อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค               

               ชื่อสัทธรรมปกาสินี ในขุททกนิกาย               

               ภาคที่ ๑               

               คันถารัมภกถา               

                                   พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ทรงพระคุณ

                         ครบถ้วนล้วนแล้วด้วยความงามทุกสิ่งล่วงเสียซึ่ง

                         ความงามของโลกทั้งปวง ทรงพ้นจากกิเลสมลทิน

                         เป็นเครื่องประทุษร้ายพร้อมทั้งวาสนา ทรงประทาน

                         วิมุตติธรรมอันล้ำเลิศ.

                                   พระองค์ทรงมีพระทัยเยือกเย็นดุจความเย็น

                         แห่งไม้จันทน์ กล่าวคือพระกรุณาอยู่เป็นนิจ ทรง

                         พระปัญญาโชติช่วงดังดวงระวี มีธรรมเป็นเครื่องแนะ

                         นำสัตว์.

                                   ข้าพเจ้า๑- ขอน้อมอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า

                         พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้เลิศในหมู่สัตว์ ผู้เป็นที่พึ่งใน

                         ประโยชน์แก่ปวงสัตว์ด้วยเศียรเกล้า.

                                   บรรดาพระมหาเถระผู้พุทธชิโนรสมีจำนวน

                         เป็นอนันต์, พระมหาเถระองค์ใดเป็นประดุจดังพระ

                         มุนีผู้เลิศในหมู่สัตว์ทั้งปวง ได้เป็นผู้กระทำตามลีลา

                         แห่งพระศาสดา ในการบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่

                         ชุมชนด้วยคุณกล่าวคือกรุณาและปัญญาญาณ.

                                   ข้าพเจ้าขอนมัสการพระเถระองค์นั้นผู้มีนาม

                         ว่า สารีบุตร ผู้มุนีราชบุตร ผู้ยินดียิ่งในเสถียรคุณเป็น

                         อเนก ผู้รุ่งเรืองด้วยแสงสว่างแห่งปัญญามีเกียรติงาม

                         ฟุ้งขจรไป และมีจริยาวัตรสงบงาม.

                                   วิศิษฐปาฐะคือพระบาลีอันใดอันพระสาวก

                         ผู้สัทธรรมเสนาบดีผู้ประกาศพระสัทธรรมจักรผู้เข้า

                         ถึงความแจ่มแจ้งในอรรถะตามความเป็นจริง ในพระ

                         สูตรทั้งหลายที่พระตถาคตเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว ผู้นำ

                         ในการยังธรรมประทีปให้โชติช่วง กล่าววิศิษฐปาฐะ

                         นั้นไว้ โดยนามอันวิเศษว่า ปฏิสมฺภิทานํ มคฺโค

                         แปลว่า ทางแห่งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

                                   ปฏิสัมภิทามรรคนั้น เป็นปกรณ์อันละเมียด

                         ละมัยด้วยอรรถะและนยะต่างๆ อย่างวิจิตร อัน

                         บัณฑิตผู้มุ่งบำเพ็ญอัตตัตถะ ประโยชน์ตน และ

                         โลกัตถะ ประโยชน์แก่ชาวโลก มีปัญญาลึกซึ้งจะ

                         พึงหยั่งรู้ได้ในกาลทุกเมื่อ และสาธุชนทั้งหลายจะ

                         พึงซ่องเสพอยู่เป็นนิจ.

                                   ข้าพเจ้าจะพรรณนาเนื้อความที่ไม่ซ้ำกันไป

                         ตามลำดับ ไม่ก้าวล่วงสุตตะและยุติแห่งปฏิสัมภิทา-

                         มรรคปกรณ์นั้น อันนำมาซึ่งประเภทแห่งญาณ อัน

                         พระโยคาวจรทั้งหลายเป็นอเนกซ่องเสพแล้ว โดย

                         ไม่เหลือ.

                                   อนึ่งนั้นเล่าก็จะไม่ก้าวล่วงลัทธิของตนและ

                         จะไม่ก้าวก่ายลัทธิของผู้อื่น แต่จะรวบรวมเอา

                         อุปเทสและนยะแห่งอรรถกถาแต่ปางก่อนมาแสดง

                         ตามสมควร.

                                   ข้าพเจ้าจะกล่าวอรรถกถาชื่อสัทธรรมปกาสินี

                         นั้นโดยเคารพ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชุมชน เพื่อ

                         ความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรมตลอดกาลนาน

                         ขอสาธุชนสัตบุรุษจงตั้งใจสดับทรงจำไว้เถิด.

____________________________

๑- พระมหานามเถระ


      ความที่ปฏิสัมภิทามรรคเป็นมรรคาแห่งปฏิสัมภิทา ข้าพเจ้าต้องกล่าวก่อน เพราะได้กล่าวไว้แล้วในคันถารัมภกถาว่า ปฏิสมฺภิทานํ มคฺโคติ ตนฺนามวิเสสิโต จ แปลว่า ซึ่งวิศิษฐปาฐะนั้น โดยนามอันวิเศษว่า ปฏิสัมภิทามรรค.

