๒. สงฺขารปจฺจยา วิญญาณํ สมฺภวติ

     โลกียวิปากวิญญาณ ๓๒ ย่อมปรากฎเกิดขึ้น เพราะอาศัยสังขาร ๓

     สังขารมีอยู่ ๒ อย่างคือ 

     - สังขารที่เป็นผลของอวิชชาอย่างหนึ่ง และ 

     - สังขารที่เป็นเหตุให้เกิดวิญญาณอย่างหนึ่ง

      สำหรับสังขารที่เป็นผลของอวิชชานั้น ย่อมได้ทั้งหมดไม่เว้นอย่างหนึ่งอย่างใด ส่วนสังขารที่เป็นเหตุให้เกิดวิญญาณนั้น ยกเว้นเจตนาที่อยู่ในอุทธัจจสัมปยุตตจิต. ในขณะที่อกุศลปฏิสนธิวิญญาณเกิดขึ้นโดยอาศัยอปุญญาภิสังขารเป็นเหตุ เพราะอุทธัจจเจตนานี้ไม่มีกำลังพอที่จะส่งผลในปฏิสนธิกาลให้เกิดเป็นพวกอบายสัตว์ได้ แต่ในปวัตติกาลนั้นสามารถส่งผลให้เกิดเป็นอกุศลวิบากได้ ฉะนั้น ในคำว่า "สงขารปจฺจยา วิญฺญาณํ" นั้น ระหว่างอปุญญาภิสังขารเป็นเหตุ ปฏิสนธิวิญญาณเป็นผล จึงเว้นอุทธัจจเจตนาเสีย คงได้อกุศลเจตนา ๑๑ แต่ระหว่างอปุญญาภิสังขารเป็นเหตุปวัตติวิญญาณเป็นผลนั้น ได้อกุศลเจตนา ๑๒ ทั้งหมด

      ส่วนในปุญญาภิสังขารนั้น เว้นเจตนาที่ในกุศลอภิญญาเสียโดยแน่นอนเพราะอภิญญากุศลเจตนานี้ ไม่มีหน้าที่ส่งผล คือ วิปากวิญญาณ ทั้งในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาลแต่อย่างใด อภิญญาต่างๆ มีอิทธิวิธอภิญญาเป็นต้นที่เกิดขึ้นก็เป็นผลมาจากกุศลอภิญญา ที่เป็นผลเกิดขึ้นโดยปัจจุบัน เป็นประจักษ์สิทธินั้นเอง แต่แม้ว่าจะเว้นเจตนาที่ในกุศลอภิญญาก็ตาม จำนวนเจตนาที่เป็นปุญญาภิสังขารก็คงได้ ๑๓ ตามเคิม เพราะรูปาวจรกุศลปัญจมฌานที่ไม่เกี่ยวกับอภิญญาก็มีอยู่

      สำหรับอาเนญชาภิสังขารนั้น คงได้เจตนาทั้งหมดไม่มีเว้น ฉะนั้น เมื่อสรุปจำนวนสังขารที่เป็นเหตุให้เกิดวิญญาณแล้ว คงได้ดังนี้ 

      - ปุญญาภิสังขาร ๑๓ (เว้นเจตนาที่ในกุศลอภิญญา)

      - อปุญญาภิสังขาร ๑๒ (เว้นอุทธัจจเจตนาที่ให้ผลในปฏิสนธิกาล)

      - อาเนญชาภิสังขาร ๔

        รวมเป็นเจตนา ๒๕

      อนึ่ง อกุศลเจตนาที่ถูกประหาณโดยมรรคทั้ง ๔ และกุศลอกุศลเจตนาที่เป็นอโหสิกรรม แม้ว่าจะเป็นสังขารที่เกิดมาจากอวิชชาเป็นเหตุก็จริง แต่ไม่จัดเข้าในสังขารที่เป็นเหตุของวิญญาณเช่นเดียวกัน


แสดงวจนัตถะของคำว่า "วิญญาณ"

