วิธีรักษาพระศาสนา (๑๕)
.........................................................
คำเตือน: เรื่องนี้น่าจะยาวหลายตอน และอาจจะจับแพะชนแกะไปตลอดเรื่อง คือเขียนไปๆ มีประเด็นพาดพิงไปถึงเรื่องอะไร ก็ยกเรื่องนั้นมาแทรก ญาติมิตรที่อ่านจึงต้องทำใจ นึกเสียว่า-อ่านตามใจคนเขียนก็แล้วกัน ไม่ได้เขียนตามใจคนอ่าน
แต่เป้าหมายปลายทางคงอยู่ที่-การชวนกันให้ช่วยกันรักษาพระศาสนา
.........................................................
มาทบทวนกันว่า “อติเรกลาโภ” ปัจจัยพิเศษที่มาแทนปัจจัยสี่มีอะไรบ้าง
๑ อาหาร: ของเดิม ได้จากการออกบิณฑบาต
“อติเรกลาโภ” อาหารที่ทรงอนุญาตเพิ่มขึ้น คือ
สงฺฆภตฺตํ ภัตถวายสงฆ์
อุทฺเทสภตฺตํ ภัตเฉพาะสงฆ์
นิมนฺตนํ การนิมนต์
สลากภตฺตํ ภัตถวายตามสลาก
ปกฺขิกํ ภัตถวายในปักษ์
อุโปสถิกํ ภัตถวายในวันอุโบสถ
ปาฏิปทิกํ ภัตถวายในวันปาฏิบท
๒ เครื่องนุ่งห่ม: ของเดิมได้จากผ้าที่เขาทิ้งแล้ว คือผ้าบังสุกุล
“อติเรกลาโภ” เครื่องนุ่งห่มที่ทรงอนุญาตเพิ่มขึ้น คือ
โขมํ ผ้าเปลือกไม้
กปฺปาสิกํ ผ้าฝ้าย
โกเสยฺยํ ผ้าไหม
กมฺพลํ ผ้าขนสัตว์
สาณํ ผ้าป่าน
ภงฺคํ ผ้าเจือกัน (เช่นผ้าด้ายแกมไหม)
๓ ที่อยู่อาศัย: ของเดิมอาศัยโคนไม้เป็นที่พำนัก
“อติเรกลาโภ” ที่อยู่อาศัยที่ทรงอนุญาตเพิ่มขึ้น คือ
วิหาโร วิหาร
อฑฺฒโยโค เรือนมุงแถบเดียว
ปาสาโท เรือนชั้น
หมฺมิยํ เรือนโล้น
คุหา ถ้ำ
๔ ยารักษาโรค: ของเดิมใช้ยาดองน้ำมูตร
“อติเรกลาโภ” ยารักษาโรคที่ทรงอนุญาตเพิ่มขึ้น คือ
สปฺปิ เนยใส
นวนีตํ เนยข้น
เตลํ น้ำมัน
มธุ น้ำผึ้ง
ผาณิตํ น้ำอ้อย
.................
มาถึงตอนนี้ชักจะเป็นวิชาการขึ้นมาแล้ว เพราะ “อติเรกลาโภ” หรือปัจจัยพิเศษที่มีพุทธานุญาตให้บริโภคใช้สอยได้นั้นชื่อเดิมเป็นคำบาลี ซึ่งจะต้องศึกษาให้เข้าใจถูกต้องตรงกันว่าหมายถึงอะไร
ยกตัวอย่าง เรื่องที่อยู่อาศัย ปัจจัยพิเศษอย่างแรกคือ “วิหาโร” ท่านแปลทับศัพท์ว่า “วิหาร”
พูดเป็นหลักการว่า -
.........................................................
พระจะไม่พำนักที่โคนไม้ตามวิธีครองชีพเพื่อขัดเกลา หากแต่พำนักในวิหารก็ได้ ไม่ผิดระเบียบ เพราะมีพุทธานุญาตไว้
.........................................................
ปัจจัยข้ออื่นๆ ก็พูดเป็นหลักการแบบเดียวกันนี้
ปัญหาที่จะต้องขบให้แตกก็คือ ปัจจัยพิเศษที่ท่านใช้คำบาลีว่าอย่างนั้นๆ หมายถึงอะไร
อย่างในตัวอย่างนี้ “วิหาโร-วิหาร” หมายถึงอะไร?