               ก็ปฏิสัมภิทามี ๔ คือ

                         ๑. อรรถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ,

                         ๒. ธรรมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม,

                         ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ,

                         ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ.

               ทางคืออุบายเป็นเครื่องบรรลุปฏิสัมภิทาเหล่านั้น ฉะนั้นจึงชื่อว่า ปฏิสัมภิทามรรค.

               มีคำอธิบาย ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นเหตุแห่งการได้เฉพาะซึ่งปฏิสัมภิทา.

               

      หากจะมีปุจฉาว่า ทางนี้เป็นทางแห่งปฏิสัมภิทาได้ เพราะเหตุไร? ก็พึงมีวิสัชนาว่า เพราะเป็นเทสนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโดยประเภท เป็นเทสนาอันนำมาซึ่งปฏิสัมภิทาญาณ.

      จริงอยู่ ธรรมทั้งหลายมีประเภทต่างๆ เทสนาก็มีประเภทต่างๆ ย่อมให้เกิดประเภทแห่งปฏิสัมภิทาญาณ แก่พระอริยบุคคลทั้งหลายผู้สดับฟัง และเป็นปัจจัยแก่การแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณแก่ปุถุชนต่อไปในอนาคต.

       ก็ท่านกล่าวคำนี้ไว้ว่า เทสนาโดยประเภทย่อมนำมาซึ่งปฏิสัมภิทาญาณเป็นเครื่องทำลายฆนสัญญาเสียได้ ดังนี้.

       ก็เทสนามีประเภทต่างๆ นี้มีอยู่ เพราะเหตุนั้น เทสนานั้นจึงเป็นเทสนาให้สำเร็จความเป็นมรรคาแห่งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

       บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตสฺโส เป็นบทกำหนดจำนวน.

       บทว่า ปฏิสมฺภิทา ได้แก่ ปัญญาเป็นเครื่องแตกฉาน. เป็นปัญญาเครื่องแตกฉานของญาณเท่านั้น หาใช่เป็นความแตกฉานของใครๆ อื่นไม่ เพราะท่านได้กล่าวไว้ว่า ความรู้ในอรรถชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา, ความรู้ในธรรมชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้ในโวหารแห่งภาษาอันกล่าวถึงอรรถะและธรรมะ ชื่อว่านิรุตติปฏิสัมภิทา, ความรู้ในญาณทั้งหลาย๒- ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทา. เพราะฉะนั้น คำว่า จตสฺโส ปฏิสมฺภิทา จึงมีความว่า ประเภทแห่งญาณ ๔ ประการ.

       ญาณอันถึงความแตกฉานในอรรถ สามารถทำการกำหนดสัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งผล ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา.

       ญาณอันถึงความแตกฉานในธรรม สามารถทำการกำหนดสัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งเหตุ ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา.

       ญาณอันถึงความแตกฉานในนิรุตติ สามารถทำการกำหนดสัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งนิรุตติ ชื่อว่านิรุตติปฏิสัมภิทา.

       ญาณอันถึงความแตกฉานในปฏิภาณ สามารถทำการกำหนดสัลลักขณะและวิภาวนะของประเภทแห่งปฏิภาณ ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทา.

____________________________

๒- ญาณทั้ง ๓ เบื้องต้น คือ อรรถะ, ธรรมะ และนิรุตติ.


       บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺโถ ว่าโดยสังเขป ได้แก่ผลอันเกิดแต่เหตุ.

       จริงอยู่ ผลอันเกิดแต่เหตุนั้น ย่อมเกิดคือบรรลุถึงตามครรลองแห่งเหตุ ฉะนั้นท่านจึงเรียกว่าอรรถะ.

       แต่เมื่อว่าโดยประเภทแล้ว ธรรม ๕ ประการเหล่านี้คือ ธรรมอันเกิดแต่ปัจจัย (ปจฺจยสมุปฺปนฺนํ) อย่างใดอย่างหนึ่ง ๑. นิพพาน ๑. อรรถกถาแห่งพระบาลีอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ๑. วิปากจิต ๑. กิริยาจิต ๑. บัณฑิตพึงทราบว่า อรรถะ. ญาณอันถึงความแตกฉานในอรรถะนั้นของพระอริยบุคคลผู้พิจารณาอรรถะนั้นอยู่ ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา.

        บทว่า ธมฺโม ว่าโดยสังเขป ได้แก่ปัจจัย.

        จริงอยู่ ปัจจัยนั้นย่อมให้ คือย่อมให้เป็นไปและย่อมให้ถึงซึ่งผลนั้น ๆ ฉะนั้นท่านจึงเรียกว่าธรรมะ.

        แต่เมื่อว่าโดยประเภทแล้ว ธรรม ๕ ประการเหล่านี้คือ เหตุให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑. อริยมรรค ๑. พระบาลีอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ๑. กุศลจิต ๑. อกุศลจิต ๑. บัณฑิตพึงทราบว่าธรรม. ญาณอันถึงความแตกฉานในธรรมนั้นของพระอริยบุคคลผู้พิจารณาธรรมนั้นอยู่ ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา.

