ค่าของพระพุทธปฏิมากับค่าของการเรียนบาลี (๑)

---------------------------------------------

พระพุทธปฏิมาหรือพระพุทธรูปนั้น ได้ยินมาว่าคนต่างศาสนาบางศาสนาเขาเรียกว่า “รูปเคารพ”

และเรียกศาสนาที่มีรูปเคารพ เช่นพระพุทธศาสนา ว่า-ศาสนาที่บูชารูปเคารพ

พระพุทธปฏิมา ในสายตาของศาสนาที่ปฏิเสธรูปเคารพ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยง และถูกมองไกลไปถึงว่า ผู้ที่เคารพพระพุทธปฏิมาเป็นมนุษย์ที่งมงายไร้สาระ

อย่าว่าถึงคนต่างศาสนาเลย แม้แต่คนที่แสดงตนอยู่ในสังกัดพระพุทธศาสนานี่เองแท้ ๆ ก็มีหลายคนหลายสำนักที่โจมตีพระพุทธปฏิมา

เคยเห็นมีผู้แสดงความเห็นว่า พระไหว้แม่ดีกว่าไหว้พระพุทธรูป

เรื่องพระพุทธปฏิมากับพระพุทธศาสนา เมื่อก่อนไม่มีปัญหา แต่คนสมัยนี้กลับไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจยังพอว่า แต่เข้าใจผิดนี่สิ ยุ่งมาก

...................

พระพุทธปฏิมาเป็นเครื่องช่วยให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ-คุณพระรัตนตรัย

พระพุทธปฏิมาอุปมาเหมือนอุปกรณ์ฝึกว่ายน้ำ

เด็กที่ว่ายน้ำไม่เป็น ลงน้ำต้องมีอุปกรณ์-เช่นห่วงยาง-ช่วยไม่ให้จมน้ำ

เมื่อว่ายน้ำเป็นแล้วก็ไม่ต้องใช้ห่วงยางอีกต่อไป

ไม่มีเด็กหัดว่ายน้ำคนไหนไม่ต้องใช้อุปกรณ์

ไม่มีนักว่ายน้ำคนไหนสวมอุปกรณ์ลงแข่งว่ายน้ำ 

เนื่องจากศักยภาพหรือที่ภาษาธรรมเรียกว่า “อินทรีย์” ของมนุษย์แต่ละคนมีไม่เท่ากัน บางคนระลึกถึงพระพุทธคุณได้โดยสติปัญญาล้วน ๆ บางคนต้องอาศัยผู้แนะนำ หรืออาศัยบางสิ่งบางอย่างเป็นสื่อชักจูง พระพุทธปฏิมาจึงเป็นประโยชน์แก่ผู้มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้าใช้เป็นสื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ

เมื่อฝึกระลึกถึงจนอินทรีย์แก่กล้าคล่องแคล่วดีแล้ว คราวนี้จะระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเมื่อไรก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยพระพุทธปฏิมาอีกต่อไป

แต่ไม่ได้แปลว่า เมื่อถึงตอนนั้นก็ให้ทำลายพระพุทธปฏิมานั้นทิ้งเสียเพราะไม่ต้องใช้เป็นเครื่องช่วยฝึกอีกแล้ว

คนที่มาข้างหลัง-ที่อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ยังมีอีกมาก

คนเหล่านั้นจะได้อาศัยพระพุทธปฏิมานั้นเป็นอุปกรณ์ช่วยระลึกถึงพระรัตนตรัย-เหมือนกับที่เราเคยได้ใช้มา-ต่อไปได้อีก

นี่คือเหตุผลที่สร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมาและดูแลรักษาพระพุทธปฏิมานั้นไว้สืบมา

พระพุทธปฏิมาทุกองค์ไม่ได้เกิดขึ้นได้เอง แต่ต้องมีผู้สร้างขึ้น

พระพุทธปฏิมาประจำที่อันมีอยู่ในแดนดินถิ่นต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้น ๆ สร้างขึ้น

ถ้าเผอิญใครจะรู้สึกขัดหูขัดตา หรือถึงขั้นเห็นว่าเป็นอัปรีย์จังไรที่มีพระพุทธปฏิมาอยู่ตรงนั้น และต้องการจะทำลายให้สูญสิ้นไป (ดังที่เคยมีผู้ทำเช่นนั้นเป็นที่รู้เห็นกันทั่วโลกมาแล้ว) ก็ขอให้ลองคิดดูว่า -

ชนชาติที่สร้างพระพุทธปฏิมาไว้ตรงนั้นตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน 

เขายินยอมยกดินแดนตรงนั้นถวายให้แก่ผู้เข้าไปครอบครองอยู่ในปัจจุบัน

หรือว่าผู้เข้าไปครอบครองดินแดนนั้นอยู่ในปัจจุบันเข้าไปรุกรานขับไล่ยื้อแย่งยึดครองดินแดนนั้นโดยอำนาจป่าเถื่อน

แล้วใช้อำนาจป่าเพื่อนนั้นทุบทำลายพระพุทธปฏิมาที่เขาสร้างขึ้นด้วยศรัทธาให้พินาศสูญสิ้น

และนั่นเป็นการกระทำของผู้เจริญแล้ว-กระนั้นหรือ?

...................

