ไปให้ถึงยอดอริยสัจ

------------------

อริยสัจสี่เป็นหลักธรรมที่ชาวพุทธที่พอจะเรียนรู้พระพุทธศาสนาอยู่บ้างย่อมรู้จักกันดี อย่างน้อย ๆ ก็ระบุหัวข้อทั้งสี่ได้ถูก ว่าคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ผู้รู้ของไทยเราได้ย่อคำว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็น ทุ. ส. นิ. ม. เรียกว่า “หัวใจอริยสัจ” 

เคยเห็นกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานการศึกษาเอาคำย่อ ทุ. ส. นิ. ม. ไปใส่ไว้ในตราและประกาศนียบัตรด้วย

ความหมายของอริยสัจสี่แสดงเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า -

ทุกข์ คือตัวปัญหา หรือเรื่องที่จะต้องแก้ไขที่เกิดขึ้น

สมุทัย คือสาเหตหรือเบื้องหลังของปัญหา

นิโรธ คือเมื่อแก้ปัญหาได้แล้วความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นอย่างไร

มรรค คือวิธีแก้ปัญหาต้องทำอะไรอย่างไร

วิธีปฏิบัติต่ออริยสัจทั้งสี่นั้นท่านแสดงไว้ว่า -

ทุกข์ ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

สมุทัย ต้องกำจัด

นิโรธ ต้องมีเป้าหมายชัดเจนว่าทำเช่นนั้นเพื่ออะไร

มรรค ต้องลงมือทำจนเกิดผลจริง ๆ

.......................

ในบรรดาความคิดเห็นที่แสดงกันต่อสาธารณชน ถ้าสังเกตก็จะพบว่า ส่วนมากเป็นการบรรยายสภาพปัญหา พรรณนาให้เห็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้น ว่ากันละเอียดอยู่ในจุดนี้

เทียบกับอริยสัจสี่ก็คืออยู่ในขั้นบรรยายเรื่องทุกข์

อย่างดีขึ้นมาอีกก็ชี้บอกว่าสาเหตุหรือเบื้องหลังของปัญหามาจากอะไร 

นั่นคือสมุทัย

แล้วก็มักจบลงด้วยการบอกว่าสังคมไม่ควรจะมีปัญหาอย่างนี้ พร้อมกับตั้งความหวังว่าควรจะรีบแก้ปัญหาให้ลุล่วงไป 

นี่ก็คือนิโรธ

แต่จะลงมือแก้ปัญหาอย่างไร 

หนึ่ง ต้องทำอะไร ทำอย่างไร 

สอง แล้วทำอะไรต่อไป 

สาม ...

สี่ ...

ห้า ... ทำอะไร 

และที่สำคัญที่สุด ใครจะต้องเป็นคนลงมือ 

และทำอย่างไรคนที่ต้องลงมือนั้นจึงจะลงมือจริง ๆ

จุดสำคัญเหล่านี้ ผู้แสดงความคิดเห็นส่วนมากจะไม่ได้บอก

คือจบแค่นิโรธ-ตั้งความหวัง

แต่ไปไม่ถึงมรรค-ลงมือทำ

.......................

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่อุดมไปด้วยหลักคำสอนที่ดี

โลกเราไม่ได้ขาด “หลักคำสอนที่ดี” 

และไม่ได้ขาดข้อเสนอแนะที่ดีแต่ประการใดเลย

แต่โลกขาด “กลวิธี” ที่จะทำให้ผู้คนนำคำสอนและข้อเสนอแนะที่ดีไปปฏิบัติ 

เพราะเขาไม่รู้ว่ามีคำสอนที่ดีอยู่ในโลก-ก็อาจเป็นเหตุหนึ่ง 

แต่ในยุคไฮเทค ปัญหานี้ไม่น่าจะเป็นปัญหา

คือไม่ควรยากเย็นอะไรเลยที่จะทำให้ผู้คนรู้ว่ามีคำสอนที่ดีอยู่ในโลก

ขนาดนั่งอยู่คนละซีกโลกก็ยังคุยกันได้

แต่ทำอย่างไร-ใช้เทคนิคอะไร ผู้คนจึงจะเอาคำสอนดี ๆ เช่นนี้ไปปฏิบัติกันจริง ๆ

นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา 

เรายังไม่มีคำตอบชนิดที่ “เจ๋ง” จริง ๆ เอามาใช้แก้ปัญหานี้ 

นักปราชญ์หรือคนฉลาดที่จะช่วยกันคิดหาคำตอบสำหรับปัญหานี้-ทำอย่างไรผู้คนจึงจะเอาคำสอนดี ๆ ไปปฏิบัติกันจริง ๆ-ก็ดูเหมือนว่าท่านไม่ค่อยได้สนใจประเด็นนี้กันเท่าไรด้วย

ส่วนมากถนัดแต่พรรณนาปัญหา 

ชี้สาเหตุของปัญหา 

แล้วก็ตั้งความหวัง

แต่จะแก้ปัญหาอย่างไร - อาจมีคำตอบอยู่บ้าง หนึ่ง-ทำอย่างนี้ สอง-ทำอย่างนั้น

แต่พอถึงจุดที่ว่า-ใครจะเป็นคนแก้ใครจะเป็นคนทำ

ประโยคสำเร็จรูปที่นิยมพูดกันก็คือ -

“เราทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน”

แล้วจะลงมือเมื่อไร ใครจะเป็นคนลงมือ

ไม่รู้

แต่ที่แน่ ๆ-ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า

จบ

ความคิดเห็นดี ๆ ข้อเสนอแนะดี ๆ มักจะจบแบบนี้

เพราะทุกคน-แม้แต่คนที่เสนอแนะความเห็นดี ๆ นั่นเอง-มักคิดกันอย่างนี้

คนที่เอาคำสอนดี ๆ ไปปฏิบัติจริง ๆ จึงมีไม่มาก-ไม่มากพอที่จะเป็นฝ่ายนำโลกได้

.......................

อริยสัจสี่เป็นคำสอนที่ดีเลิศ

แต่เราไปกันไม่ถึงยอดของอริยสัจ-คือการลงมือปฏิบัติให้เกิดผลเป็นจริง

การนำเอาคำสอนที่ดีไปลงมือปฏิบัติอย่างถูกต้องเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาทั้งปวงได้

และวิธีที่จะเพิ่มจำนวนผู้เอาคำสอนที่ดีไปลงมือปฏิบัติก็ไม่มีวิธีไหนแน่นอนเท่ากับแต่ละคนลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอใคร

ไม่ใช่-มีแต่คนพูด บอกให้คนอื่น ๆ ทำ

แต่ไม่มีคนลงมือทำ

ต้องพูดด้วย ลงมือทำด้วย

พูดไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูด แต่ลงมือทำจริง ๆ 

ลงมือปฏิบัติจริง ๆ ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอใคร

วิธีไปให้ถึงยอดอริยสัจ-คือลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง

ไปกันหรือยังล่ะครับ-ลงมือปฏิบัติ ลงมือแก้ปัญหา

-----------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

๑๙:๑๘


[full-post]

ปกิณกธรรม,อริยสัจจ์,ทองย้อย,

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.