        จริงอยู่ เนื้อความดังต่อไปนี้มาในพระอภิธรรมปิฎก ท่านแสดงจำแนกไว้โดยนัยเป็นต้นว่า :-

                                   ความรู้แตกฉานในทุกข์ ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา,

                         ความรู้แตกฉานในทุกขสมุทัย ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา,

                         ความรู้แตกฉานในทุกขนิโรธ ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา,

                         ความรู้แตกฉานในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ชื่อว่าธรรม

                         ปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉานในเหตุ ชื่อว่าธรรมปฏิสัม-

                         ภิทา, ความรู้แตกฉานในผลอันเกิดแต่เหตุ ชื่อว่าอรรถ

                         ปฏิสัมภิทา.

                                   ธรรมเหล่าใด เกิดแล้ว มีแล้ว เกิดพร้อมแล้ว

                         บังเกิดแล้ว บังเกิดเฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว, ความรู้

                         แตกฉานในธรรมเหล่านี้ ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา,

                         ธรรมเหล่านั้น เกิดแล้ว มีแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิด

                         แล้ว บังเกิดเฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว จากธรรมเหล่าใด

                         ความรู้แตกฉานในธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา.

        ความรู้แตกฉานในชรามรณะ ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉานในเหตุเกิดแห่งชรามรณะ ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉานในความดับแห่งชรามรณะ ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉานในปฏิปทาอันเป็นเหตุให้ถึงความดับแห่งชรามรณะ ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา.

        ความรู้แตกฉานในชาติ ฯลฯ ความรู้แตกฉานในภพ ฯลฯ ความรู้แตกฉานในอุปาทาน ฯลฯ ความรู้แตกฉานในตัณหา ฯลฯ ความรู้แตกฉานในเวทนา ฯลฯ ความรู้แตกฉานในผัสสะ ฯลฯ ความรู้แตกฉานในสฬายตนะ ฯลฯ ความรู้แตกฉานในนามรูป ฯลฯ ความรู้แตกฉานในวิญญาณ ฯลฯ ความรู้แตกฉานในสังขารทั้งหลาย ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา,

        ความรู้แตกฉานในเหตุเกิดแห่งสังขาร ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉานในความดับแห่งสังขาร ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา, ความรู้แตกฉานในปฏิปทาอันเป็นเหตุให้ถึงความดับแห่งสังขาร ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา.

        ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้แตกฉานซึ่งธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรมะ เวทัลละ นี้เรียกว่าธรรมปฏิสัมภิทา, ภิกษุนั้นย่อมรู้แตกฉานในอรรถแห่งภาษิตนั้นๆ ว่า นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้, นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนั้น นี้เรียกว่าอรรถปฏิสัมภิทา.

        สภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลเป็นไฉน?

                         กามาวจรกุศลจิต เกิดพร้อมด้วยโสมนัส

               ประกอบด้วยปัญญา มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ มี

               ธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้น

               ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น

               ธรรมเหล่านี้ชื่อว่าสภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล.

               ความรู้แตกฉานในธรรมเหล่านี้ ชื่อว่าธรรมปฏิ-

               สัมภิทา, ความรู้แตกฉานในวิบากแห่งธรรมเหล่า

               นั้น ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา.

       คำว่า ตตฺร ธมฺมนิรุตฺตาภิลาเป ญาณํ ความว่า ความรู้แตกฉานในคำพูด คำกล่าว คำที่เปล่งถึงสภาวนิรุตติอันเป็นโวหารที่ไม่ผิดเพี้ยนทั้งในอรรถและในธรรมนั้น, ในคำพูดอันเป็นสภาวนิรุตติของพระอริยบุคคลผู้ทำสภาวนิรุตติศัพท์ที่เขาพูดแล้ว กล่าวแล้ว เปล่งออกแล้ว ให้เป็นอารมณ์แล้ว พิจารณาอยู่, ในมาคธีมูลภาษาของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นสภาวนิรุตติ เพราะสภาวนิรุตตินั้น บัณฑิตรับรองว่าเป็นธรรมนิรุตติอย่างนี้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, นี้มิใช่สภาวนิรุตติ ชื่อว่านิรุตติปฏิสัมภิทา.

       ด้วยประการฉะนี้ นิรุตติปฏิสัมภิทานี้ ชื่อว่ามีสัททะคือเสียงเป็นอารมณ์ มิได้มีบัญญัติเป็นอารมณ์. เพราะเหตุไร? เพราะพระอริยบุคคลได้ยินเสียงแล้วย่อมรู้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, นี้มิใช่สภาวนิรุตติ.

      จริงอยู่ พระอริยบุคคลผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทา ครั้นเขาพูดว่า ผสฺโส ก็ย่อมรู้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, ครั้นเขาพูดว่า ผสฺสา หรือ ผสฺสํ ก็ย่อมรู้ว่า นี้มิใช่สภาวนิรุตติ.

      แม้ในสภาวธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.

