ภายในวันนั้น ไม่ใช่ภายใน ๗ วัน (๒)
------------------------------
ทบทวนนิดหนึ่งว่า ฆราวาสชาวบ้านธรรมดาสามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลคือบรรลุธรรมได้ทุกระดับ
บรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบันก็ได้
บรรลุมรรคผลเป็นพระสกทาคามีก็ได้
บรรลุมรรคผลเป็นพระอนาคามีก็ได้
บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ก็ได้
แต่เฉพาะระดับพระอรหันต์ มีเงื่อนไข
คือถ้าเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ ก็ดำรงชีพต่อไปเป็นปกติ ธาตุขันธ์เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ระดับจิตอยู่ในอริยภูมิชั้นสูงสุด คือเป็นพระอรหันต์
แต่ฆราวาส ถ้าบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ ท่านว่าจะมีคติเป็น ๒ คือ -
๑ ถือเพศเป็นบรรพชิตในวันนั้น และดำรงชีพต่อไปในเพศบรรพชิต หรือ -
๒ ถ้าไม่ถือเพศเป็นบรรพชิต ก็จะนิพพานในวันนั้น
ทั้ง ๒ เงื่อนไขนี้เป็นเหตุที่จะต้องเกิด “ในวันนั้น” เท่านั้น
ถ้าบวช ก็ต้องบวชในวันนั้น
ถ้าไม่บวช ก็ต้องนิพพานในวันนั้น
ไม่ใช่ภายใน ๗ วันอย่างที่เข้าใจผิดและเอาไปบอกกล่าวเผยแพร่กันผิด ๆ
และกรุณาจับหลักให้ถูกด้วยนะครับ
ถ้าบวชในวันนั้นได้ ก็ดำรงชีพอยู่ต่อไปเป็นปกติ
ไม่ใช่ว่าบวชในวันนั้น แล้วอยู่ไปอีก ๗ วันจึงนิพพาน
ถ้าไม่บวชในวันนั้นก็ต้องนิพพานในวันนั้น
ไม่ใช่อยู่ไปได้อีก ๗ วันแล้วนิพพาน
ที่ว่ามานี้ว่าตามหลักฐานในคัมภีร์ ไม่ได้ว่าเอาเอง
หลักฐานในคัมภีร์ท่านแสดงไว้ดังนี้ -
.........................................................
เยปิ หิ สนฺตติมหามตฺโต อุคฺคเสโน เสฏฺฐิปุตฺโต วีตโสกทารโกติ คิหิลิงฺเค ฐิตาว อรหตฺตํ ปตฺตา ฯ
แม้บุคคลที่ดำรงเพศคฤหัสถ์ คือ สันตติมหาอำมาตย์ อุคคเสนะเศรษฐีบุตร วีตโสกทารกะ ก็บรรลุพระอรหัตได้
เตปิ มคฺเคน สพฺพสงฺขาเรสุ นิกนฺตึ สุกฺขาเปตฺวาว ปตฺตา ฯ
บุคคลเหล่านั้นยังความติดใจในสังขารทั้งปวงให้เหือดหายไปด้วยมรรคแล้วบรรลุ (-ธรรมเป็นพระอรหันต์) ได้
ตํ ปตฺวา ปน น เตน ลิงฺเคน อฏฺฐํสุ ฯ
แต่เมื่อบรรลุแล้วก็ไม่ดำรงอยู่ด้วยเพศนั้น
คิหิลิงฺคํ นาเมตํ หีนํ ฯ
อันว่าเพศคฤหัสถ์นี้เป็นเพศต่ำ
อุตฺตมคุณํ ธาเรตุํ น สกฺโกติ ฯ
ไม่สามารถทรงคุณอันสูงสุด (คือความเป็นพระอรหันต์) ไว้ได้
ตสฺมา ตตฺถ ฐิโต อรหตฺตํ ปตฺวา ตํทิวสเมว ปพฺพชติ วา ปรินิพฺพาติ วา ฯ
เพราะฉะนั้น ผู้อยู่ในเพศคฤหัสถ์บรรลุพระอรหัตแล้ว ย่อมบวชหรือปรินิพพานในวันนั้นเอง
ที่มา: ปปัญจสูทนี (อรรถกถามัชฌิมนิกาย) ภาค ๓ หน้า ๒๒๓ (เตวิชชวัจฉสุตตวัณณนา)
.........................................................