คราวนี้ย้อนกลับมาดูพระพุทธปฏิมาที่มีอยู่ในประเทศไทย 

พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นไว้ประจำที่แห่งหนึ่ง อาจถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ในที่อีกแห่งหนึ่ง 

จากวัดหนึ่งไปไว้อีกวัดหนึ่งในภูมิภาคเดียวกันก็มี

จากภูมิภาคหนึ่งไปอีกภูมิภาคหนึ่งก็มี

จากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่งก็มี

จะเรียกว่ายื้อแย่งปล้นชิงหรือจะเรียกอะไร ก็แล้วแต่จะคิดจะเรียก

แต่ย่อมกระทำด้วยศรัทธาปรารถนาจะได้ไว้สักการบูชา 

ใช้สำนวนว่า-อัญเชิญไปประดิษฐาน

เช่นพระแก้วมรกต จากประเทศนั้นประเทศนี้ ในที่สุดมาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ

เช่นพระพุทธชินราชจังหวัดพิษณุโลก ก็เคยมีความคิดจะอัญเชิญมาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ แต่เดชะเทพยดาบันดาลให้ระงับความคิดนั้นเสียได้ พระพุทธชินราชจึงยังคงประดิษฐานที่จังหวัดพิษณุโลกสืบมา

...................

ยังมีการเคลื่อนย้ายพระพุทธปฏิมาอีกวิธีหนึ่งที่นิยมประพฤติกันจนทุกวันนี้ นั่นคือวิธีโจรกรรม 

เมื่อคิดคำนึงถึงเจตนารมณ์ของการสร้างพระพุทธปฏิมาแล้ว วิธีโจรกรรมจัดว่าเป็นวิธีที่วิปริตสุดขั้วโลก

เล่าเป็นตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง-เรื่องจริงและผมอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ

พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กษัตริย์ขอม สร้างพระพุทธปฏิมาที่เรียกขานกันว่า “พระชัยพุทธมหานาค” ทั้งหมด ๒๐ กว่าองค์เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐานตามหัวเมืองที่อยู่ในอำนาจขอมในสมัยนั้น หนึ่งในเมืองเหล่านั้นคือ ชยราชปุระ หรือราชบุรีในปัจจุบัน

พระชัยพุทธมหานาคนี้ปัจจุบันเหลือแค่องค์เดียวที่วัดมหาธาตุราชบุรี ส่วน ๒๐ กว่าองค์นอกนั้นไม่เหลือแล้ว

องค์ที่อยู่ที่วัดมหาธาตุราชบุรีก็เกือบจะไม่เหลือเหมือนกัน ขโมยมายกเอาไป แต่พระที่เฝ้าอยู่ท่านเห็นเสียก่อน ยกเคลื่อนที่ไปได้ไม่ไกล ตั้งแต่นั้นมาต้องดูแลรักษากันอย่างแข็งแรง

ถามว่า ขโมยพระเอาไปทำไม?

ตอบว่า เอาไปขาย

แล้วคนรับซื้อ รับซื้อไปทำไม?

รับซื้อเอาไปขายต่อ

คนรับซื้อต่อ รับซื้อต่อเอาไปทำไม?

เอาไปขายให้เศรษฐี-นักสะสมของเก่า

แล้วเศรษฐี-นักสะสมของเก่าซื้อเอาไปทำไม?

ซื้อเอาไปดู ...

นี่สมัยทวาฯ นี่สมัยเชียงแสน 

นี่สมัยอู่ทองยุคต้น นี่อู่ทองยุคปลาย 

นี่สมัยอยุธยา นี่สมัยรัตนฯ

นี่เนื้อสัมฤทธิ์ นี่เนื้อชิน 

นี่เนื้อหินเขียว นี่เนื้อหินทรายสีชมพู 

ฯลฯ

พระเกศอย่างนั้น 

พระกรรณอย่างนี้ 

พระพักตร์อย่างโน้น

ฯลฯ

เศรษฐี-นักสะสมของเก่ารับซื้อพระที่โจรกรรมมาล้วนแต่เอามาดูในแง่ที่เรียกกันว่า “พุทธศิลป์” แบบนี้ทั้งนั้น

ไม่มีใครดูเพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นบาทฐานสำหรับเจริญวิปัสสนาเพื่อบรรลุมรรคผลต่อไป-ให้สมกับเจตนารมณ์ของการสร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมา

...................

เป็นอันว่า -

ขโมย มองพระพุทธปฏิมาเป็น “ทรัพย์”

เศรษฐี-นักสะสมของเก่า มองพระพุทธปฏิมาเป็น “ศิลป์”

ไม่มีใครมองพระพุทธปฏิมาในฐานะเป็น “สื่อ” เพื่อเข้าถึงธรรม

เขาสร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อเข้าถึงธรรม

แต่โจรกรรมพระพุทธปฏิมาเอาไปดูเป็นงานศิลปะ

ถ้าไม่เรียกว่าวิปริตสุดขั้วโลก จะเรียกว่าอะไร

พฤติกรรมแบบนี้ ผมมองเปรียบเทียบไปถึงค่านิยมการเรียนบาลีในบ้านเรา

เปรียบเทียบว่าอย่างไร

คงต้องหาโอกาสอธิบายต่อไป

------------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

๑๔:๓๕

[full-post]

ปกิณกธรรม,พุทธปฏิมา,ทองย้อย,

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.