      ถามว่า ก็พระอริยบุคคลผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทานี้จะรู้หรือไม่ รู้คำอื่นคือเสียงแห่งพยัญชนะอันกล่าวถึงนาม, อาขยาต, อุปสัค, และนิบาต.

      ตอบว่า พระอริยบุคคลผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทานั้น ครั้นได้ยินเสียงแล้วก็รู้ว่า นี้เป็นสภาวนิรุตติ, นี้มิใช่สภาวนิรุตติ ด้วยเหตุสำคัญอันใด, ก็จักรู้คำนั้นด้วยเหตุสำคัญอันนั้น.

      แต่ข้อนี้มีผู้กล่าวปฏิเสธว่า นี้มิใช่กิจของปฏิสัมภิทา แล้วกล่าวว่า ธรรมดาภาษาสัตว์ทั้งหลายย่อมเรียนเอาได้ แล้วยกอุทาหรณ์นี้ขึ้นมาสาธกว่า

      จริงอยู่ มารดาและบิดา เอากุมารน้อยในคราวยังเป็นทารกอยู่ให้นอนบนเตียงหรือตั่งแล้วพูดภาษานั้นๆ ทำกิจนั้นๆ อยู่, ทารกกำหนดภาษานั้นๆ ของมารดาและบิดาเหล่านั้นว่า คำนี้ท่านผู้นี้พูด, คำนี้ท่านผู้นี้พูด.

      ครั้นวันผ่านมาเวลาผ่านไป ก็ย่อมรู้ภาษาทั้งหมดได้. มารดาเป็นชาวทมิฬ, บิดาเป็นชาวอันธกะ ทารกของมารดาบิดาเหล่านั้น ถ้าได้ยินคำพูดของมารดาก่อนก็จักพูดภาษาทมิฬ ถ้าได้ยินคำพูดของบิดาก่อนก็จักพูดภาษาอันธกะ. แต่ถ้าไม่ได้ยินคำพูดของมารดาและบิดาทั้ง ๒ นั้น ก็จักพูดภาษามาคธี.๓-

____________________________

๓- มาคธิกภาสํ = ภาษาของชนชาวมคธ


     แม้ทารกใดเกิดในป่าใหญ่ไม่มีบ้าน คนอื่นที่ชื่อว่าจะพูดด้วยก็ไม่มีในที่นั้น, ทารกนั้นเมื่อจะเริ่มพูดตามธรรมดาของตน ก็จักพูดภาษามาคธีนั้นแล.

     ภาษามาคธีมีมากในที่ทั้งปวง คือ ในนรก, ในกำเนิดดิรัจฉาน, ในเปตติวิสัย, ในมนุษยโลก ในเทวโลก.

     บรรดาภาษาของสัตว์ในภูมินั้นๆ ภาษาที่เหลือ เช่น โอฏฏภาษา, กิราตภาษา, อันธกภาษา, โยนกภาษาและทมิฬภาษาเป็นต้น ย่อมดิ้นได้, มาคธีภาษานี้เพียงภาษาเดียวเท่านั้น นับว่าเป็นพรหมโวหารและอริยโวหารตามเป็นจริง ย่อมไม่ดิ้น.

     แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงยกพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกขึ้นสู่แบบแผน ก็ทรงยกขึ้นไว้ในภาษามาคธีเท่านั้น.

     เพราะเหตุไร? ก็เพราะเพื่อจะนำอรรถะมาให้รู้ได้โดยง่าย.

     จริงอยู่ พระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผนด้วยมาคธีภาษา ยังไม่บรรลุถึงคลองแห่งโสตประสาทของพระอริยบุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทานั้น เป็นการเนิ่นช้า. แต่เมื่อโสตประสาทพอพระพุทธพจน์กระทบแล้วเท่านั้น เนื้อความก็ปรากฏตั้งร้อยนัย พันนัย. ก็พระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผนด้วยภาษาอื่น ก็ย่อมต้องเรียนเอาแบบตีความแล้วตีความเล่า.

      อันธรรมดาว่า การเรียนพระพุทธพจน์แม้มากมายแล้วบรรลุปฏิสัมภิทา ย่อมไม่มีแก่ปุถุชน, แต่พระอริยสาวกที่จะชื่อว่าไม่บรรลุปฏิสัมภิทานั้น ย่อมไม่มีเลย.

      บทว่า ญาเณสุ ญาณํ ความว่า ความรู้แตกฉานในญาณทั้ง ๓ เหล่านั้นของพระอริยบุคคลผู้กระทำญาณอันมีในที่ทั้งปวงให้เป็นอารมณ์แล้วพิจารณาอยู่, หรือว่า ญาณอันถึงความกว้างขวางในญาณทั้ง ๓ เหล่านั้น ด้วยสามารถแห่งอารมณ์และกิจเป็นต้น ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทา.

      ก็บัณฑิตพึงทราบปฏิสัมภิทา ๔ เหล่านี้ว่า ย่อมถึงซึ่งประเภทในฐานะ ๒. ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕.