ถ้าเอาความเข้าใจในภาษาไทยเข้าไปจับ ก็จะเริ่มคลาดเคลื่อนแล้ว
ในภาษาไทย “วิหาร” หมายถึง วัด, ที่อยู่ของพระสงฆ์ ดังที่เราเอามาตั้งเป็นชื่อวัด เช่น บวรนิเวศวิหาร หรือใช้เป็นคำบอกชั้นหรือชนิดของวัดหลวง เช่น วรวิหาร ราชวรวิหาร เป็นต้น
“วิหาร” ตามความหมายนี้ก็คือที่เราเข้าใจกันในภาษาอังกฤษว่า temple หรือ monastery
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ซึ่งฝรั่ง-ที่เรียนบาลีจนแตกฉานสามารถทำพจนานุกรมบาลีได้และเป็นชาติเจ้าของภาษาอังกฤษตัวจริง-เป็นผู้ทำ ก็ไม่ได้แปลว่า “วิหาร” เป็นอังกฤษว่า temple หรือ monastery แต่ฝรั่งแปล “วิหาร” ว่าอะไร ขอให้ไปเปิดพจนานุกรมดูเอาเถิด
ที่พูดเหมือน “ยักท่า” เช่นนี้ เป็นเจตนาที่จะยั่วยุให้นักเรียนบาลีของเรามีอุตสาหะเรียนบาลีในวงกว้างขึ้นบ้าง
.........................................................
ทุกวันนี้นักเรียนบาลีของเราเรียนบาลีเพื่อเอาความรู้ไปทำข้อสอบเพื่อให้สอบได้เป็นเป้าหมายหลัก ความรู้ประดับตัวคือรู้ไว้เพื่อให้ฉลาดขึ้นในเส้นทางบาลีเป็นเพียงผลพลอยได้ ความรู้ประดับตัวนี้จะมีหรือไม่มีก็ไม่มีใครว่าอะไร ขอให้มีความรู้สอบได้เป็นสำคัญ
.........................................................
พูดอย่างนี้ก็มีเจตนาจะให้กระทบใจ ใครจะโกรธผมไม่ห่วง แต่ขอให้รู้สึกกระทบใจแบบว่า-เอ แบบนี้มันว่าเรานี่หว่า-แล้วฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง เช่นฉุกคิดว่า-เออ แล้วมันจริงหรือเปล่าหว่า-เท่านี้ก็พอใจแล้ว
การฉุกคิดจะนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขต่อไป-ผมหวังเช่นนั้น
.........................................................
มาดูความหมายของ “วิหาร” ในภาษาไทยพอเป็นตัวอย่างการศึกษากันต่อ
“วิหาร” ในภาษาไทยที่หมายถึงวัดเป็นความหมายที่คลี่คลายมาแล้ว ภาษาบาลีในสมัยเมื่อมีพุทธานุญาต “วิหาร” ไม่ได้หมายถึง “วัด” ตามห้วงนึกของคนไทยเลย
“วิหาร” อีกความหมายหนึ่งในความเข้าใจของคนไทยที่ชี้เฉพาะลงไปก็คือ “ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป, คู่กับ โบสถ์” ถ้าถือเอาตามความหมายนี้ก็คลาดเคลื่อนไปกันใหญ่เลย เพราะ “วิหาร” ที่มีพุทธานุญาตให้พระพำนักอยู่แทนโคนไม้ได้นั้น ไม่ได้หมายถึง “ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป” อย่างแน่นอน
นี่เป็นตัวอย่างเพียงคำเดียว จะเห็นได้ว่า การศึกษาสืบสวนให้เข้าใจถูกต้องตรงกันเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง
แต่การศึกษาสืบสวนให้เข้าใจถูกต้องนี่เองที่เราปล่อยปละละเลยกันมากที่สุด-โดยเฉพาะในหมู่ชาววัดเองแท้ๆ
จึงต้องขอร้อง-ร้องขอมา ณ ที่นี้ว่า ขอให้มีฉันทะอุตสาหะศึกษาหลักวิชาในพระพุทธศาสนากันให้มากๆ หน่อย
เริ่มต้นจาก “อติเรกลาโภ” ปัจจัยพิเศษ ๔ กลุ่ม ๒๓ ชนิด ที่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุบริโภคใช้สอยเพิ่มขึ้นจากปัจจัยสี่อันมีมาแต่เดิม
.........................................................