      วิชานาตีติ = วิญญาณํ

      ธรรมชาติใดรู้อารมณ์เป็นพิเศษ ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า วิญญาณ (หมายเอาโลกียวิปากจิต ๓๒)


อีกนัยหนึ่ง

วิชานนฺติ เอเตนาติ - วิญฺญาณํ

      บุคคลทั้งหลายย่อมรู้อารมณ์เป็นพิเศษโดยธรรมชาตินั้น ฉะนั้น ธรรมชาติที่เป็นเหตุให้บุคคลทั้งหลายได้รู้อารมณ์เป็นพิเศษนั้นจึงชื่อว่า วิญญาณ (หมายเอาโลกียวิปากจิต ๓๒ พร้อมด้วยเจตสิกที่ประกอบ) 

องค์ธรรมของวิญญาณนี้ แสดงเป็น ๒ นัย คือ โดยอภิธรรมภาชนียนัยและโดยสุตตันตภาชนียนัย

      ว่าโดยอภิธรรมภาชนียนัย ได้แก่จิต ๘๙ เพราะคำว่าวิญญาณนั้น มีการรู้อารมณ์เป็นพิเศษไปจากการรู้ของสัญญาและปัญญา ฉะนั้น จึงนับเอาจิตทั้งหมดได้ และอีกประการหนึ่ง จิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยสังขาร คือการปรุงแต่งฉะนั้น จึงนับเอาจิตทั้งหมดได้

      ว่าโดยสุตตันตภาชนียนัย ได้แก่โลกียวิปากจิต ๓๒ เพราะการแสดงปฏิจสมุปบาท โดยสุตตันตภาชนียนัยนี้ มีการจำแนกโดยกาล คือ ภพที่เป็นอดีตเป็นเหตุ ปัจจุบัน อนาคต จำแนกโดย เหตุ ผล วัฎฏะทั้ง ๓ เป็นต้น ฉะนั้น วิญญาณเมื่อว่าโดยกาลแล้ว ก็จัดเข้าในปัจจุบันภพ ดังที่แสดงว่า "มชฺเฌ อฏฺฐ ปจฺจุปฺปนฺโน อทฺธา" เมื่อว่าโดยเหตุผลก็จัดเข้าในผล ดังที่ได้แสดงว่า "อิทานิ ผลปญฺจกํ" เมื่อว่าวัฏฏะ ก็จัดเข้าในวิปากวัฏ ดังที่ได้แสดงว่า "อวเสลา จ วิปากวฏฺฏํ"

      ฉะนั้น คำว่า วิญญาณ ที่เป็นผลของสังขารนี้จึงได้แก่โลกียวิปากจิต ๓๒ นั้นเอง 

      ส่วนการแสดงโดยอภิธรรมภาชนียนัยนั้น องค์ธรรมไม่จำกัด คือ คำว่า วิญญาณ ก็ได้แก่จิตทั้งหมด คำว่า นาม ก็ได้แก่เจตสิกทั้งหมด คำว่า รูป ก็ได้แก่รูปทั้งหมด คำว่า ผัสสะ ก็ได้แก่ผัสสะทั้งหมด ดังนี้เป็นต้น เพราะไม่มีการจำแนกโดย กาล เหตุ ผล เป็นต้น

      การแสดงปฏิจจสมุปบาทโดยนัยทั้ง ๒ ดังกล่าวมานี้ สมเด็จพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ในวิภังคปกรณ์ในอภิธรรมปีฎก


อธิบายในวจนัตถะข้อที่ ๑ คือ วิชานาตีติ - วิญฺญาณํ

      ธรรมชาติของจิตนั้นย่อมมีการได้รับอารมณ์อยู่เสมอไม่ว่าเวลาใด การได้รับอารมณ์อยู่เสมอไม่ว่าเวลาใดนี้แหละ ชื่อว่าย่อมรู้อารมณ์เป็นพิเศษ