      ย่อมถึงซึ่งประเภทในฐานะ ๒ เป็นไฉน?

      คือ ในเสกขภูมิ ๑ อเสกขภูมิ ๑.

      ใน ๒ ภูมินั้น ปฏิสัมภิทาของพระมหาเถระ ๘๐ องค์ มีพระเถระผู้มีนามอย่างนี้ คือ พระสารีบุตรเถระ, พระมหาโมคคัลลานเถระ, พระมหากัสสปเถระ, พระมหากัจจายนเถระ, พระมหาโกฏฐิตเถระเป็นต้น ถึงซึ่งประเภทในอเสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาของพระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระอริยบุคคลผู้มีนามอย่างนี้ คือพระอานนทเถระ, ท่านจิตตคฤหบดี, ท่านธรรมมิกอุบาสก, ท่านอุบาลีคฤหบดี, ขุชชุตตราอุบาสิกาเป็นต้น ถึงซึ่งประเภทในเสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาย่อมถึงซึ่งประเภทในภูมิ ๒ เหล่านี้ด้วยประการฉะนี้.

      ปฏิสัมภิทาย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการ เป็นไฉน?

      ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ ด้วยอธิคม, ด้วยปริยัติ, ด้วยสวนะ, ด้วยปริปุจฉา, ด้วยปุพพโยคะ.

      ในเหตุ ๕ ประการเหล่านั้น การบรรลุพระอรหัต ชื่อว่าอธิคม. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้บรรลุพระอรหัต ย่อมผ่องใส.

      พระพุทธพจน์ ชื่อว่าปริยัติ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้เรียนพระพุทธพจน์นั้น ย่อมผ่องใส.

      การฟังพระสัทธรรม ชื่อว่าสวนะ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้สนใจเรียนธรรมโดยเคารพ ย่อมผ่องใส.

      กถาเป็นเครื่องวินิจฉัย คัณฐีบทและอรรถบท ในพระบาลีและอรรถกถาเป็นต้น ชื่อว่าปริปุจฉา. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้ที่สอบสวนอรรถในพระพุทธพจน์ทั้งหลายมีพระบาลีเป็นต้นที่ตนเรียนแล้ว ย่อมผ่องใส.

      การบำเพ็ญเพียรในวิปัสสนากรรมฐานอยู่เนืองๆ จนกระทั่งถึงสังขารุเปกขาญาณอันเป็นที่ใกล้อนุโลมญาณและโคตรภูญาณ เพราะความที่การบำเพ็ญวิปัสสนานั้น อันพระโยคาวจรเคยปฏิบัติแล้วปฏิบัติเล่ามาในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ชื่อว่าปุพพโยคะ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้บำเพ็ญเพียรมาแล้วในปางก่อน ย่อมผ่องใส.

      ปฏิสัมภิทาย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้.

      ก็ในบรรดาเหตุทั้ง ๕ เหล่านี้ เหตุ ๓ เหล่านี้ คือ ปริยัติ, สวนะ, ปริปุจฉา เป็นเหตุมีกำลังเพื่อความแตกฉานแล. ปุพพโยคะเป็นปัจจัยมีกำลังเพื่อการบรรลุพระอรหัต.

      ถามว่า หมวด ๓ แห่งเหตุมีปริยัติเป็นต้น ย่อมมีเพื่อความแตกฉาน ไม่มีเพื่อความบรรลุหรือ?

      ตอบว่า มี, แต่ไม่ใช่อย่างนั้น. เพราะปริยัติ, สวนะและปริปุจฉา จะมีในปางก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่เว้นการพิจารณาสังขารธรรมด้วยการบำเพ็ญเพียรในปางก่อน และการพิจารณาสังขารในปัจจุบันเสียแล้ว ชื่อว่าปฏิสัมภิทา ก็มีไม่ได้. เหตุและปัจจัยทั้ง ๒ นี้รวมกันช่วยอุปถัมภ์ปฏิสัมภิทา กระทำให้ผ่องใสได้ด้วยประการฉะนี้.

       ยังมีอาจารย์พวกอื่นอีก ได้กล่าวไว้ว่า

                         ปุพพโยคะ ๑, พาหุสัจจะ ๑, เทศภาษา ๑,

                         อาคม ๑, ปริปุจฉา ๑, อธิคม ๑, ครุสันนิสสัย ๑,

                         และมิตตสมบัติ ๑ รวม ๘ ประการนี้ ล้วนเป็น

                         ปัจจัยแก่ปฏิสัมภิทา ดังนี้.

               บรรดาธรรมทั้ง ๘ ประการนั้น นัยดังที่กล่าวแล้วแล ชื่อว่าปุพพโยคะ.

               ความฉลาดในศาสตร์นั้น ๆ และศิลปายตนะทั้งหลาย ชื่อว่าพาหุสัจจะ.

               ความฉลาดในภาษา ๑๐๑ ภาษา ความฉลาดในภาษามาคธีโดยวิเศษ ชื่อว่าเทศภาษา.

