เราจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร

-------------------------------------

ถ้าศึกษาต้นบัญญัติสิกขาบทหรือศีลของพระ จะพบว่ามีสิกขาบทจำนวนมากที่เกิดจากคำตำหนิของชาวบ้านว่า “พระทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างไปจากชาวบ้าน” หรือ “พระทำอย่างนี้ก็เหมือนชาวบ้านนี่เอง”

เราจึงน่าจะจับหลักได้ว่า วิถีชีวิตของพระต่างจากชาวบ้าน 

อะไรที่พระทำลงไปแล้วชาวบ้านรู้สึกว่า-ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากชาวบ้าน นี่ต้องระวัง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะมีพุทธบัญญัติห้ามไว้หรือไม่ก็ตาม

แน่นอนว่า การดำรงชีพของพระกับชาวบ้าน หลาย ๆ อย่างทำเหมือนกัน เช่นต้องกิน ต้องนอน ต้องใช้สอยปัจจัยสี่เหมือนกัน 

หลาย ๆ อย่างที่ชาวบ้านเขาทำกันอย่างไร 

พระก็ต้องทำอย่างนั้น 

แต่ก็มีอีกหลาย ๆ อย่างที่ชาวบ้านเขาทำได้ 

แต่พระทำไม่ได้ 

และหลาย ๆ อย่างที่-ถ้าพระไปทำเข้า ก็จะเป็นที่มาของคำพูดที่ชาวบ้านเขาพูดกันว่า-พระทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเราชาวบ้าน

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า พระจะดำรงรักษา “ภาวะที่ต่างจากชาวบ้าน” ไว้ได้หรือเปล่า หรือดำรงรักษาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน 

ถ้าดำรงรักษาไว้ได้มาก 

ชาวบ้านก็เคารพนับถือมาก 

เหตุผลที่เคารพนับถือมากก็คือ-พระท่านทำได้ แต่เรายังทำไม่ได้เหมือนท่าน เราจึงควรเคารพนับถือและสนับสนุนส่งเสริมท่าน

แต่ถ้าดำรงรักษาไว้ได้น้อย 

ความเคารพนับถือของชาวบ้านก็จะน้อยลงไป 

เหตุผลที่เคารพนับถือน้อยลงไปก็คือ-พระก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเรา แล้วจะต้องเคารพนับถือไปทำไม

...........................

หลักอีกอย่างหนึ่งที่ควรจะได้จากการศึกษาพระธรรมวินัยก็คือ อะไรก็ตามที่-ถ้าไม่ต้องบวชก็ทำได้ นี่ต้องระวัง 

ทุกวันนี้เราจะเห็นว่า พระทำนั่นนี่โน่นหลายอย่าง โดยเหตุผลว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม 

แต่มักจะไม่ค่อยมีใครตั้งคำถามว่า นั่นนี่โน่นที่พระท่านทำ และอ้างว่า-หรือมีผู้ยอมรับว่า-เป็นประโยชน์ต่อสังคม-นั้น ถ้าไม่บวช ทำได้ไหม 

หรือว่าต้องบวชเท่านั้นจึงจะทำได้ ไม่บวชทำไม่ได้

๑ สิ่งนั้น บวชหรือไม่บวชก็ทำได้

๒ สิ่งนั้น ต้องบวชเท่านั้นจึงจะทำได้ ไม่บวชทำไม่ได้

ถ้ายกสองเรื่องนี้ขึ้นมาถาม ก็จะกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่ง 

นั่นคือประเด็นที่ว่า-พระพุทธเจ้าทรงตั้งคณะสงฆ์ให้คนเข้ามาบวชเพื่อทำอะไรกัน?

ถ้าสิ่งนั้น บวชหรือไม่บวชก็ทำได้ 

พระพุทธเจ้าจะทรงตั้งคณะสงฆ์ให้คนเข้ามาบวชทำไม-ในเมื่อไม่บวชก็ทำสิ่งนั้นได้อยู่แล้ว?

ถ้าสิ่งนั้น ต้องบวชเท่านั้นจึงจะทำได้ ไม่บวชทำไม่ได้

บวชแล้วไม่ทำสิ่งนั้น แต่ไพล่ไปทำสิ่งอื่น ๆ-ซึ่งแม้ไม่บวชก็ทำได้

แบบนี้ จะเข้ามาบวชทำไม?

นี่คือประเด็นที่ต้องคิด

...........................

เรื่องบวชแล้วทำอะไรหรือไม่ทำอะไร นี่สำคัญมาก 

เพราะเป็นการตอบคำถามว่า เราจะรักษาพระศาสนาไว้ได้อย่างไร 

บวชแล้วไม่ทำสิ่งที่ต้องทำ แต่ไปทำสิ่งที่-แม้ไม่บวชก็ทำได้ 

ถ้าเป็นแบบนี้ทั่วไปหมด เราจะรักษาพระศาสนาไว้ได้หรือ?

และประการสำคัญ ทำอย่างไรที่จะไม่ให้-สิ่งที่เรารักษากันมาและจะรักษากันต่อไปนั้น ลงท้ายกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ “คำสอนของพระพุทธเจ้า”

.........................................................

อย่าลืมว่า พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้า

.........................................................

เวลานี้มีแนวคิดว่า สมัยนี้เป็นสมัยปุถุชน ไม่มีพระอริยะแล้ว เพราะฉะนั้นจะมาเกณฑ์ให้ปุถุชนต้องทำอะไร ๆ เหมือนพระอริยะไม่ได้หรอก มีพระไว้รักษาวัดก็ดีเท่าไรแล้ว ศีลข้อไหนรักษาได้ก็รักษาไป ข้อไหนรักษาไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป 

สรุปว่า การเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่จำเป็นต้องตั้งมาตรฐานไว้ที่-ต้องมุ่งปฏิบัติขัดเกลาตนเองเพื่อบรรลุมรรคผล-เสมอไป

เชื่อว่าแนวคิดนี้คงมีคนเห็นด้วยเยอะ

เห็นด้วยกับการลดมาตรฐานของการบวชลงมา

.........................................................

“เราควรพัฒนาศักยภาพของเราขึ้นไปหามาตรฐาน

ไม่ใช่ลดมาตรฐานลงมาให้เท่ากับศักยภาพของเรา”

ผมเชื่ออย่างนี้

.........................................................

แม้เราจะยังพัฒนาตัวเองขึ้นไปถึงมาตรฐานไม่ได้ แต่ก็ควรจะรักษามาตรฐานเอาไว้ให้ได้ เพื่อที่ว่า-คนที่เกิดมาภายหลังจะได้เห็นมาตรฐานนั้น-เหมือนกับที่เราเคยเห็น

ใครมีวิริยะอุตสาหะ ก็จะได้พัฒนาตัวเองขึ้นไปสู่มาตรฐานนั้นต่อไป

และนั่นคือวิธีที่จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างถูกต้อง

พระพุทธศาสนาคือคำสั่งสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า ย่อมดำรงอยู่และดำเนินไปได้ ด้วยประการฉะนี้

-----------

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

๑๗:๓๕


[full-post]

ปกิณกธรรม,พุทธศาสนา,ทองย้อย,

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.