      อีกประการหนึ่ง ในจำนวนโลกียวิปากจิตเหล่านั้น มีการรู้อารมณ์จำกัดโดยเฉพาะๆ เป็นส่วนมาก ต่างกับการรู้อารมณ์ของกุศล กริยา ที่มีการรู้อารมณ์โดยไม่จำกัดเป็นส่วนมากดังเช่น จักขุวิญญาณจิต ก็มีการรู้แต่เฉพาะรูปารมณ์ ฯลฯ กายวิญญาณจิต ก็มีการรู้แต่เฉพาะ โผฎฐัพพารมณ์, สัมปฏิจฉนจิต ก็มีการรู้แต่เฉพาะปัญจารมณ์, อุเบกขาสันตีรณจิต, มหาวิปากจิต, และมหัคคตวิปากจิตเมื่อขณะที่ทำหน้าที่ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ก็มีการรู้เฉพาะอารมณ์ที่เกี่ยวกับอคีตภพ เช่นนี้แหละจึงได้ชื่อว่ารู้อารมณ์เป็นพิเศษ คือรู้ไม่ทั่วไป


อธิบายในวจนัตถะข้อที่ ๒ คือ วิชานนฺติ เอเตนาติ = วิญฺญาณํ

      สัตว์ทั้งหลายก็ดี เจตสิกก็ดี ที่มีการรู้อารมณ์ได้ต่างๆ ทั้งปรมัตถ์และบัญญัตินั้นก็โดยอาศัยวิปากวิญญาณเป็นเหตุ กล่าวคือ ถ้าจักขุวิญญาณจิตไม่เกิด ก็เป็นอันว่าผู้นั้นไม่มีการเห็น ฯลฯ ถ้ากายวิญญาณจิตไม่เกิด ก็เป็นอันว่าผู้นั้นไม่มีความรู้สึกทางกาย ถ้าขาดภวังคจิตเสีย ผู้นั้นก็ไม่มีความรู้อารมณ์ใดๆ เลยด้วยเหตุนี้แหละ วิปากวิญญาณเหล่านี้จึงเป็นธรรมที่เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายรู้อารมณ์เป็นพิเศษ


วิญญาณที่เป็นผลของสังขารทั้งหลายนี้ แบ่งออกเป็น ๒ พวก คือ

      - วิญญาณที่เกิดในปฏิสนธิกาล ชื่อว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ได้แก่ ปฏิสนธิจิต ๑๙ พวกหนึ่ง และ

      - วิญญาณที่เกิดในปวัตติกาล ชื่อว่า ปวัตติวิญญาณ ได้แก่ โลกียวิปากจิต ๓๒ พวกหนึ่ง


การจำแนกปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ โดยสังขาร ๓

      ๑. อปุญญาภิสังขาร ๑๑ (เว้นอุทธัจจเจตนา) เป็นเหตุ

         อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก , เป็นผล ให้ปฏิสนธิในอบายภูมิทั้ง ๔ เป็นพวกทุคติอเหตุกบุคคล คือพวกอบายสัตว์

      ๒. ปุญญาภิสังขาร อันได้แก่ มหากุศลทวิเหตุกโอมกะเจตนา ๔ เป็นเหตุ

         อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก ๑ เป็นผล ให้ปฏิสนธิในมนุษยภูมิ ๑ จาตุมหาราชิกาภูมิ ๑ เป็นพวกสุคติอเหตุกบุคคล คือ มนุษย์และเทวดาชั้นต่ำที่พิกลพิการใบ้ บ้า บอด หนวก เป็นต้น

      ๓. ปุญญาภิสังขาร อันได้แก่ มหากุศลทวิเหตุกอุกกัฏฐะเจตนา ๔ และติเหตุกโอมกะเจตนา ๔ เป็นเหตุ

         มหาวิบากญาณวิปปยุต ๔ เป็นผล ให้ปฏิสนธิในมนุษยภูมิ ๑ เทวภูมิ ๖ เป็นพวกทวิเหตุกบุคคล คือ มนุษข์และเทวดาชั้นกลาง

