ศึกษาเรื่องเดิม - อานิสงส์กฐิน (๑)
-------------------------------
เราพูดกันทั่วไปว่า ทอดกฐินมีอานิสงส์มาก หรือทอดกฐินได้อานิสงส์มาก
ทุกวันนี้ที่ผู้คนทั้งหลายทุ่มเทช่วยเหลือสนับสนุนการทอดกฐินกันอึกทึกครึกโครม-โดยเฉพาะบริจาคเงินกันหนัก ๆ อันเป็นเหตุให้ต้องถามกันทุกวัดไปว่าทอดกฐินได้เงินเท่าไร-ก็เนื่องมาจากเชื่อกันว่าทอดกฐินได้อานิสงส์มากนี่แหละ
ถามว่า ทอดกฐินได้อานิสงส์มาก อะไรคืออานิสงส์กฐิน ได้อานิสงส์มากคือได้อะไร ได้อย่างไร
รับรองว่า ใบ้รับประทาน
พูดภาษาราชการว่า ตอบไม่ได้ ไม่ทราบ ไม่รู้
รู้แต่ว่า “ทอดกฐินได้อานิสงส์มาก” แค่นี้พอ อย่าถามเซ้าซี้ รำคาญ ไปให้พ้น ๆ รู้ว่าอะไรคืออานิสงส์กฐินก็ไม่ได้ช่วยให้น้ำมันลดราคาสักหน่อย จบ
เวลานี้เราเป็นอย่างนี้ทั่วไปหมดแล้ว มีความเชื่อ มีศรัทธาในสิ่งที่ตนทำ แต่ไม่ได้ศึกษาเรื่องเดิม ไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง-แม้ในสิ่งที่กำลังทำนั่นเอง
......................
ก่อนหาคำตอบ ลองคิดเทียบดูกับเรื่องถวายสังฆทาน
เราพูดกันว่า ถวายสังฆทานได้อานิสงส์มากกว่าบุคลิกทาน
บุคลิกทาน = ให้แก่ใครคนใดคนหนึ่งคนเดียว
สังฆทาน = ให้แก่สงฆ์ คือให้แก่ส่วนรวม
ให้แก่ใครคนใดคนหนึ่งคนเดียว คนนั้นก็ได้เสวยผลประโยชน์ไปคนเดียว คนอื่น ๆ อด
ให้แก่สงฆ์ คือให้แก่ส่วนรวม คนทั้งหลายได้เสวยประโยชน์ร่วมกัน ได้ประโยชน์แก่คนหมู่มาก
ที่ว่า “ถวายสังฆทานได้อานิสงส์มาก” เพราะมีคนเป็นอันมากได้ประโยชน์จากการให้ของเรา สังฆทานจึงมีอานิสงส์มากกว่าบุคลิกทาน เราตอบได้ว่ามีเหตุผลอย่างนี้
แล้ว-ทอดกฐินได้อานิสงส์มากล่ะ มีเหตุผลอย่างไร?
ตรงนี้แหละที่เราส่วนมากไม่ได้ศึกษาเรื่องเดิม
อาจจะมีคนยกเหตุผลนั่นนี่โน่นมาอธิบายได้ว่า นี่ไงคืออานิสงส์กฐิน แต่เชื่อได้เลยว่า เป็นอานิสงส์ที่คิดเอาเองทั้งนั้น ไม่ใช่อานิสงส์ตามเรื่องเดิมที่ท่านแสดงไว้
......................
เบื้องต้น แยกให้ชัดว่า อานิสงส์กฐินที่กำลังว่าอยู่นี้มี ๒ ส่วน คือ อานิสงส์ของผู้รับกฐิน และอานิสงส์ของผู้ทอดกฐิน
ชักงงละสิ ต้องแยกอย่างนี้ด้วยหรือ ไม่เห็นมีใครบอก
ก็-กำลังบอกอยู่นี่ไง
อานิสงส์ของผู้รับกฐิน คืออานิสงส์ที่จะได้แก่ภิกษุผู้ได้รับกฐิน หรือที่ภาษาวินัยเรียกว่า “ผู้กรานกฐิน” อานิสงส์ส่วนนี้มี ๕ ข้อ ตามที่ท่านแสดงไว้ในพระวินัยปิฎกตอนที่เรียกว่า “กฐินขันธกะ” เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า -
.........................................................
อนุชานามิ ภิกฺขเว วสฺสํ วุตฺถานํ ภิกฺขูนํ กฐินํ อตฺถริตุํ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้วได้กรานกฐิน
อตฺถตกฐินานํ โว ภิกฺขเว ปญฺจ กปฺปิสฺสนฺติ ฯ
พวกเธอผู้ได้กรานกฐินแล้วจักได้อานิสงส์ ๕ ประการ คือ:-
อนามนฺตจาโร
(๑) จาริกไปไหนไม่ต้องบอกลา
อสมาทานจาโร
(๒) จาริกไปไหนไม่ต้องนำไตรจีวรไปครบสำรับ
คณโภชนํ
(๓) ฉันคณโภชน์ได้
ยาวทตฺถจีวรํ
(๔) เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท โส เนสํ ภวิสฺสตีติ ฯ
(๕) จีวรอันเกิดขึ้น ณ ที่นั้นจักได้แก่พวกเธอ
อตฺถตกฐินานํ โว ภิกฺขเว อิมานิ ปญฺจ กปฺปิสฺสนฺติ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ ๕ ประการนี้จักได้แก่เธอทั้งหลายผู้ได้กรานกฐินแล้ว
ที่มา: กฐินขันธกะ วินยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๙๖
.........................................................
