ค่าของพระพุทธปฏิมากับค่าของการเรียนบาลี (๒)

---------------------------------------------

ถามว่า สร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมาทำไม?

ตอบว่า เพื่อเป็นสื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ

ระลึกถึงพระพุทธคุณแล้วจะได้เกิดอุตสาหะศึกษาปฏิบัติธรรมตามคำสอนเพื่อบรรลุถึงความพ้นทุกข์อันเป็นเป้าหมายของชีวิต

เศรษฐี นักสะสมของเก่า รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์-ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวหรือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติต่าง ๆ ที่เอาพระพุทธปฏิมาไปเป็นสมบัติ ไม่ว่าจะเอาไว้ดูเป็นส่วนตัว เอาไว้อวดมิตรสหาย หรือเอาไปตั้งแสดงเพื่อให้สาธารณชนเข้ามาดู --

ถามว่า-มีกี่คนที่ดูพระพุทธปฏิมาเพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณให้สมกับเจตนารมณ์ของการสร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมา?

ส่วนใหญ่-หรือแทบทั้งหมด-ดูในแง่พุทธศิลป์

และพุทธศิลป์นี้อธิบายได้เป็นหลักวิชา เขียนเป็นตำราเล่มโต เรียนถึงปริญญาโท จบดอกเตอร์ เป็นผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีโน่นทีเดียว 

เพราะฉะนั้น ใครจะว่าพุทธศิลป์ไม่มีสาระไม่ได้เด็ดขาด

ทุกฝ่ายล้วนยอมรับว่า ค่าของพระพุทธปฏิมาในแง่พุทธศิลป์นี่ต่างหากคือคุณค่าที่แท้จริง-แท้จริงยิ่งกว่าการที่จะดูพระพุทธปฏิมาให้เกิดพุทธานุสติแล้วเจริญสติปฏิบัติธรรมต่อไป-ดังที่มีผู้อธิบายไว้

การมองคุณค่าของพระพุทธปฏิมาแบบนี้แหละที่ผมเปรียบเทียบไปถึงค่านิยมการเรียนบาลีในบ้านเรา

เปรียบเทียบว่าอย่างไร?

เป้าหมายของการเรียนบาลี ก็แบบเดียวกับเป้าหมายของการสร้างพระพุทธปฏิมา

สร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมาก็เพื่อเป็นอุปกรณ์สื่อให้ระลึกถึงพุทธคุณ เหมือนเรียนบาลีก็เพื่อเอาความรู้บาลีไปใช้งานคือศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก-แหล่งรวมพระธรรมวินัยคำสอนในพระพุทธศาสนาซึ่งบันทึกไว้เป็นภาษาบาลี และเป็นแหล่งเดียวในโลกที่ใช้ภาษาบาลี

แต่แล้ว เรากลับพากันมองพระพุทธปฏิมาว่ามีคุณค่าในทางพุทธศิลป์ ไม่ได้มองว่าพระพุทธปฏิมาคือสื่อให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยตามความมุ่งหมายเดิมของการสร้างพระพุทธปฏิมา

เหมือนอะไร?

เหมือนค่านิยมการเรียนบาลีในบ้านเราเวลานี้

ทุกวันนี้นักเรียนบาลีในบ้านเรามองคุณค่าของบาลีในแง่ที่เป็นวุฒิทางการศึกษา เรียนบาลี สอบให้ได้ เป็นพระประโยค ๙ เป็นสามเณรนาคหลวง แล้วก็จะได้ศักดิ์และสิทธิ์เช่นนั้น ๆ

เราคิดกันแค่นี้

แต่ไม่มีใครคิดถึงการเอาความรู้บาลีไปใช้งานคือศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก-แหล่งรวมพระธรรมวินัยคำสอนในพระพุทธศาสนา ตามความมุ่งหมายเดิมของการเรียนบาลี-เหมือนไม่มีใครมองคุณค่าของพระพุทธปฏิมาว่าคือสื่อให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย

การมองคุณค่าของพระพุทธปฏิมาในแง่พุทธศิลป์นั้น ใครจะมาบอกว่าไม่มีสาระ ไม่ได้เด็ดขาด คุณค่าทางศิลปะเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ฉันใด

การยึดเอาคุณค่าของบาลีในแง่ที่เป็นวุฒิทางการศึกษา เรียนแล้วได้ศักดิ์และสิทธิ์ ก็ฉันนั้น ใครจะมาบอกว่าผิด ไม่ได้เด็ดขาด ศักดิ์และสิทธิ์ของผู้จบบาลีเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก 

การจะไปบอกผู้ครอบครองพระพุทธปฏิมาให้มองพระพุทธปฏิมาในฐานะเป็นสื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเถิด ดังนี้ เป็นเรื่องยากที่ผู้ครอบครองพระพุทธปฏิมาจะยอมรับแล้วปฏิบัติตาม ฉันใด

การจะไปบอกนักเรียนบาลีให้เรียนบาลีเพื่อเอาความรู้ไปใช้งานคือศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกกันเถิด ก็ฉันนั้น เป็นเรื่องยากที่นักเรียนบาลีบ้านเราจะยอมรับแล้วปฏิบัติตาม 

...................

แล้วจะทำอย่างไรกัน?

ก็-ไม่ต้องทำอะไร

สภาพที่เกิดขึ้นแล้วในเวลานี้ก็คือ ไม่มีใครทำอะไร ซึ่งก็คือ-อยู่กันไปอย่างที่เป็นอยู่นี่แหละ ไม่ต้องทำอะไร

ใครจะมองพระพุทธปฏิมาในแง่พุทธศิลป์ ก็ปล่อยให้มองไป ไม่ต้องไปชักชวนหรือชักจูงให้มองพระพุทธปฏิมาเป็นสื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย-ตามเจตนาของการสร้างพระพุทธปฏิมา

ใครจะเรียนบาลีเพื่อให้ได้วุฒิทางการศึกษา ได้เป็นพระประโยค ๙ ได้เป็นสามเณรนาคหลวง ได้ศักดิ์และสิทธิ์จากการเรียนบาลี ก็ปล่อยให้เรียนไป เรียนแบบนี้อธิบายประโยชน์ได้ตั้งร้อยแปดพันประการ ไม่ต้องไปชักชวนหรือชักจูงให้เรียนบาลีเพื่อไปทำงานศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกให้เหนื่อยแรง 

ใครจะมองพระพุทธปฏิมาว่าเป็นสื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย ควรจะให้เป็นไปตามอัธยาศัย ไม่ต้องไปบังคับกะเกณฑ์หรือไปพูดจูงใจอะไรกัน ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ มีอิสระที่จะคิดได้เอง

ใครจะเรียนบาลีเพื่อศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกก็เช่นเดียวกัน ควรจะให้เป็นไปตามอัธยาศัย ไม่ต้องไปบังคับกะเกณฑ์หรือไปพูดจูงใจอะไรกัน ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ มีอิสระที่จะคิดได้เอง

นี่คือความเหมือนกันระหว่างการมองคุณค่าของพระพุทธปฏิมากับการมองคุณค่าของการเรียนบาลี

ทุกวันนี้เราปล่อยให้เป็นไปแบบนี้

...................

เท่าที่ผมทราบ ในเมืองไทยเรานี้มีทองย้อยคนเดียวที่ตะโกนโหวกเหวกบอกนักเรียนบาลีให้เอาความรู้บาลีไปทำงานบาลี-คือศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก 

ในฐานะเป็นคนเดียวที่ทำแบบนี้ ผมมีข้อสังเกตผลจากการร้องตะโกนโหวกเหวกแบบนี้ นั่นก็คือ นักเรียนบาลีบ้านเราไม่ยอมเข้าใจ

.........................................................