      ๔. ปุญญาภิสังขาร อันได้แก่ มหากุศลติเหตุกอุกกัฏฐะเจตนา ๔ โดยวัฏฏะทั้ง ๓ เป็นเหตุ 

          มหาวิบากญาณสัมปยุต ๔ เป็นผล ให้ปฏิสนธิในมนุษยภูมิ ๑ เทวภูมิ ๖ เป็นพวกติเหตุกบุคคล คือมนุษย์และเทวดาชั้นสูง

      ๕. ปุญญาภิสังขาร อันได้แก่ รูปาวจรกุศลเจตนา ๕ เป็นเหตุ 

          รูปาวจรวิบาก ๕ เป็นผล ให้ปฏิสนธิในรูปภูมิ ๑๕ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ) เป็นพวกรูปพรหม

      ๖. อาเนญชาภิสังขาร อันได้แก่ อรูปาวจรกุศลเจตนา ๔ เป็นเหตุ 

          อรูปาวจรวิบาก ๔ เป็นผล ให้ปฏิสนธิในอรูปภูมิ ๔ เป็นพวกอรูปพรหม


การจำแนกปวัตติวิญญาณ ๓๒ โดยสังขาร ๓

      ๑. อปุญญาภิสังขาร ๑๒ เป็นเหตุ

         อกุศลวิบาก ๗ ได้แก่ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การถูกต้อง การรับอารมณ์ การไต่สวนอารมณ์ และการรับอารมณ์ต่อจากชวนะที่ไม่ดีเป็นผล ในกามภูมิ ๑๑

      ๒. อปุญญาภิสังขาร ๑๒ เป็นเหตุ 

         อกุศลวิบาก ๔ ได้แก่ การเห็น การได้ยิน การรับอารมณ์ การไต่สวนอารมณ์ที่ไม่ดี เป็นผล ในรูปภูมิ ๑๕

      ๓. ปุญญาภิสังขาร อันได้แก่ มหากุศลเจตนา ๘ เป็นเหตุ

         อเหตุกกุศลวิบาก ๘ ได้แก่ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การถูกต้อง การรับอารมณ์ การไต่สวนอารมณ์ และการรับอารมณ์ต่อจากชวนะที่ดีเป็นผล ในกามภูมิ ๑๑

      ๔. ปุญญาภิสังขาร อันได้แก่ มหากุศลเจตนา ๘ เป็นเหตุ 

          มหาวิบาก ๘ ได้แก่ การรับอารมณ์ต่อจากชวนะที่ดีเป็นผล ในกามสุดติภูมิ ๗

      ๕. ปุญญาภิสังขาร อันได้แก่ มหากุศลเจตนา ๘ เป็นเหตุ 

          อเหตุกกุศลวิบาก ๔ ได้แก่ การเห็น การได้ยิน การรับอารมณ์ การไต่สวนอารมณ์ที่ดีเป็นผล ในรูปภูมิ ๑๕

      ๖. ปุญญาภิสังขาร อันได้แก่ รูปาวจรกุศลเจตนา ๕ เป็นเหตุ 

          รูปาวจรวิบาก ๕ ได้แก่ การรักษาภพเป็นผล ในรูปภูมิ ๑๕

      ๗. อาเนญชาภิสังขาร อันได้แก่ อรูปาวจรกุศลเจตนา ๔ เป็นเหตุ 

          อรูปาวจรวิบาก ๔ ได้แก่ การรักษาภพเป็นผล ในอรูปภูมิ ๔


การจำแนกปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ โดยนัยต่างๆ

     ปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ เหล่านี้ เมื่อจำแนกโดยมิสสกะและสุทธะแล้ว แบ่งออกเป็น ๒ คือ