               การเรียนพระพุทธพจน์โดยที่สุดแม้เพียงโอปัมมวรรค ชื่อว่าอาคม.

               การวินิจฉัยไต่สวนอรรถะแม้ในคาถา ๑ ชื่อว่าปริปุจฉา.

               การเป็นพระโสดาบันก็ดี การเป็นพระสกทาคามีก็ดี การเป็นพระอนาคามีก็ดี การเป็นพระอรหันต์ก็ดี ชื่อว่าอธิคม.

               การอยู่ในสำนักครูผู้มากด้วยสุตะและปฏิภาณ ชื่อว่าครุสันนิสสัย.

               การได้มิตรเห็นปานนั้นนั่นแล ชื่อว่ามิตตสมบัติ

      บรรดาธรรมทั้ง ๘ ประการนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย อาศัยปุพพโยคะและอธิคม แล้วบรรลุปฏิสัมภิทา ส่วนพระสาวกทั้งหลายอาศัยเหตุเหล่านี้แม้ทั้งหมดแล้วจึงบรรลุปฏิสัมภิทา.

      ก็ในการบรรลุปฏิสัมภิทา ไม่มีการบำเพ็ญเพียรในกรรมฐานภาวนาโดยเฉพาะอีก, ส่วนพระเสกขบุคคลมีผลและวิโมกขะของพระเสกขะเป็นที่สุด การบรรลุปฏิสัมภิทาก็ย่อมมีได้.

      อธิบายว่า ปฏิสัมภิทาทั้งหลายย่อมสำเร็จแก่บรรดาพระอริยะบุคคลด้วยอริยผลทั้งหลายนั่นแล ดุจทสพลญาณสำเร็จแก่พระตถาคตทั้งหลายฉะนั้น.

      ทางแห่งปฏิสัมภิทา ๔ เหล่านี้ ฉะนั้นจึงชื่อว่าปฏิสัมภิทามรรค, ปกรณ์คือปฏิสัมภิทามรรค ชื่อว่าปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์, ชื่อว่าปกรณ์ เพราะอรรถว่าอรรถอันลึกซึ้ง แยกโดยประเภทต่างๆ ในปฏิสัมภิทานี้ ท่านกล่าวกระทำโดยประการต่างๆ.

      ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้นสมบูรณ์ด้วยอรรถะ, พยัญชนะ, ลึกซึ้ง, มีอรรถลึกซึ้ง, ประกาศโลกุตระ, ประกอบด้วยสุญญตา, ให้สำเร็จผลวิเศษในการปฏิบัติ, ห้ามอกุศลอันเป็นปฏิปักษ์, เป็นรตนากร บ่อเกิดแห่งญาณอันประเสริฐของพระโยคาวจร, เป็นเหตุอันวิเศษในการเยื้องกรายธรรมกถาของพระธรรมกถึกทั้งหลาย, เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ของผู้กลัวภัยในสังสารวัฏ, มีประโยชน์ในการยังความชุ่มชื่นให้เกิดเพราะเห็นอุบายในการออกจากทุกข์นั้น, และมีประโยชน์ในการทำลายอกุศลธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อนิสสรณธรรม๔- นั้น และมีประโยชน์ให้เกิดความยินดีในหทัยแก่กัลยาณชน โดยการเปิดเผยอรรถแห่งบทพระสูตรมีเนื้อความอันลึกซึ้งมิใช่น้อย อันท่านพระสารีบุตรผู้ธรรมเสนาบดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ธรรมราชาภาษิตแล้ว เมื่อประทีปดวงใหญ่กล่าวคือพระสัทธรรม รุ่งเรืองแล้วด้วยแสงประทีปดวงใหญ่คือพระสัพพัญญุตญาณที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วโดยไม่ขัดข้อง ส่องสว่างกระจ่างไปทั่วทุกสถาน มีพระทัยสนิทเสน่หา ประกอบไปด้วยพระมหากรุณาแผ่กว้างไปในปวงชน เพื่อกำจัดความมืดมนอนธการกล่าวคือกิเลส ด้วยพระมหากรุณาในเวไนยชน ด้วยการยกพระสัทธรรมนั้นขึ้นอธิบายให้กระจ่างแจ้งแก่ปวงชน ด้วยความเสน่หา ปรารถนาความรุ่งเรืองแห่งพระสัทธรรมไปตราบเท่า ๕,๐๐๐ พระพรรษา ผู้มีเจตจำนงค้ำจุนโลกตามเยี่ยงอย่างพระศาสดา อันท่านพระอานันทเถระสดับภาษิตนั้นแล้วยกขึ้นรวบรวมไว้ในคราวทำปฐมมหาสังคีติ ตามที่ได้สดับมาแล้วนั่นแล.

____________________________

๔- ธรรมเป็นเครื่องออกนำทุกข์ (ทุกฺขนิสสรณํ)


        ในปิฎกทั้ง ๓ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก, ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้นนับเนื่องในพระสุตตันตปิฏก.

        ในนิกายใหญ่ทั้ง ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกายและขุททกนิกาย, ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้นนับเนื่องในขุททกนิกาย.