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=240
.........................................................
คำที่เป็นหลักฐานสำคัญคือ “ตํทิวสเมว ปพฺพชติ วา ปรินิพฺพาติ วา”
ปพฺพชติ แปลว่า ย่อมบวช
ปรินิพฺพาติ แปลว่า ย่อมปรินิพพาน
วา แปลว่า หรือว่า
ปพฺพชติ วา ปรินิพฺพาติ วา แปลว่า ย่อมบวชหรือย่อมปรินิพพาน
“ตํทิวสเมว” อ่านว่า ตัง-ทิ-วะ-สะ-เม-วะ แยกศัพท์เป็น ตํ + ทิวสํ + เอว
ตํ แปลว่า นั้น that
ทิวสํ แปลว่า วัน day
เอว แปลว่า นั่นเทียว only
“ตํทิวสเมว” แปลว่า “ในวันนั้นนั่นเทียว” in that day only
........................
ตามหลักฐานที่ยกมา เป็นอันยืนยันได้ว่า ฆราวาสบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ ย่อมบวชหรือไม่ก็ปรินิพพานภายในวันนั้น
ไม่ใช่ภายใน ๗ วัน
ท่านผู้ใดมีหลักฐานว่า ฆราวาสบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ ย่อมบวชหรือไม่ก็ปรินิพพานภายใน ๗ วัน ไม่ใช่ภายในวันนั้น
ก็สามารถยกหลักฐานมาแสดงเป็นการยืนยันได้
ที่ทำกันอยู่ตอนนี้คือพูดกันขึ้นมา เขียนกันออกไป แต่ไม่ได้บอกว่า ที่ว่า “ภายใน ๗ วัน” นั้น ไปเอามาจากไหน ใครพูด มีหลักฐานอยู่ที่ไหน คนที่พูดขึ้นก่อนไปเห็นหลักฐานที่ไหนจึงเอามาพูด หรือพูดเอาเองเข้าใจเอาเอง-โดยไม่เคยเห็นไม่เคยอ่านไม่เคยศึกษาคัมภีร์ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย ซึ่งเป็นหลักฐานเก่าที่สุดรองลงมาจากพระไตรปิฎก
หรือใครมีหลักฐานว่า ในพระไตรปิฎกบอกไว้ว่า “ภายใน ๗ วัน” ก็ยกข้อความในพระไตรปิฎกมาให้ดูกัน เราจะได้รู้กันว่า คัมภีร์ปปัญจสูทนีขัดแย้งกับพระไตรปิฎก
ถ้าในพระไตรปิฎกไม่มีบอกไว้-ภายใน ๗ วัน หรือภายในวันนั้น-ไม่มีบอกไว้ที่ไหนเลย ก็ต้องยึดเอาคัมภีร์ปปัญจสูทนีเป็นหลักฐาน
ใครสงสัยว่า คัมภีร์ปปัญจสูทนีไปเอาข้อมูลมาจากไหนว่า “ภายในวันนั้น” ก็สามารถศึกษาสอบค้นต่อไปได้ ไม่จำเป็นจะต้องเชื่อตามคัมภีร์
ตรงนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ควรพูดกันให้เข้าใจและมองกันให้ถูก
คือมีบางท่านประชดประชันหรือกระแหนะกระแหนคนที่อ้างคัมภีร์ว่า “พวกติดคัมภีร์” “พวกยึดคัมภีร์” “นักคัมภีร์” แล้วก็อ้างกาลามสูตรสำทับว่า พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ยึดคัมภีร์
ควรพูดกันให้เข้าใจและมองกันให้ถูกว่า เราศึกษาคัมภีร์และอ้างอิงคัมภีร์พระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาในฐานะเป็น “หลักฐาน” บันทึกคำสอนคือพระธรรมวินัยที่เรามีอยู่
เราต้องอ้างเพราะนั่นคือหลักฐานที่เรามีอยู่ เป็นการยืนยันว่าพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนานั้นเราไม่ได้พูดเอาเองคิดเอาเอง แต่เราพูดตามหลักฐาน
แต่เราจะเชื่อหลักฐานหรือจะไม่เชื่อ ตลอดจน-หลักฐานนั้นเชื่อได้หรือไม่ เป็นสิทธิของเราที่จะพิจารณาตรวจตราไตร่ตรอง ไม่มีใครที่ไหน-รวมทั้งตัวหลักฐานนั้นเอง-ที่บังคับให้เราเชื่อ ถ้าไม่เชื่อจะถูกลงโทษ จะตกนรก
ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาที่สับสนวุ่นวายเข้าใจไม่ตรงกันอยู่ในทุกวันนี้ล้วนเกิดมาจากต่างคนต่างพูด แต่ไม่ศึกษาไปให้ถึงหลักฐานต้นฉบับก่อน
เรื่องเดียวกัน แต่พูดกันไปร้อยคนพันคน กลายเป็นร้อยพันประเด็น
อ้างคัมภีร์ที่เดียว เรื่องก็จบ
ถ้ามีกรณีคัมภีร์เยื้องแย้งกันเอง ก็ช่วยกันศึกษาตัวคัมภีร์นั่นก่อน เรื่องก็จบได้ไม่ยาก
เวลาศึกษาก็แยกให้ชัดเจน
ส่วนนี้ท่านว่าไว้ในคัมภีร์
ส่วนนี้เป็นความเห็นของเรา
อย่าเอาไปปนกัน
ที่ต้องอ้างคัมภีร์ก็ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้
ที่พลาดกันมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ เอาความเห็นของตัวบุคคลนำหน้า คัมภีร์จะว่าไว้อย่างไรไม่สนใจ ไม่รับรู้
แทนที่จะแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า
ก็กลายเป็นแสดงธรรมของข้าพเจ้า
........................
กรณี-บวชหรือนิพพานภายใน ๗ วัน-นี้ ถ้าไม่มีหลักฐาน ก็ต้องประกาศให้รู้กันตรง ๆ ว่าเป็นการพูดเอาเอง จะพูดกันมากี่ทอดจนหาตัวคนพูดคนแรกไม่เจอ ก็ต้องย้ำว่าเป็นการพูดเอาเองทั้งสิ้น
แล้วก็ต้องระวังไว้ด้วย อย่าพูดให้คลุมเครือ เช่น -
“ฆราวาสบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ต้องบวชหรือนิพพานในวันนั้น แต่บางตำราบอกว่าต้องบวชหรือนิพพานภายใน ๗ วัน”
แบบนี้คือสร้างปัญหา หรือเอาขยะมาทิ้งไว้ในสังคมอีกวิธีหนึ่ง
เพราะที่ว่า “บางตำราบอกว่าต้องบวชหรือนิพพานภายใน ๗ วัน” ก็บอกไม่ได้ว่า “ตำราเล่มไหน” บอก จึงเป็นการพูดเอาเองอีกเหมือนกัน
เว้นไว้แต่จะมีใครสามารถยก “ตำราเล่มนั้น” มาแสดงหักล้างคัมภีร์ปปัญจสูทนีอันเป็นหลักฐานที่เรามีอยู่ในเวลานี้ลงไปได้
เราก็จะได้ช่วยกันรับรู้และกำหนดเป็นองค์ความรู้ที่ถูกต้องร่วมกันต่อไป
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗
๑๖:๓๓
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