นักเรียนบาลีบ้านเราพากันเข้าใจว่า ถ้าเรียนบาลีเพื่อศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก ก็จะต้องสลัดทิ้งศักดิ์และสิทธิ์ที่เคยได้จากการเรียนบาลี ต้องวางศักดิ์ศรีประโยค ๙ ต้องลืมศักดิ์ศรีสามเณรนาคหลวง รวมความว่าต้องสูญเสียผลประโยชน์ทั้งปวงที่เคยได้ นั่นคือชีวิตนี้ต้องไม่มี ไม่ได้ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น

แล้วใครจะยอม? 

.........................................................

นี่คือความเข้าใจผิดชนิดสุดขั้วโลก

เรียนบาลีเพื่อศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก ไม่ทำให้ใครสูญเสียอะไรที่เคยมีเคยได้แม้เพียงปลายขนทราย

ศักดิ์และสิทธิ์จากการเรียนบาลี ศักดิ์ศรีประโยค ๙ ศักดิ์ศรีสามเณรนาคหลวง ผลประโยชน์ทั้งปวงที่เคยได้ ยังคงได้ครบถ้วน นักเรียนบาลียังมุ่งหน้าไปหาสิ่งเหล่านี้ได้เต็มกำลังเหมือนเดิม การเรียนบาลีเพื่อศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกไม่กระทบผลประโยชน์เหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้าม เรียนบาลีเพื่อศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก ผลประโยชน์เหล่านี้มีแต่จะเพิ่มพูนทวีตรีคูณยิ่ง ๆ ขึ้นไป

สังคมมีแต่จะอนุโมทนาสาธุการ -

.........................................................

สาธุ ท่านจบประโยค ๙ ด้วย 

ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกทำงานรักษาพระศาสนาด้วย

พระเณรอย่างนี้หาได้ยาก

เมืองไทยเราโชคดีที่มีพระเณรอย่างนี้อยู่ทั่วไป

.........................................................

แปลกมากที่นักเรียนบาลีบ้านเรามองความจริงข้อนี้ไม่เห็น คิดแบบนี้ไม่เป็น

สำนักเรียนทุกแห่ง ครูสอนบาลีทุกรูป ล้วนแต่บอกนักเรียนว่า ปลายทางของการเรียนบาลีอยู่ที่สอบประโยค ๙ ได้ ถนนสายบาลีสิ้นสุดแค่สอบประโยค ๙ ได้

.........................................................

เรียนบาลีคือเรียนวิธีรักษาพระศาสนา สอบประโยค ๙ ได้คือต้นทางแห่งการรักษาพระศาสนา ถนนสายบาลีไม่ได้สิ้นสุดแค่นี้ แต่ยังมีต่อไปอีกยาวไกล ผู้เรียนบาลีเพื่อศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกยังคงได้รับศักดิ์และสิทธิ์ทั้งปวงเหมือนเดิมและมีแต่จะมากกว่าเดิม และที่มากขึ้นอย่างวิเศษสุดก็คือ ได้ทำงานสืบอายุพระศาสนาเป็นยอดแห่งมหากุศล

ศักดิ์และสิทธิ์เพื่อประโยชน์ชาตินี้ ก็ยังได้ยังมีเหมือนเดิม

เพิ่มพูนขึ้นด้วยงานบุญสืบอายุพระศาสนาเพื่อประโยชน์ชาติหน้าและทุกภพทุกชาติ

.........................................................

ความข้อนี้ ถ้าสำนักเรียนทุกแห่ง ครูสอนบาลีทุกรูป บอกนักเรียนบาลีไปตั้งแต่เริ่มเรียน บอกกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนทุกคนเห็นประจักษ์ใจว่านี่คือหัวใจของการเรียนบาลี ...

ถ้าช่วยกันพูด ช่วยกันทำอย่างนี้

บาลีก็จะมีค่าสูงกว่าเป็นแค่วุฒิการศึกษา

เหมือน-พระพุทธปฏิมามีค่าสูงกว่าเป็นแค่พุทธศิลป์ 

-------------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

๑๖:๔๕

ปกิณกธรรม,พุทธปฏิมา,ทองย้อย,

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.