๖. ผสฺสปจฺจยา เวทนา สมฺภวติ
เวทนา ๖ ย่อมปรากฏเกิดขึ้น เพราะอาศัยผัสสะ ๖ เป็นเหตุ
เวทนา ๖ ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยสัมผัสสะนั้น คือ
๑. จักขุสัมผัสสชา เวทนา การเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการกระทบกันระหว่างจักขุวิญญาณกับรูปารมณ์ ได้แก่เวทนาที่อยู่ในจักขุวิญญาณจิต
๒. โสตสัมผัสสชา เวทนา การเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการกระทบกันระหว่างโสตวิญญาณกับสัททารมณ์ ได้แก่เวทนาที่อยู่ในโสตวิญญาณจิต
๓. ฆานสัมผัสสชา เวทนา การเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการกระทบกันระหว่างฆานวิญญาณกับกันธารมณ์ ได้แก่เวทนาที่อยู่ในมานวิญญาณจิต
๔. ชิวหาสัมผัสสชา เวทนา การเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการกระทบกันระหว่างชิวหาวิญญาณกับรสารมณ์ ได้แก่เวทนาที่อยู่ในชิวหาวิญญาณจิต
๕. กายสัมผัสสชา เวทนา การเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการกระทบกันระหว่างกายวิญญาณกับโผฏฐัพพารมณ์ ได้แก่เวทนาที่อยู่ในกายวิญญาณจิต
๖. มโนสัมผัสสชา เวทนา การเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการกระทบกันระหว่างมโนวิญญาณกับธรรมารมณ์หรืออารมณ์ ๖ ได้แก่เวทนาที่อยู่ในโลกียวิปากจิต ๒๒ (เว้นทวิปัญจวิญญาณจิต)
แสดงวจนัตถะของ เวทนาทั้ง ๖
"เวทยตีติ = เวทนา"
ธรรมชาติใดย่อมเสวยอารมณ์ ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า เวทนา
- จกฺขุสมฺผสฺสโต ชาตา เวทนาติ = จกฺขุสมฺผสฺสชา เวทนา
- โสตสมฺผสฺสโต ชาตา เวทนาติ - โสตสมฺผสฺสชา เวทนา
- ฆานสมฺผสฺสโต ชาตา เวทนาติ - มานสมฺผสฺสชา เวทนา
- ชิวหาสมฺผสฺสโต ชาตา เวทนาติ - ชิวฺหาสมฺผสฺสชา เวทนา
- กายสมฺผสฺสโต ชาตา เวทนาติ = กายสมฺผสฺสชา เวทนา
- มโนสมฺผสฺสโต ชาตา เวทนาติ = มโนสมฺผสฺสชา เวทนา
แปลว่า -
- เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุสัมผัสสะเป็นเหตุ ฉะนั้นจึงชื่อว่า จักขุสัมผัสสชาเวทนา
- เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยโสตเป็นเหตุ ฉะนั้นจึงชื่อว่า โสตสัมผัสสชาเวทนา
- เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยฆานเป็นเหตุ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ฆานสัมผัสสชาเวทนา
- เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยชิวหาเป็นเหตุ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
- เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายเป็นเหตุ ฉะนั้นจึงชื่อว่า กายสัมผัสสชาเวทนา
- เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยมโนเป็นเหตุ ฉะนั้นจึงชื่อว่า มโนสัมผัสสชาเวทนา
เวทนาทั้ง ๖ เหล่านี้ เมื่อจำแนกโดย สุข ทุกข์ เฉยๆ แล้วได้ดังนี้ถือ ตั้งแต่จักขุสัมผัสสชาเวทนา จนถึงชิวหาสัมผัสสชาเวทนาทั้ง ๔ นี้ เป็นการเสวยอารมณ์ชนิดอุเบกขา
กายสัมผัสสชาเวทนา เป็นการเสวยอารมณ์ชนิดสุข ๑ ทุกข์ ๑,
มโนสัมผัสสชาเวทนา เป็นการเสวยอารมณ์ชนิดสุข ๑ ทุกข์ ๑ อุเบกขา ๑
เมื่อว่าโดยธรรมชาติที่เป็นไปอยู่ในโลกนี้แล้ว การเสวยอารมณ์มีอยู่ ๓ อย่างคือ
๑. ความรู้สึกสบายกายสบายใจ ในเมื่อได้ประสบกับอารมณ์ที่ถูกใจเรียกว่า สุขเวทนาอย่างหนึ่ง
๒. ความรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจ ในเมื่อได้ประสบกับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ เรียกว่า ทุกขเวทนาอย่างหนึ่ง
๓. ความรู้สึกเฉยๆ ในเมื่อได้ประสบกับอารมณ์ปานกลาง เรียกว่าอุเบกขาเวทนาอย่างหนึ่ง
เมื่อว่าโดยปุดคลาธิฏฐานแล้วการเสวยอารมณ์ย่อมมี ๒ คือ สุข ๑ ทุกข์ ๑
- สุข ได้แก่ สุขสหคตกายสัมผัสสชาเวทนา โสมนัสสสหคตมโนสัมผัสสชาเวทนา
- อุเบกขาเวทนาที่เกี่ยวกับกุศล กริยา
- และกุศลวิบากทุกข์ ได้แก่ ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาเวทนา โทมนัสสสหคตมโนสัมผัสสชาเวทนา
- อุเบกขาที่เกี่ยวกับอกุศล และกุศลวิบาก
ความสุขและความทุกข์ดังกล่าวแล้วนี้ จะเกิดขึ้นได้นั้นก็โดยอาศัยผัสสะอันได้แก่ การกระทบกันระหว่างจิตกับอารมณ์นั้นเองเป็นเหตุ ฉะนั้น ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดีที่มีมากหรือน้อยนั้น ก็ต้องแล้วแต่กำลังของผัสสะ กล่าวคือถ้าการกระทบกันระหว่างจิตกับอารมณ์มีกำลังมาก ความรู้สึกสุข ทุกข์ ก็ปรากฏมาก ถ้าการกระทบกันระหว่างจิตกับอารมณ์มีกำลังน้อย ความรู้สึกสุข ทุกข์ก็ปรากฏน้อย อุปมาเหมือนขณะที่กินอาหาร ฟันมีหน้าที่เคี้ยวอาหาร ลิ้นมีหน้าที่รู้รส ถ้าฟันได้ทำหน้าที่เดียวให้เต็มที่แล้ว ลิ้นก็รู้รสได้อย่างชัดเจน ถ้าฟันไม่ได้ทำหน้าที่เคี้ยวให้เต็มที่แล้ว ลิ้นก็รู้รสน้อย ข้อนี้ฉันใด ผัสสะก็เปรียบเหมือนฟันเวทนาก็เปรียบเหมือนลิ้น อารมณ์เปรียบเหมือนอาหาร การกระทบกันระหว่างจิตกับอารมณ์เปรียบเหมือนการเคี้ยวอาหาร การกระทบที่มีกำลังมากหรือน้อยนั้นเปรียบเหมือนการเคี้ยวได้เต็มที่และไม่เต็มที่นั้นเอง