ผมเอาอานิสงส์กฐินสำหรับพระทั้ง ๕ ข้อ ไปเขียนเป็น “บาลีวันละคำ” แต่ละข้อมีความหมายอย่างไร ตามไปอ่านคำอธิบายที่ลิงก์ข้างล่างนี้ครับ
.........................................................
(๑) อนามนฺตจาโร
..................................
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid029QsjtkQRAywToDNt1MqwE9NNUhV72fWebq3fumyYQ1T8sMiDvSCTW2UgH87BxJ6cl
..................................
(๒) อสมาทานจาโร
..................................
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid02ewwp12pKRDCGsEWSa7Drwdkz9q661xPgALetkdUL6JzXhwZTSP6PxSsgAJhvKkGul
..................................
(๓/๑) คณโภชน์
..................................
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid09uAUgdyiFVCQKP8sxxLSgwDiJjpihnDKRx6H8mmx6RatUF9zonrQcEJmm38uAQmSl
..................................
(๓/๒) ปรัมปรโภชน์
..................................
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid0BPSTfWaZpiV2yc2v5SAt5y8gXr59QNR8GexUkiKJ7YkqFUyc1crf26kQMbX3nJUAl
..................................
(๔) อดิเรกจีวร
..................................
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid02GhQf6QCFMe1a4LMQngNhaVpDycp12tPM6U3c4x7vo7VGYa8qd6mNbnVSEmiZXsZtl
..................................
(๕) จีวรุปฺปาโท
..................................
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid033kUqCaJ9p8nwBrXLoCYvKMRL3wehArxYf61srvQg6tvBcDJi4cAmtd1JhTmaCBunl
.........................................................
ขณะเขียนบาลีวันละคำชุดนี้ ผมก็รำพึงกับตัวเองไปด้วยว่า งานเช่นนี้ควรเป็นภาระของชาววัด-คือพระภิกษุสามเณร-ศึกษาค้นคว้าแล้วนำมาบอกกล่าวแก่ชาวบ้าน ไม่ควรจะเป็นภาระของชาวบ้านอย่างผมต้องมาทำเอง
แต่ข้อเท็จจริงที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ พระภิกษุสามเณรของเราท่านไม่ศึกษาพระไตรปิฎก แม้ที่เรียนบาลีแท้ ๆ ก็ไม่ศึกษา
ท่านบอกกันว่า ใครจะศึกษาพระไตรปิฎกหรือไม่ศึกษา ควรเป็นไปตามอัธยาศัย-ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่แท้ ๆ เป็นหน้าที่โดยตรงด้วย
ญาติมิตรที่ติดตามผมมา จะเห็นว่า เรื่องนี้ผมพยายามกระทุ้ง กระแทก กระทบ เพื่อให้กระเทือนไปถึงแนวคิดแบบนั้น-แนวคิด-ใครจะศึกษาพระไตรปิฎกหรือไม่ศึกษา ควรเป็นไปตามอัธยาศัย ว่าเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง ต้องปรับแก้กันใหม่
แต่ไม่ได้ผลอะไร ใครจะว่าอย่างไรท่านก็คงไม่ศึกษาอยู่นั่นเอง ใครจะทำอะไรท่านได้
.........................................................
ท่านผู้ใดใครผู้หนึ่งทราบว่า มีพระภิกษุสามเณรกำลังศึกษาพระไตรปิฎกอยู่ที่ไหน พระภิกษุสามเณรเหล่านั้นท่านได้ความรู้มาแล้วก็นำมาบอกกล่าวชี้แจงแก่สังคม ท่านทำอยู่เป็นประจำ ทำอยู่ที่นั่น ทำอยู่ที่โน่น ลองตามไปดูมั่งสิ อย่ามัวแต่หลับตาพูด ...
ท่านผู้ใดใครผู้หนึ่งทราบอย่างนี้ ขอความกรุณานำมาบอกกล่าวกันมั่งนะครับ จะได้ช่วยกันอนุโมทนา ช่วยกันถวายกำลังใจ ช่วยกันถวายการอุปถัมภ์บำรุง-แบบเดียวกับที่เราช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณรที่เรียนบาลีตามสำนักต่าง ๆ นั่นเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องอะไรประเด็นไหนที่สังคมยังไม่เข้าใจ ยังเป็นปัญหาคาใจ ยังเข้าใจผิดพลาด ยังเชื่อและทำกันผิด ๆ ตั้งเป้าไว้เลยว่าจะศึกษาเรื่องนั้น ๆ ให้เข้าใจถูกต้องประจักษ์จริง แล้วนำมาบอกกล่าวชี้แจงแก่สังคม
พระภิกษุสามเณรรูปไหนสำนักไหนตั้งใจทำงานเช่นว่านี้ จะได้ช่วยกันอนุโมทนา ช่วยกันถวายกำลังใจ และช่วยกันถวายการอุปถัมภ์บำรุงให้เต็มที่
.........................................................
อานิสงส์กฐิน ยังไม่สิ้นกระแสความครับ ต้องต่ออีกตอน
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
๑๔:๕๕
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