวายแทนการให้พระออกบิณฑบาต ถือว่าเป็นการนิมนต์แบบหนึ่งเหมือนกัน
งานนิมนต์นี้ มีข้อสังเกตบางประการ
เมื่อ ๗๐ ปีมาแล้วสมัยผมเป็นเด็กวัด งานบุญของชาวบ้านนิยมทำเป็น ๒ วัน คือ สวดมนต์เย็น รุ่งขึ้นเลี้ยงพระเช้า ตอนพระไปฉันเช้านี้ต้องเอาบาตรและปิ่นโตไปด้วย เป็นหน้าที่ของเราเด็กวัดสะพายบาตรหิ้วปิ่นโตตามพระไปบ้านงาน ถึงเวลางาน พระสวดถวายพรพระ คนมาร่วมงานใส่บาตร แล้วเลี้ยงพระ บาตร+ปิ่นโตเอากลับมาฉันเพล
ทำให้เห็นร่องรอยว่า พระที่ไปรับนิมันตนภัตก็ต้องออกบิณฑบาตนั่นเอง แต่ไปบิณฑบาตที่บ้านโยมนิมนต์บ้านเดียว
เห็นพระฉันที่ไหน เห็นบาตรที่นั่น
เห็นบาตรที่ไหน เห็นการออกบิณฑบาตที่นั่น
การออกบิณฑบาต การฉันอาหาร และบาตร เป็นภาพที่เกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นในวิธีครองชีพเพื่อการขัดเกลาของพระ
เคยเห็นพระระดับมหาเถระนั่งฉันภัตตาหาร
มีบาตรวางตรงหน้า
จานข้าววางบนปากบาตร
เป็นภาพที่สื่อถึงความเคร่ง+ความขลัง
ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ออกบิณฑบาตมานานนักหนาแล้ว
ของจริงในสมัยโน้น
เป็นแค่สื่อสัญลักษณ์ในสมัยนี้
เห็นแล้วก็ได้แต่ถามตัวเองว่า-เรามาถึงวันนี้ได้อย่างไร
......................
ตอนหน้า มาช่วยกันศึกษาต่ออีก ๔ รายการ
------------------
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖
๑๓:๕๙
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