การกระทบกันระหว่างจิตกับอารมณ์ที่เรียกว่าผัสสะ ดังกล่าวมานี้จะเห็นได้ในความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับคนทั้งหลาย เช่นในขณะที่ดูละครหรือภาพยนตร์ถ้าเห็นไม่ชัดได้ยินไม่ชัด โดยที่อยู่ไกลเกินไปหรือมีแสงสว่างน้อยไป ซึ่งถ้าว่าโดยธรรมาธิฏฐานแล้ว ก็คือผัสสะมีกำลังน้อยนั้นเอง ด้วยเหตุนี้คนที่ดูนั้นจึงพยายามกระเถิบให้เข้าไปใกล้ๆ เพื่อให้เห็นและได้ยินได้ชัดเจน หรือถ้ามีแสงสว่างน้อยไปก็พยายามหาหนทางให้มีแสงสว่างให้มากขึ้น ถ้าเห็นหรือได้ยินชัดเจนดีแล้ว ก็หมายถึงว่าผัสสะนั้นมีกำลังแรงขึ้น เมื่อผัสสะมีกำลังแรงขึ้นแล้วเวทนา คือ การเสวยอารมณ์นั้นก็ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น คือเห็นชัดเจนขึ้นได้ยินชัดเจนขึ้นนั้นเอง เมื่อมีการเห็นชัดได้ยินชัดแล้ว อิฏฐรสหรืออนิฏฐรสที่มีอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ก็ย่อมปรากฎชัด ทั้งนี้ก็เพราะว่า จักขุวิญญาณ คือการเห็นเป็นต้นนั้น มีหน้าที่เพียงแต่กระทำ รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ให้เป็นอารมณ์เท่านั้นหาได้กระทำให้อิฏฐรส หรืออนิฏฐรสที่มีอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ให้ปรากฎขึ้นได้ไม่ ธรรมที่สามารถกระทำอิฏฐรส หรืออนิฏฐรสให้ปรากฏขึ้นได้นั้น ได้แก่ ผัสสะ
ฉะนั้น ในเวลาใดที่ได้รับอารมณ์ที่ดี ก็หมายถึงว่าผัสสะได้กระทำหน้าที่บีบให้อิฏฐรสปรากฏขึ้น และในเวลาใดที่ได้รับอารมณ์ที่ไม่ดี ก็หมายถึงว่าผัสสะได้กระทำหน้าที่บีบให้อนิฏฐรสปรากฎขึ้น เมื่ออิฎฐรสหรืออนิฏฐรสปรากฎขึ้นแล้ว เวทนาก็เข้าไปกระทำหน้าที่เสวยคือรู้สึกสบายหรือไม่สบายในอารมณ์นั้นๆ ด้วยเหตุนี้ ขณะใดที่เวทนากำลังเสวยความสุขในอารมณ์อยู่ เวทนานั้นย่อมแสดงอาการให้ปรากฎขึ้นแก่บุคคลนั้น คือทำให้มีหน้าตาแจ่มใสชื่นบาน ที่ทางโลกสมมุติกันว่าคนนั้น คนนี้กำลังมีความสุข และในขณะใดที่เวทนากำลังเสวยความทุกข์ในอารมณ์อยู่ เวทนานั้นก็ย่อมแสดงอาการให้ปรากฏขึ้นแก่บุคคลนั้นเช่นเดียวกัน คือทำให้มีหน้าตาเศร้าหมอง ที่สมมติกันว่าคนนั้นคนนี้กำลังมีความทุกข์อยู่นั้นเอง
แสดง ลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน ปทัฏฐาน ของเวทนา
๑. อนุภวนลกฺขณา มีการเสวยอารมณ์เป็นลักษณะ
๒. วิสยรสสมฺโภครสา มีการเสวยรสของอารมณ์เป็นกิจ
๓. สุขทุกฺขปจฺจุปฏฺฐานา มีความสุขและทุกข์ เป็นอาการปรากฏในปัญญาของบัณฑิตทั้งหลาย
๔. ผสฺสปทฏฺฐานา มีผัสสะเป็นเหตุใกล้
แสดงการสงเคราะห์ปัจจัย ๒ ๔ เข้าในบท ผสฺสปจฺจยา เวทนา
ผัสสะทั้ง ๖ เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่เวทนาทั้ง ๖ นั้น ได้อำนาจปัจจัย ๘ คือ
๑. สหชาตปัจจัย ๒. อัญญมัญญปัจจัย ๓. สหชาตนิสสยปัจจัย ๔. วิปากปัจจัย ๕. นามอาหารปัจจัย ๖. สัมปยุตตปัจจัย ๗. สหชาตปัจจัย ๘. สหชาตอวิตปัจจัย
จบ ผสฺสปจฺจยา เวทนา
---------////---------
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