      ๑. รูปมิสสกวิญญาณ วิญญาณที่ปนด้วยรูป มี ๑๕

      ๒. รูปอมิสสกวิญญาณ วิญญาณที่ไม่ปนด้วยรูป มี ๔


เมื่อจำแนกโดยภูมิแล้ว แบ่งออกเป็น ๓ คือ

      ๑. กามวิญญาณ มี ๑๐

      ๒. รูปวิญญาณ มี ๕

      ๓. อรูปวิญญาณ มี ๔

เมื่อจำแนกโดยกำเนิดแล้ว แบ่งออกเป็น ๔ คือ

      ๑. อัณฑชวิญญาณ มี ๑๐

      ๒. ชลาพุชวิญญาณ มี ๑๐

      ๓. สังเสทชวิญญาณ มี ๑๐

      ๔. โอปปาติกวิญญาณ มี ๑๙

เมื่อจำแนกโดยคติแล้ว แบ่งออกเป็น ๕ คือ

      ๑. เทวคติวิญญาณ มี ๑๘ 

      ๒. มนุสสคติวิญญาณ มี ๙ 

      ๓. นิรยคติวิญญาณ มี ๑

      ๔. ติรัจฉานคติวิญญาณ มี ๑

      ๕. เปตติคติวิญญาณ มี  ๑

เมื่อจำแนกโดยวิญญาณฐิติ (ภูมิอันเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ) แล้วมี ๗ คือ

      ๑. นานัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ มี ๙

      ๒. นานั่ตตกายเอกัตตสัญญีวิญญาณ มี ๒

      ๓. เอกัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ มี ๒

      ๔. เอกัตตกายเอกัตตสัญญีวิญญาณ มี ๒

      ๕. อากาสานัญจายตนวิญญาณ มี ๑

      ๖. วิญญาณัญจายตนวิญญาณ มี ๑

      ๗. อากิญจัญญายตนวิญญาณ มี ๑

          เมื่อจำแนกโดยสัตตาวาส (ภูมิอันเป็นที่อาศัยของสัตว์) แล้วมี ๘ (เว้นสัตตาวาส ๑ คืออสัญญสัตตา เพราะไม่มีวิญญาณ) คือ ข้อ ๑ ถึง ๗ เหมือนวิญญาณฐิติ ๗

      ๘. เนวสัญญานาสัญญายตนวิญญาณ มี ๑

         หมายเหตุ การที่จำแนกปฏิสนธิวิญญาณโดยวิญญาณฐิติและสัตตาวาส ในที่นี้แสดงไว้แต่จำนวนเท่านั้น ส่วนชื่อของวิญญาณนั้นปรากฏอยู่แล้วในปรมัตถโชติกะปริกเฉทที่ ๕ ตอน ๒


แสดง ลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน ปทัฏฐาน ของวิญญาณ

      ๑. วิชานนลกฺขณํ มีการรู้อารมณ์เป็นพิเศษจากสัญญาและปัญญา เป็นลักษณะ

      ๒. ปุพฺพงฺคมรสํ เป็นประธานแก่เจตสิกและกัมมชรูป เป็นกิจ

      ๓. ปฏิสนฺธิปจฺจุปฏฺฐานํ มีการติดต่อระหว่างภพเก่าและภพใหม่ เป็นอาการปรากฎ

      ๔. สงฺขารปทฏฺฐานํ (วา)  มีสังขาร ๓ เป็นเหตุใกล้ หรือมีวัตถุ ๖ กับอารมณ์ ๖ วตฺถารมฺมณปทฏฺฐานํ เป็นเหตุใกล้


แสดงการสงเคราะห์ปัจจัย ๒๔ เข้าในบท สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ

      สังขารทั้ง ๓ เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่วิปากวิญญาณนี้ได้อำนาจปัจจัย ๒ คือ

      ๑. ปกตูปนิสสยปัจจัย ๒. นานักขณิกกัมมปัจจัย


จบ สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ

----------///----------


[full-post]

ปริจเฉทที่๘,ปฏิจจสมุปบาท,ปัจจยสังคหะ,อภิธัมมัตถสังคหะ,

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.