เพราะโลกเปลี่ยนไป

------------------

เวลาเห็นใครทำอะไรที่แปลกไปจากที่คนทั้งหลายเคยทำกันมา แล้วมีใครแสดงความฉงนสนเท่ว่า ทำไมจึงทำอย่างนั้น หรือทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ก็จะมีคนออกมาบอกเหตุผลว่า-เพราะโลกเปลี่ยนไป

น่าจะมีคนเป็นอันมากเห็นด้วยกับเหตุผลนี้ 

และน่าจะมีคนเห็นด้วยมากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยเฉพาะเวลาเห็นพระภิกษุสามเณรสมัยนี้ทำอะไรบางอย่าง-หลายอย่าง ที่ไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ก็จะมีคนออกมาแสดงเหตุผลอย่างหนักแน่นว่า-เพราะโลกเปลี่ยนไป 

การออกมาแสดงเหตุผลอย่างหนักแน่นเช่นนี้ เหมือนกับจะบอกว่า การที่พระภิกษุสามเณรสมัยนี้ทำอะไรไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะโลกเปลี่ยนไป

ไม่ควรฉงนสนเท่ 

แต่ควรจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นต่อไป 

พระภิกษุสามเณรต้องปรับตัวตามโลก 

และการปรับตัวตามโลกย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ถ้า-เพราะโลกเปลี่ยนไป-เป็นเหตุผล และการที่พระภิกษุสามเณรทำอะไรไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ยอมรับได้ เพราะต้องปรับตัวตามโลก-เป็นเหตุผลที่เรายอมรับกันว่าถูกต้อง 

ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ควรจะต้องสงสัยอีก่อไปว่า ในห้วงเวลาที่พระพุทธศาสนาจะเสื่อมสูญ-ที่ท่านใช้คำว่า “อันตรธาน” พระภิกษุมีครอบครัวประพฤติตัวเหมือนชาวบ้าน ทำไมสังคมสมัยนั้นจึงยังยอมรับว่า “ทำแบบนั้นก็ยังเป็นพระอยู่”

.........................

ท่านว่า พระพุทธศาสนาของเรานี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไปก็จะเกิดอันตรธาน คือเสื่อมสูญไปตามลำดับ กล่าวคือ 

     (๑) อธิคมอันตรธาน การบรรลุมรรคผลหายไป

    (๒) ปฏิปัตติอันตรธาน การปฏิบัติธรรมหายไป

    (๓) ปริยัตติอันตรธาน การเล่าเรียนธรรมหายไป

    (๔) ลิงคอันตรธาน เพศสงฆ์หายไป

    (๕) ธาตุอันตรธาน พระบรมสารีริกธาตุหายไป

“ลิงคอันตรธาน” หรือ “การสูญหายไปแห่งเพศสงฆ์” คัมภีร์อรรถกถาบรรยายไว้ดังนี้ -

.........................................................

คจฺฉนฺเต  คจฺฉนฺเต  กาเล  จีวรคหณํ  ปตฺตคหณํ  สมฺมิญฺชนปสารณํ  อาโลกิตวิโลกิตํ  น  ปาสาทิกํ  โหติ

เมื่อกาลล่วงไป ๆ การครองจีวร การถือบาตร การคู้ การเหยียด การแลดู การเหลียวดู ก็ไม่เป็นที่นำมาซึ่งความเลื่อมใส

.........

........

จีวรํปิ  รชนสารุปฺปํ  อกตฺวา  โอฏฺฐฏฺฐิวณฺณํ  กตฺวา  วิจรนฺติ  ฯ

แม้จีวรก็ไม่ย้อมให้ถูกต้อง ห่มจีวรสีแดงกันทั่วไปหมด

.........

........

คจฺฉนฺเต  คจฺฉนฺเต  กาเล  โก  อิมินา  อมฺหากํ  อตฺโถติ  ขุทฺทกํ  กาสายขณฺฑํ  หตฺเถ  วา  คีวายํ  วา  พนฺธนฺติ  เกเสสุ  วา  อลฺลิยาเปนฺติ  ...

เมื่อกาลล่วงไป ๆ ก็คิดว่า พวกเราจะต้องครองผ้าเช่นนี้ไปทำไม จึงผูกผ้ากาสายะชิ้นเล็ก ๆ เข้าที่มือ หรือที่คอ หรือขอดไว้ที่ผม 

ทารภรณํ  วา  กโรนฺตา  กสิตฺวา  วปิตฺวา  ชีวิตํ  กปฺเปนฺตา  วิจรนฺติ  ฯ

พากันมีภรรยาบ้าง ประกอบการไถหว่าน (และทำกิจอื่น ๆ) เลี้ยงชีพบ้าง 

ตทา  ทกฺขิณํ  เทนฺโต  ชโน  สํฆํ  อุทฺทิสฺส  เอเตสํ  เทติ  ฯ

ในครั้งนั้น คนที่จะถวายทักขิณาทาน ย่อมถวายให้แก่คนครองเพศเช่นนั้นโดยตั้งใจว่าถวายสงฆ์

ที่มา: มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย ภาค ๑ หน้า ๑๒๐-๑๒๑

.........................................................

นั่นก็คือ พระประพฤติถึงขนาดนั้น สังคมสมัยนั้นก็ยอมรับว่า “ยังเป็นพระอยู่” 

และแน่นอน สังคมสมัยนั้นย่อมจะอ้างเหตุผลเช่นเดียวกับที่เรากำลังอ้างกันอยู่ในวันนี้ว่า-เพราะโลกเปลี่ยนไป

.........................

พระเมื่อ ๗๐ ปีที่ผ่านมา ท่านก็ทำงานโยธา เลื่อยไม้ ไสกบ ซ่อมศาลา ปีนขึ้นไปมุงหลังคากุฏิ ฯลฯ 

แต่ท่านยังคงนุ่งสบงทรงอังสะในขณะทำงาน

แต่พระวันนี้ ทำงานโยธา ใส่เสื้อนุ่งกางเกงเหมือนชาวบ้าน-เพียงแต่เป็นสีเหลือง อ้างว่าเพื่อความคล่องตัว 

ไม่มีใครเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ก็ด้วยเหตุผล-เพราะโลกเปลี่ยนไป

เพราะฉะนั้น ถ้าพระอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า ฉันภัตตาหารมื้อเย็นกันทั่วไป เราก็ทายได้ว่า สังคมอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้าก็ย่อมจะไม่มีใครเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุผล-เพราะโลกเปลี่ยนไป 

เช่นเดียวกับที่เรากำลังอ้างกันอยู่ในวันนี้นั่นเอง

.........................................................

ถ้าไม่รักษาวิถีชีวิตสมณะให้มั่นคง

จะไม่ใช่แค่เพศสงฆ์อันตรธาน

หากแต่จะแหลกลาญหมดทั้งพระศาสนา

.........................................................

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๓๐ มกราคม ๒๕๖๗

๑๑:๒๒ 

[full-post]

ปกิณกธรรม,โลก,หมุนเวียน,เปลี่ยนไป

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.