        ในองค์แห่งสัตถุศาสน์ทั้ง ๙ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรมะ เวทัลละ, ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้นนับสงเคราะห์เข้าใน ๒ องค์ คือเคยยะและเวยยากรณะ ตามที่เป็นได้.

        ก็บรรดาพระธรรมขันธ์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อันพระอานันทเถระผู้ธรรมภัณฑาคาริก อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นสู่เอตทัคคะใน ๕ ตำแหน่ง ปฏิญญาไว้อย่างนี้ว่า๕-

                         ธรรมเหล่าใดอันเป็นไปแก่ข้าพเจ้า ธรรมเหล่านั้น

                         ข้าพเจ้าเรียนจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์,

                         จากภิกษุอื่น ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จึงรวมเป็น ๘๔,๐๐๐

                         พระธรรมขันธ์ดังนี้

____________________________

๕- ขุ. เถร. เล่ม ๒๖/ข้อ ๓๙๗


               ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้นนับเข้าในพระธรรมขันธ์มากกว่าร้อย ในธรรมขันธ์ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่เรียนจากภิกษุ.

               ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์มี ๓ วรรค คือ มหาวรรค, มัชฌิมวรรคและจูฬวรรค.

               ในวรรคหนึ่งๆ มีวรรคละ ๑๐ กถา รวมเป็น ๓๐ กถามีญาณกถาเป็นต้น มีมาติกากถาเป็นปริโยสาน.

               ข้าพเจ้าจะพรรณนาเนื้อความแห่งบทที่ไม่ซ้ำกันตามลำดับแห่งปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้ที่กำหนดโดยส่วนเดียว ด้วยประการฉะนี้.

               ก็ปกรณ์นี้อันกุลบุตรทั้งผู้สวดทั้งผู้แสดงโดยปาฐะโดยอรรถ ก็พึงสวดพึงแสดงโดยเคารพเถิด, ถึงแม้จะเรียนก็พึงเรียนพึงทรงจำไว้โดยเคารพเถิด.

               ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะปกรณ์นี้เป็นปกรณ์มีอรรถลึกซึ้ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก เพื่อความดำรงมั่นอยู่ในโลก.

               หากจะมีคำถามว่า ในกถา ๓๐ กถาถ้วนนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้น?

               ก็ตอบว่า เพราะญาณเป็นเบื้องต้นแห่งการปฏิบัติ เพราะเป็นธรรมเครื่องชำระมลทินแห่งการปฏิบัติ.

               สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๖-

                               ดูก่อนภิกษุ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงยังเบื้องต้น

                         แห่งกุศลธรรมทั้งหลายให้บริสุทธิ์ก่อน, เบื้องต้นแห่งกุศล-

                         ธรรมทั้งหลายคืออะไร? คือศีลอันบริสุทธิ์ดีและความเห็น

                         ตรง ดังนี้.

____________________________

๖- สํ. มหา. เล่ม ๑๙/ข้อ ๖๘๗


               ก็ญาณกล่าวคือสัมมาทิฏฐิ ท่านกล่าวแล้วด้วยบทว่า อุชุกา ทิฏฺฐิ แม้เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้น.

               แม้คำอื่น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้อีกว่า๗-

               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๘ นั้น สัมมาทิฏฐิย่อมเป็นประธาน,

               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร?

               คือ ภิกษุรู้จักสัมมาทิฏฐิว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ รู้จักมิจฉาทิฏฐิว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความรู้ของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ.

               ภิกษุรู้จักสัมมาสังกัปปะว่าเป็นสัมมาสังกัปปะ, รู้จักมิจฉาสังกัปปะว่าเป็นมิจฉาสังกัปปะ.

               ภิกษุรู้จักสัมมาวาจาว่าเป็นสัมมาวาจา, รู้จักมิจฉาวาจาว่าเป็นมิจฉาวาจา.

               ภิกษุรู้จักสัมมากัมมันตะว่าเป็นสัมมากัมมันตะ, รู้จักมิจฉากัมมันตะว่าเป็นมิจฉากัมมันตะ.

               ภิกษุรู้จักสัมมาอาชีวะว่าเป็นสัมมาอาชีวะ, ภิกษุรู้จักมิจฉาอาชีวะว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ.

               ภิกษุรู้จักสัมมาวายามะว่าเป็นสัมมาวายามะ, ภิกษุรู้จักมิจฉาวายามะว่าเป็นมิจฉาวายามะ.

               ภิกษุรู้จักสัมมาสติว่าเป็นสัมมาสติ, ภิกษุรู้จักมิจฉาสติว่าเป็นมิจฉาสติ.

               ภิกษุรู้จักสัมมาสมาธิว่าเป็นสัมมาสมาธิ, ภิกษุรู้จักมิจฉาสมาธิว่าเป็นมิจฉาสมาธิ. ความรู้ของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ.

____________________________

๗- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๒๕๔


       ท่านกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้นก็เพื่อจะให้ญาณ กล่าวคือความเห็นชอบว่า เมื่อสัมมาทิฏฐิเป็นประธานสำเร็จแล้วก็จักรู้ความที่มิจฉาทิฏฐิทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิดังนี้ ให้สำเร็จก่อน.

