ศึกษาเรื่องเดิม : เริ่มที่งานศพ (๙)
---------------------------------
ศึกษาคำพิจารณาผ้า
ได้นำเอาบทอภิณหปัจจเวกขณะมาเสนอเป็นการศึกษาครบแล้ว ทั้งนี้เพราะผู้ใช้คำว่า “อาราธนาพระ ... ขึ้นไปพิจารณาผ้า” อ้างว่า ใช้คำว่า “พิจารณาผ้า” เป็นการถูกต้องแล้วตามหลักอภิณหปัจจเวกขณะ กล่าวคือ
- พิจารณาขณะรับปัจจัยเครื่องใช้สอย คำพิจารณาว่า-ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ...
- พิจารณาขณะใช้สอย คำพิจารณาว่า-ปะฏิสังขา โยนิโส ...
- พิจารณาหลังจากใช้สอยแล้ว คำพิจารณาว่า-อัชชะ มะยา ...
การพิจารณาผ้าที่ทอดบนเมรุ เป็นการพิจารณาขณะรับ ใช้คำว่า “พิจารณาผ้า” จึงถูกต้องแล้ว
..................
พึงเข้าใจว่า บทอภิณหปัจจเวกขณะเป็นบทที่ใช้พิจารณาปัจจัยทั้งสี่ (จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช)
การพิจารณาปัจจัยสี่เป็นหน้าที่ของพระที่จะต้องทำทุกวัน และทำกับทุกปัจจัย ไม่ใช่ทำเฉพาะผ้า (จีวร) และไม่ใช่ทำเฉพาะเวลาที่มีงานศพและมีการทอดผ้า วันที่ไม่มีงานศพไม่ต้องทำ พระที่ไม่ได้รับอาราธนาให้ขึ้นไป “พิจารณาผ้า” ก็ไม่ต้องทำ - ไม่ใช่อย่างนี้
จะมีงานศพหรือไม่มี จะได้รับอาราธนาขึ้นไปพิจารณาหรือไม่ได้รับ ก็ต้องพิจารณาอยู่แล้วทุกวัน
นั่นแปลว่า อภิณหปัจจเวกขณะ-พิจารณาปัจจัยสี่ ไม่ได้เกี่ยวกับงานศพแต่ประการใด พระสมัยเก่าท่านสวดบทอภิณหปัจจเวกขณะทุกวัน วันละ ๒ เวลา คือเช้า-เย็น ในช่วงเวลาทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็น
..................
บทพิสูจน์ว่า พระท่านไม่ได้ขึ้นไปบนเมรุเพื่อ “พิจารณาผ้า” ก็คือ บทที่พระท่าน “ว่า” ในเวลาพิจารณานั่นเอง
ผมเข้าใจว่า เวลานี้คนส่วนมากไม่รู้ (และไม่สนใจที่จะรู้) ว่า ตอนที่พระถือตาลปัตรด้วยมือซ้าย จับผ้าด้วยมือขวา แล้วยืนนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งนั้น ท่าน “ว่า” อะไร
คำที่พระท่าน “ว่า” ในเวลาพิจารณา- มีข้อความดังนี้ -
.........................................................
อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิต๎วา นิรุชฌันติ เตสัง วูปสโม สุโข.
แปลว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีการเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา
สังขารทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
การเข้าไประงับดับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข
.........................................................
คำพิจารณาบทนี้เป็นพระพุทธพจน์ มีมาในมหาสุทัสสนสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๑๘๖ ในพระไตรปิฎกอีกหลายแห่งปรากฏเป็นคำที่ผู้อื่นนำไปกล่าวก็มี
ความจริงคำพิจารณายังมีต่อไปอีกบทหนึ่ง ข้อความเป็นดังนี้ -
.........................................................
สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะริงสุ จะ มะริสสะเร
ตะเถวาหัง มะริสสามิ นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย.
แปลว่า
สัตว์ทั้งหลายทุกหมู่เหล่า กำลังตายก็มี
ตายไปแล้วก็มี จักตาย (ต่อไปอีก) ก็มี
เราเองก็จักต้องตายเช่นเดียวกัน
ในเรื่องตายนี้เราไม่มีความสงสัยเลย
.........................................................
คำพิจารณาบทที่ ๒ นี้ยังไม่พบที่มาในพระไตรปิฎก น่าจะเป็นคำที่แต่งขึ้นในภายหลัง
สมัยที่ผมเป็นเด็กวัดหนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี (พ.ศ.๒๔๙๖-๒๕๐๐) ยืนยันได้ว่าพระสงฆ์ในพื้นถิ่นนั้นกล่าวคำพิจารณาควบกันทั้งสองบทเสมอ
คำพิจารณาที่พระท่านว่าในขณะจับผ้านั้น เป็นการพิจารณาอะไร?
พิจารณาผ้า?
หรือพิจารณาสังขาร คือชีวิต ซึ่งก็คือศพที่อยู่ตรงหน้า?
ถ้า “พิจารณาผ้า” ตามที่อ้างว่าเป็นการพิจารณาตามหลักอภิณหปัจจเวกขณะ-พิจารณาปัจจัยสี่ เป็นการพิจารณาขณะรับปัจจัย พระท่านก็ต้อง “ว่า” บท “ธา-ตุปะฏิกูละปัจจะเวกขะณะปาฐะ” บทว่าด้วยจีวร ซึ่งมีข้อความขึ้นต้นว่า -
.........................................................
ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธา-ตุมัตตะเมเวตัง
ยะทิทัง จีวะรัง ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล ...
สิ่งเหล่านี้นี่ เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจ
สิ่งเหล่านี้ คือจีวร และคนผู้ใช้สอยจีวรนั้น
.........................................................
แต่นี่ท่านว่าบท “อะนิจจา วะตะ สังขารา” ซึ่งเป็นการพิจารณาสังขาร ซึ่งก็คือพิจารณาศพนั่นเอง
พระท่านพิจารณาศพที่อยู่ตรงหน้า
แต่กลับไปเรียกว่า “พิจารณาผ้า”
ทีนี้จะอธิบายอย่างไรอีกละครับ?
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๖
๑๙:๓๓
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