(๑) สงฺฆภตฺตํ (๒) อุทฺเทสภตฺตํ (๓) นิมนฺตนํ (๔) สลากภตฺตํ (๕) ปกฺขิกํ (๖) อุโปสถิกํ (๗) ปาฏิปทิกํ (๘) โขมํ (๙) กปฺปาสิกํ (๑๐) โกเสยฺยํ (๑๑) กมฺพลํ (๑๒) สาณํ (๑๓) ภงฺคํ (๑๔) วิหาโร (๑๕) อฑฺฒโยโค (๑๖) ปาสาโท (๑๗) หมฺมิยํ (๑๘) คุหา (๑๙) สปฺปิ (๒๐) นวนีตํ (๒๑) เตลํ (๒๒) มธุ (๒๓) ผาณิตํ
.........................................................
ชาววัด ในฐานะผู้บริโภคใช้สอย ขอร้องให้ศึกษาเพื่อจะได้รู้เข้าใจว่าเรากำลังบริโภคใช้สอยอะไร ถูกต้องตรงตามพุทธานุญาตแน่หรือ
ชาวบ้าน ในฐานะผู้อุปถัมภ์บำรุง ขอร้องให้ศึกษาเพื่อจะได้รู้เข้าใจว่าสิ่งที่เรานำมาถวายพระนั้นคืออะไร ถูกต้องตรงตามพุทธานุญาตหรือเปล่า
เวลาเห็นพระเณรประพฤติไม่ถูกไม่ควร มักจะมีเสียงบริภาษว่า “เป็นพวกทำลายศาสนา”
โปรดทราบเถิดว่า พระเณรที่ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ก็เป็นพวกทำลายศาสนาแบบหนึ่ง และชาวบ้านที่อุปถัมภ์บำรุงพระเณร แต่ไม่ศึกษาเรียนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดตามพระธรรมวินัยนั่น ก็เป็นพวกทำลายศาสนาอีกแบบหนึ่งด้วยเช่นกัน
รวมความว่า ทั้งชาววัดทั้งชาวบ้านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย แต่ไม่ศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัย ล้วนเป็นผู้มีส่วนในการทำลายศาสนาด้วยกันทั้งสิ้น เพราะพระธรรมวินัย-อันเป็นตัวศาสนา-ที่ชื่อว่าเสื่อมสูญไป ก็เพราะไม่มีใครศึกษาเรียนรู้และประพฤติปฏิบัติตามให้ถูกต้องนั่นเอง-ใช่หรือไม่
นี่เป็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครฉุกคิดกัน
.................
เมื่อมีพุทธานุญาตให้พระบริโภคใช้สอย “อติเรกลาโภ” คือปัจจัยพิเศษนอกเหนือจากปัจจัยสี่อันมีมาแต่เดิม จนถึงวันนี้ เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
มองจากข้างท้ายไป --
ยารักษาโรค: ยาดองน้ำมูตรเน่าหายไป แม้แต่เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย พระสมัยนี้ก็แทบจะไม่ใช้ในฐานะ “เภสัช” ตามพุทธานุญาตอีกแล้ว อาพาธขึ้นมา “ไปหาหมอ” พึ่งยาฝรั่งสถานเดียว
ที่อยู่อาศัย: โคนไม้หายไป พระสมัยนี้อยู่กุฏิอยู่อาคารหมดแล้ว
เครื่องนุ่งห่ม: ผ้าบังสุกุลแท้ๆ หายไปหมดสิ้น เหลือแต่ผ้าบังสุกุลเทียม พระสมัยนี้ใช้จีวรสำเร็จรูปกันทั้งนั้น เข็มเย็บผ้า-หนึ่งในอัฐบริขารมีไว้พอเป็นพิธี แต่ไม่ได้ใช้
อาหาร: ที่ได้มาจากการบิณฑบาตยังเป็นที่รู้จักเข้าใจกันพอสมควร แต่พระที่ไม่ออกบิณฑบาตมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกอย่างเป็นไปตามสภาพสังคม?
.................
เฉพาะปัจจัยที่ 1 อาหารบิณฑบาต ใช้สิทธิอะไรพระจึงไม่ออกบิณฑบาต เป็นประเด็นที่ผมตั้งไว้ในบทความชุดนี้
ตอนหน้าจะได้ว่าด้วยเรื่องนี้กันให้ละเอียด
-----------------
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖
๑๕:๕๒
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