               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๘-

                                   ดูก่อนอุทายี เธอจงงดขันธ์ส่วนอดีตและ

                         อนาคตไว้ก่อน เราจักแสดงธรรมแก่เธอว่า เมื่อ

                         เหตุนี้มี ผลนี้จึงมี, เพราะเหตุนี้เกิด ผลนี้จึงเกิด,

                         เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้ก็ย่อมไม่มี, เพราะเหตุนี้ดับ

                         ผลนี้ก็ย่อมดับ ดังนี้.

____________________________

๘- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๓๗๑


               และเพราะเว้นปุพพันตทิฏฐิและอปรันตทิฏฐิแล้วกล่าวญาณเท่านั้น ท่านจึงกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้น.

               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๙-

                                   อย่าเลย สุภัททะ ข้อที่ถามว่า สมณพราหมณ์

                         เหล่านั้นทั้งหมด ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญาของตนๆ หรือ

                         หรือว่าทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบางพวกไม่ได้ตรัสรู้

                         ดังนี้นั้น จงงดไว้ก่อน.

                                   ดูก่อนสุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่เธอ เธอจง

                         ตั้งใจฟังธรรมนั้น จงมนสิการให้ดี, เราจักแสดง ณ

                         บัดนี้ ดังนี้.

____________________________

๙- ที.มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๓๘.


               และเพราะเว้นวาทะของพวกสมณพราหมณ์ปุถุชนฝ่ายปรัปปวาททั้งหลายเสีย แล้วแสดงอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ และเพราะญาณกล่าวคือสัมมาทิฏฐิในอัฏฐังคิกมรรคเป็นประธาน ท่านจึงกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้น.

               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑๐-

               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย องค์แห่งการบรรลุโสดาบัน ๔ อย่างเหล่านี้ คือ

                         ๑ สปฺปุริสสํเสโว การคบหากับสัตบุรุษ

                         ๒ สทฺธมฺมสฺสวนํ การฟังพระสัทธรรม

                         ๓ โยนิโสมนสิกาโร การทำไว้ในใจโดยแยบคาย

                         ๔ ธมฺมานุธฺมฺมปฏิปตฺติ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.

____________________________

๑๐- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๒๔๐


        และตรัสว่า๑๑-

               กุลบุตรเกิดสัทธาแล้วย่อมเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยหูลง เมื่อเงี่ยหูลงแล้วย่อมฟังธรรม.

               ครั้นฟังธรรมแล้วย่อมทรงธรรมไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทนซึ่งความพินิจ.

               เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด เมื่อเกิดฉันทะแล้วย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้วย่อมไตร่ตรอง.

               ครั้นไตร่ตรองแล้วย่อมตั้งความเพียร เมื่อมีตนส่งไปแล้ว ย่อมกระทำให้แจ้งชัดซึ่งปรมัตถสัจจะนั้นด้วยกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดซึ่งปรมัตถสัจจะนั้นด้วยปัญญา ดังนี้.

____________________________

๑๑- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๒๓๘


               และตรัสว่า๑๒-

                         พระตถาคตอุบัติขึ้นในโลกนี้ ฯลฯ

                         พระตถาคตนั้นทรงแสดงธรรมไพเราะใน

                         เบื้องต้น ดังนี้.

____________________________

๑๒- ที.มหา. เล่ม ๙/ข้อ ๑๐๒


               ท่านกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้น ทำสุตมยญาณไว้เป็นญาณต้น โดยอนุโลมสุตตันตบทมิใช่น้อยตามที่ได้กล่าวมาแล้วนี้เป็นอาทิ.

               ก็ญาณกถานี้นั้นแบ่งออกเป็น ๒ คือ อุทเทส ๑ นิทเทส ๑.

               ในอุทเทส ท่านแสดงญาณ ๗๓ ด้วยสามารถแห่งมาติกาโดยนัยเป็นต้นว่า โสตาวธาเน ปญญา สุตมเย ญาณํ ซึ่งแปลว่า ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้วเป็นสุตมยญาณ ดังนี้.

               ในนิทเทส ท่านแสดงญาณ ๗๓ เหล่านั้นนั่นแหละอย่างพิสดารโดยนัยเป็นต้นว่า กถํ โสตาวธาเน ปญญา สุตมเย ญาณํ. อิเม ธมฺมา อภิญเญยฺยาติ โสตาวธานํ, ตํปชานนา ปญญา สุตมเย ญาณํ ซึ่งแปลว่า ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นสุตมยญาณอย่างไร? ปัญญาอันเป็นเครื่องทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว คือเป็นเครื่องรู้ชัดซึ่งธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่งดังนี้ เป็นสุตมยญาณ ดังนี้.


จบคันถารัมภกถา               

-----------------------------------------------------   

[full-post]

สุตตันตปิฎก,อรรถกถา,ปฏิสัมภิทามรรค,สัทธัมมปกาสินี

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.