ศาสนสมบัติ

--------------

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไว้ว่า -

.........................................................

ศาสนสมบัติ : (คำนาม) ทรัพย์สินของพระศาสนาทั้งที่เป็นสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ มี ๒ อย่าง คือ ศาสนสมบัติกลาง และศาสนสมบัติของวัด.

ศาสนสมบัติกลาง : (คำนาม) ทรัพย์สินของพระศาสนาโดยส่วนรวม ส่วนใหญ่ได้แก่ ที่ดิน อาคาร และดอกผลที่เกิดขึ้นจากที่ดินและอาคารนั้น ๆ รวมทั้งที่ดินวัดร้างทั่วประเทศที่ทางการได้ประกาศยุบเลิกวัดแล้ว.

ศาสนสมบัติของวัด : (คำนาม) ทรัพย์สินของวัดใดวัดหนึ่งรวมทั้งปูชนียสถานที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด เช่น พระปฐมเจดีย์เป็นศาสนสมบัติของวัดพระปฐมเจดีย์ พระธาตุพนมเป็นศาสนสมบัติของวัดธาตุพนม พระธาตุดอยสุเทพเป็นศาสนสมบัติของวัดพระธาตุดอยสุเทพ.

.........................................................

หลักกฎหมาย : 

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ กำหนดเรื่อง “ศาสนสมบัติ” ไว้ดังนี้ -

.........................................................

หมวด ๖

ศาสนสมบัติ

มาตรา ๔๐ ศาสนสมบัติแบ่งออกเป็นสองประเภท

(๑) ศาสนสมบัติกลาง ได้แก่ทรัพย์สินของพระศาสนาซึ่งมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่ง

(๒) ศาสนสมบัติของวัด ได้แก่ทรัพย์สินของวัดใดวัดหนึ่ง

การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติกลาง ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อการนี้ให้ถือว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย

การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๔๑ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดทำงบประมาณประจำปีของศาสนสมบัติกลางด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้งบประมาณนั้นได้

.........................................................

“ศาสนสมบัติ” เรียกตามคำคนเก่าก็คือ “ของสงฆ์” นั่นเอง

ของสงฆ์นั้นคนโบราณท่านถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ดินในวัดติดเท้าออกมาก้อนหนึ่งท่านก็กลัวเป็นบาป จึงเป็นที่มาของประเพณีขนทรายเข้าวัด ทั้งนี้ก็ด้วยเจตนาจะชดใช้ของสงฆ์นั่นเอง 

ผลร้ายของการโกงกินของสงฆ์ คนเก่าท่านใช้คำว่า “ทำกินไม่ขึ้น” คือปลูกพืชพันธุ์อะไรลงไปก็หงิกงอหมด สมัยก่อนผู้คนทำเกษตรกรรมเป็นพื้นจึงเข้าใจความหมายได้ดี 

ความหมายของคำว่า “ทำกินไม่ขึ้น” สำหรับคนยุคนี้ก็คือ ชีวิตจะมีแต่ความวิบัติ หาความสุขความเจริญบ่มิได้เลย และมิใช่จะวิบัติเฉพาะตัวเองเท่านั้น หากแต่จะถ่ายทอดไปถึงลูกหลาน รวมไปถึงวงศาคณาญาติทั้งหมดด้วย 

จริงหรือไม่จริง

เชื่อหรือไม่เชื่อ

วิธีพิสูจน์ก็คือ ลงมือทำ

โกงของสงฆ์ 

กินของสงฆ์

มิดเม้นของสงฆ์

อยากรู้ผล เอาเลย ทำเลย

แล้วก็จะรู้เอง ไม่ต้องเชื่อใคร

คนที่ไม่เชื่อว่าการเขมือบของสงฆ์จะมีโทษมีภัยอะไรนั้น เมื่อทำลงไปแล้วเกิดความมหาวิบัติขึ้นแล้ว ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีโอกาสที่จะได้กลับมาสารภาพผิดเลยแม้แต่รายเดียว

แปลกแท้ๆ

.........................................................

ดูก่อนภราดา!

: โกงกินของสงฆ์มันเป็นบาป

: แม้จะรับสารภาพ ยมบาลท่านก็ไม่ลดราคา

.........................................................

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๖ ตุลาคม ๒๕๖๖

๑๑:๓๓

[full-post]

ศาสนสมบัติ

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.