“รัฐไทย” เป็นรัฐล้มเหลวมาเนิ่นนานแล้ว
รัฐไทย ล้มเหลวมานานแล้ว….. แม้จะมีพุทธศาสนา แต่ส่วนมาก ก็นับถือพุทธแบบผิด ๆ แบบขลัง แบบศักดิ์สิทธิ์ งมงาย นับถือแบบทำตาม ๆ กันมา…เอาง่าย ๆ แค่การสร้างพระเครื่อง สร้างเครื่องลางของขลังต่าง ๆ ….ถ้าสร้างเป็นที่ระลึกถึงก็ไม่เท่าไร … แต่ถ้าสร้างโดยความเชื่อว่า พระเครื่องหรือเครื่องลาง วัตถุนั้น ๆ จะดลบันดาล จะอำนวยโชคลาภ จะให้แคล้วคลาด มีเมตตามหานิยม…แล้วละก็ นั่นคือความงมงาย… นั่นไม่ใช่พุทธศาสนา ไม่ใช่เป็นจุดประสงค์ของพุทธศาสนาเลย….เพราะตามหลักพุทธศาสนา ไม่มีวัตถุอะไร หรือใคร ๆ จะดลบันดาลผลที่ทุกคนปรารถนาได้… แม้ถ้าหากว่า ความปรารถนาจะสำเร็จผลตามที่ตนมุ่งหวัง ความสำเร็จนั้น ก็ไม่ได้เกิดมาจากวัตถุที่ทุกคนเข้าใจว่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้… แต่ความสำเร็จนั้น เกิดมาจากบุญกรรมของตนเองต่างหาก (บุญกรรม มุ่งหมายเอาเจตนาประกอบกับจิตที่เป็นกุศล ที่เกิดพร้อมกับโสภณเจตสิกอื่น ๆ มี ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ…เป็นต้น)
บุคคลผู้ไม่เข้าใจในพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้…แม้จะอ้างว่า มีคุณธรรมม จริยธรรม….. คุณธรรมจริยธรรมนั้น ก็มีไว้เพื่อให้ผู้อื่นมองว่าตนเป็นคนดี-พวกของตนเป็นคนดี มีไว้เพื่ออวดอ้างในการที่จะตราหน้าผู้อื่นว่าเป็นคนเลว -เป็นคนคอรัปชั่น -เป็นคนอกตัญญู… มีไว้เพื่อสร้างฐานะทางชนชั้นของตนเอง ว่าตนเองเป็นชนชั้นปกครอง เป็นชนชั้นศักดินา… ซึ่งมันไม่ใกล้เคียงกับความเป็นพุทธศาสนิกเลย
อีกประการหนึ่ง แม้อวดอ้างว่าตนมีศีล….ศีลที่อ้างนั้น ก็ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ …. แม้จะอ้างว่า ทำสมาธิ… สมาธินั้นก็ไม่เป็นไปเพื่อปัญญา …หรือแม้จะอ้างว่ามีปัญญา…ปัญญานั้นก็ยังไม่ใช่ปัญญาที่มุ่งต่อความหลุดพ้น (วิมุตติ) … สังคมไทยจึงล้มเหลวมาตั้งแต่โบราณกาล…
ในทางศาสนจักรนี่แหละตัวดี…เป็นบ่อเกิดของความงมงายไร้สาระมาเนิ่นนาน… ระบบการศึกษาไม่ช่ำชอง ลึกซึ้ง รู้แบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ รู้ไม่ครบถ้วนทั้ง ๓ ปิฎก เหมือนกับบุคคล รู้ว่าสิ่งนี้คือ ธนบัตรใบละ ๕๐๐ ใช้จับจ่ายซื้อสิ่งของได้ แต่ไม่รู้ว่า มันเป็นแบงค์จริงหรือแบงค์ปลอม …หรือแม้รู้ว่าเป็นแบงค์จริง แต่เวลาใช้จ่าย ก็ไม่รู้ว่าจ่ายไปแล้วเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ตนเองหรือไม่ …
เช่นเดียวกัน คนที่มีความรู้ทางด้านพุทธศาสนาที่ไม่ดีพอ รู้ผิด ๆ ก็จะใช้คำสอนพุทธศาสนาไปในทางที่ผิด อ้างเอาส่วนที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง…ไปกล่าวหาผู้อื่น เช่น มีบุคคลคนหนึ่ง พยายามอ้างให้ผู้อื่นรู้จักกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน … อ้างบ่อย ไปที่ไหน ๆ ก็อ้างอย่างนั้น… อ้างให้ผู้อื่นรู้จักบุญคุณตะพึด… โดยไม่คำนึงว่า การที่บุคคลจะรู้จักสำนึกบุญคุณและตอบแทนบุญคุณใครได้นั้น….เขาต้องได้รับการทำอุปการะจากผู้นั้น ๆ เสียก่อน …ซึ่งการทำอุปการะนั้นก็มีมากมายหลายอย่าง…. แต่ถ้าบุคคลผู้นั้นไม่ได้ทำอุปการะไว้ก่อนเลย หรือทำก็น้อยนิดเหลือเกิน จะให้เขาสำนึกบุญคุณและตอบแทนนั้น มันก็เป็นเรื่องยาก เพราะเขามองไม่เห็นว่ามีบุญคุณอะไร…ในกรณีอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน เราจะสอนเอาแต่ผล แต่ไม่สอนเหตุ ไม่สร้างเหตไว้ก่อน ผลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร …. จะสอนเรื่องกตัญญุกตเวที ก็ต้องสอน เรื่อง “ปุพพการี” ก่อน คำว่า “ทำอุปการะก่อน” นั้น ทำอะไร ทำอย่างไร ได้ทำสมบูรณ์ดีแล้วหรือยัง ? (ปุพพการี, กตัญญูกตเวที เป็นธรรมที่มาคู่กัน จะแยกแสดงเพียง กตัญญูกตเวที ที่เป็นธรรมส่วนผลอย่างเดียวนั้นไม่ได้)…
การศึกษาที่ล้มเหลว ก็ทำให้องค์ประกอบทุกภาคส่วนพลอยล้มเหลวไปด้วย… เมื่อไม่รู้…หรือรู้อย่างไม่ถูกต้อง… ก็เข้าใจผิด… คิดผิด… ทำผิด…พูดผิด…มีทัศนคติไปในทางที่ผิด…เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ถ้ายึดมั่นในความเห็นที่ผิดนั้น ก็กลายเป็น ทิฏฐุปาทาน (ทิฏฐิ+อุปาทาน) เป็นปัญหาของรัฐไทย ที่กลายเป็นรัฐล้มเหลวในสมัยทุกวันนี้…..
------------------
VeeZa
[right-side]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